นางหลิ่วฮูหยินใหญ่ของจวนตระกูลเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ จ้องเฟิ่งเชียนอวี่จนลูกตาแทบลุกเป็นไฟแล้ว นางแพศยาคนนี้ เหมือนกับนางจิ้งจอกแม่ของนาง ล้วนเป็นพวกต่ำช้าที่ล่อลวงคนจริงๆทางฝั่งคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ก็มองเฟิ่งเชียนอวี่อย่างตะลึงเช่นกัน“สวรรค์ นางก็คือลูกอนุภรรยาคนนั้นของจวนอัครมหาเสนาบดี?”“เมื่อสองปีก่อน ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงในสวนดอกไม้ ข้าก็เคยเจอเฟิ่งเชียนอวี่คนนี้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้มาเจอกันอีกครั้ง เปลี่ยนไปมากจริงๆ”“เหอะ เมื่อก่อนเป็นลูกอนุภรรยาที่ไม่สะดุดตา ปัจจุบันบินขึ้นบนยอดกิ่งกลายเป็นพระชายาอ๋องหก ย่อมเปลี่ยนไปเยอะอยู่แล้ว”“กลายเป็นพระชายาอ๋องหกแล้วอย่างไร? เดิมทีตำแหน่งพระชายาอ๋องหกเป็นของคุณหนูใหญ่เฟิ่ง เฟิ่งเชียนอวี่คนนี้แย่งไปอย่างโจ่งแจ้ง หน้าไม่อายจริงๆ”“หน้าไม่อายแล้วอย่างไร ตอนนี้นางเป็นพระชายาอ๋องหกแล้ว อีกทั้งท่านอ๋องหกก็ชอบด้วย”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องหกชอบ ผู้หญิงที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้ ท่านอ๋องหกจะสนใจได้อย่างไร มันก็แค่ข่าวลือ”คุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มีทั้งคนที่อยากรู้อยากเห็น และก็มีทั้งริษยากับอิจฉาเฟิ่งเชียนอวี่เวลานี้เอง มีเสียงเย้าแ
ฮูหยินใหญ่นางหลิ่วขมวดคิ้ว สายตาที่เฉียบคมราวกับมีดมองไป กล่าวเสียงแหลม “เฟิ่งเชียนอวี่ เจ้าบังอาจ”เฟิ่งเชียนอวี่หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จ”นางรีบหุบปากทันที และหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เห็นร่างเงาสีเหลืองสดสายหนึ่งค่อยๆ เดินมาอย่างที่คิด และข้างหลังยังมีคนเดินตามมาไม่น้อยคนอื่นก็เริ่มหวนคืนสติจากความตกใจ หมุนกายไปทางแท่นสูง คุกเข่ากล่าวพร้อมกัน“ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เฟิ่งเชียนอวี่ก็คุกเข่าลงตามฝูงชนเช่นกัน ในใจกลับบ่นกฎเกณฑ์ที่ล้าหลังของระบบศักดินาราชวงศ์ในฐานะที่เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของยุคปัจจุบัน คนที่เกิดในสังคมประชาธิปไตย คนที่ได้รับการศึกษาระดับสูงยี่สิบกว่าปี เป็นดอกเตอร์สาขาวิชาที่ได้รับความเคารพและนับถือมาโดยตลอด ตอนนี้กลับต้องมารับกรรมเช่นนี้ เฮ้อทว่าแม้ในใจเฟิ่งเชียนอวี่ไม่เต็มใจอย่างไร ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง คุกเข่าลงไปแต่โดยดี นอกเสียจากนางอยากตาย“ทุกท่านลุกขึ้น”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เฟิ่งเชียนอวี่ลุกขึ้นพร้อมกับฝูงชนอีกครั้ง ยังไม่ทันได้เงยหน้า เสียงของฮ่องเต้เทียนหยวนได้ดังขึ้นอี
เฟิ่งหลิงหลงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีตั้งแต่ตอนเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยปาก คราวนี้เมื่อได้ยินเช่นนี้ หน้าซีดทันทีไม่ว่าอย่างไรเฟิ่งอวี้เทียนก็คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งเชียนอวี่จะมาไม้นี้ สีหน้าเปลี่ยนฉับพลันเหล่าขุนนางใหญ่ก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป แม้คำพูดของเฟิ่งเชียนอวี่ในตอนนี้ แตกต่างกับที่อัครมหาเสนาบดีเฟิ่งกล่าวโทษนางก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่มีใครคิดจะก้าวออกมาพูดมาก ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องสนุกภาพจำที่ทุกคนมีต่อเฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนลูกสาวคนที่สามที่ออกเรือนแล้วของจวนตระกูลเฟิ่งกับลูกภรรยาเอกเฟิ่งหลิงหลงไม่ลงรอยกันอย่างเห็นได้ชัดคราวนี้สนุกแล้วส่วนเหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ด้านข้าง รีบตรวจดูชุดกระโปรงของตัวเองทันทีคนที่แต่งกายค่อนข้างฉูดฉาดยังดี ส่วนคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่แต่งกายค่อนข้างเรียบง่าย แทบอยากจะขดตัวลงไป ลดการมีตัวตนของตัวเอง ทางที่ดีรีบหายตัวไปจากที่จัดเลี้ยง กลัวโดนลูกหลงไปด้วยเมื่อฮ่องเต้เทียนหยวนได้ยิน เขามองไปทางเฟิ่งหลิงหลง และเริ่มขมวดคิ้วอย่างที่คิดภาพลักษณ์ของเฟิ่งหลิงหลงที่อยู่ข้างนอก เป็นหญิงงามที่เย็นชามาโดยตลอด ชุดกระโปรงที่สวมใส่ใน
“ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ หลิงหลงชื่นชมพระองค์ที่สุดตั้งแต่เด็ก นางไม่มีทางจงใจล่วงเกินท่านแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”สายตาที่เฉียบคมของเฟิ่งอวี้เทียนมองไปทางเฟิ่งเชียนอวี่ ลูกสาวคนที่สามคนนี้ วันนี้ทำให้เขาต้องมองนางใหม่จริงๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดบัญชีเขาหลับตาลง รีบก้าวออกไปทันที“ฝ่าบาท วันนี้ลูกสาวกระหม่อมแต่งกายไม่เหมาะสม ล่วงเกินต่อหน้าพระพักตร์ กระหม่อมก็เลินเล่อเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ หวังพระองค์ทรงจะประทานอภัย อนุญาตให้ลูกสาวกระหม่อมไปเปลี่ยนชุดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เห็นสีหน้าฮ่องเต้ก็รู้แล้ว การแต่งกายของลูกสาวคนโต ได้ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจแล้ว การแก้ต่างไม่มีความหมายใดๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือรีบแก้สถานการณ์ให้เบาลงฮ่องเต้เทียนหยวนพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ โบกมืออย่างรำคาญ “เช่นนั้นก็รีบไป อย่ามาป้วนเปี้ยนต่อหน้าเรา”โชคดีที่เฟิ่งหลิงหลงเป็นลูกสาวภรรยาเอกจวนอัครมหาเสนาบดี สถานะไม่ธรรมดา หากเป็นลูกขุนนางทั่วไปพบเจอเรื่องเช่นนี้ ฮ่องเต้เทียนหยวนไม่มีทางละเว้นง่ายๆ เช่นนี้แน่นอนต่อให้เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้เทียนหยวนก็ดูรังเกียจอย่างเห็นได้ชั
ตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว กล่าวเตือนนาง “เกรงว่าพระชายาลืมไปแล้ว ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ใครที่จะหย่ากับข้าให้ได้?”เฟิ่งเชียนอวี่กะพริบตาปริบๆ ไม่คิดจะยอมรับแม้แต่น้อย “มีหรือ? ท่านอ๋องน่าจะจำผิดแล้วกระมัง ข้าจะมียามที่ไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ได้อย่างไร”“ท่านเป็นถึงท่านอ๋อง สามารถเป็นพระชายาของท่าน เป็นวาสนาของข้า”นางพลางกล่าว พลางคลื่นไส้ในใจตงฟางจิ่งมองนางอย่างขบขัน ผู้หญิงคนนี้ยืดหดได้เก่งมาก“ท่านพ่อตาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ผู้นำของเหล่าขุนนาง ต่อให้เป็นข้า ก็จำเป็นต้องถอยก้าวสองก้าว สิ่งที่พระชายาขอ เกรงว่าข้ามีใจแต่ไร้กำลัง”ตงฟางจิ่งถอนหายใจ เขาจงใจกล่าวมุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มบึ้งตึงทันที พร้อมกับเอาจอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าตงฟางจิ่งกลับคืนไป และกัดฟันในใจผู้ชายชาติชั่วนี่จะเสแสร้งไปถึงไหน ไม่อยากช่วยก็บอกตรงๆ คิดว่านางฟังไม่ออกหรือตงฟางจิ่งเลิกคิ้ว “พระชายา ที่เจ้าเอาไปเหมือนจะเป็นจอกของข้า ข้างในยังมีเหล้าที่เจ้าให้ข้าเหลืออยู่”มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุก นางเทเหล้าทิ้งอย่างไม่ลังเล ส่งจอกเปล่ากลับคืนไป “ท่านอ๋อง ต้องขออภัยจริงๆ เหล้าหกแล้ว ท่านอ๋องอยากดื่ม
เหล่านางสนมแต่งกายด้วยชุดฝ่ายในที่งดงามนั่งเรียงแถวอยู่ที่นั่น แต่ละคนงามยิ่งกว่าดอกไม้ เห็นแล้วจิตใจเบิกบาน จากนั้นสายตาที่เย็นชาก็มองไปทางบรรดาอ๋องและองค์หญิงทั้งหลายฮ่องเต้เทียนหยวนมีองค์ชายทั้งหมดเก้าคน องค์หญิงอีกห้าคน นอกจากองค์ชายแปดกับองค์ชายเก้าที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ เพราะอายุยังน้อยจึงยังอาศัยอยู่ในวัง ส่วนองค์ชายท่านอื่นที่เข้าพิธีสวมมงกุฎ[1]แล้ว ล้วนถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง ออกจากวังสร้างจวนอยู่เองนอกจากตงฟางจิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งเชียนอวี่ได้พบอ๋องท่านอื่นๆแน่นอนว่านางไม่รู้จักสัก“หลิวซู คนพวกนั้นล้วนเป็นท่านอ๋องหรือ?”หลิวซูย่อตัวลง กระซิบแนะนำให้นางรู้จักทีละคน“พระชายา คนที่นั่งข้างหน้าสุดถัดจากฝ่าบาทคือรัชทายาท”รัชทายาทตงฟางหล่างที่กำเนิดโดยฮองเฮา เข้าอยู่ตำหนักบูรพาสิบปีเฟิ่งเชียนอวี่ประหลาดใจ “ปีนี้รัชทายาทอายุเท่าไร?”หลิวซูกล่าวเสียงเบา “ยี่สิบสองเจ้าค่ะ”เช่นนั้นก็ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตอนอายุสิบสองปีหลิวซูกล่าวต่อ “พระชายา ถัดจากรัชทายาทคือองค์ชายใหญ่”พลันเฟิ่งเชียนอวี่ตะลึงงัน แต่จากนั้นก็เข้าใจแล้ว คนที่ให้กำเนิดโดยฮองเฮาคือลูกชายของภรรยาเอ
หน้าตาของเฟิ่งหลิงหลงเหมาะกับสีโทนอ่อน เมื่อเปลี่ยนมาสวมชุดที่สีเข้มเช่นนี้ แม้ไม่ถึงกับอัปลักษณ์ แต่ให้ความรู้สึกที่ขัดกัน มองอย่างไรก็ไม่สบายตาเวลานี้ มีคนไม่น้อยเห็นชุดที่เฟิ่งหลิงหลงสวมแล้ว สีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไปบนที่นั่งของจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อ อวิ๋นจิ่นเซ่ออดไม่ได้ที่จะมองกระโปรงแดงของตัวเอง นางเบะปากแล้วมองบน หลังจากนางรำในงานร่ายรำไปสองช่วง คำนับอย่างสง่างาม ก็ถอยออกไปแล้วต่อไปก็ถึงเวลามอบของขวัญตามลำดับที่นั่งโดยเริ่มจากเหล่าขุนนาง หลังจากนั้นก็เป็นองค์หญิง สุดท้ายจึงเป็นท่านอ๋องทั้งหลาย และมีขันทีคอยประกาศอยู่ข้างๆ“เสนาบดีกรมโยธาธิการมอบรูปปั้นผู่ตู้[1]ทองคำหนึ่งองค์ ไข่มุกทะเลใต้หนึ่งเม็ด ไข่มุกราตรีเขาอูซานห้าเม็ด…”“เสนาบดีกรมพิธีการมอบ…”เฟิ่งเชียนอวี่มองดูกล่องผ้าแพรเหล่านั้นถูกส่งขึ้นไป ฟังแล้วรู้สึกว่าล้ำค่าทุกชิ้นเลย นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“เมื่อไรที่ข้าฉลองวันเกิด ได้รับของขวัญล้ำค่ามากมายเช่นนี้ก็ดีสิ”จากนั้นนางมองไปทางตงฟางจิ่ง เลิกคิ้วแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าของขวัญที่ท่านอ๋องเตรียมคืออะไร?”ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “ภาพอักษร”นางเลิกคิ้ว
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าดื่มเยอะไปหน่อย ดังนั้นต้องไปทำธุระส่วนตัวสักครู่ เชิญท่านตามสบาย”เฟิ่งเชียนอวี่หัวเราะแหะๆ เรื่องเช่นนี้ปล่อยให้ตงฟางจิ่งขายหน้าคนเดียวก็พอ ทว่ากำลังจะลุกขึ้น ก็ถูกตงฟางจิ่งคว้าแขนเอาไว้“เรื่องทำธุระส่วนตัว ไปเมื่อไรก็ได้ อีกสักครู่ก็ถึงจวนอ๋องหกถวายของขวัญแล้ว เจ้าเป็นพระชายาของข้า การถวายของขวัญเป็นเรื่องสำคัญ จะขาดพระชายาได้อย่างไร”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”นางสามารถมั่นใจได้ ผู้ชายชาติชั่วคนนี้จงใจแน่นอนเฟิ่งเชียนอวี่หายใจเข้าลึกๆ เริ่มออกแรงปัดแขนของเขาอย่างลับๆ “ท่านอ๋อง ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เรื่องสำคัญอย่างการถวายของขวัญ ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องคนเดียวก็พอแล้ว” ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ดั่งคำที่ว่าสามีภรรยาร่างเดียวกัน ข้างกายข้าจะขาดใครก็ได้ แต่ห้ามขาดพระชายา”เวลานี้เอง เสียงแหลมของขันทีที่ประกาศดังขึ้น“จวนอ๋องหกถวายของขวัญ…”ปัดโธ่ พลาดเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว คราวนี้อยากไปก็ไปไม่ได้แล้วเฟิ่งเชียนอวี่สะบัดแขนออกอย่างไม่สบอารมณ์ จ้องเขาแล้วกัดฟันกล่าว “ท่านอ๋องพอใจแล้วกระมัง”ตงฟางจิ่งเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วลุกขึ้น “ไปเถอะ พร