มหาราชครูหานไม่กล้าเงยหน้าด้วยซ้ำ “ท่านอ๋องใจเย็นๆ เกิดเรื่องเช่นนี้กับลูกของข้าน้อย ชั่วขณะโมโหเกินไป ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแน่นอนขอรับ”แม้หานจวิ้นกลัวตงฟางจิ่ง แต่ยิ่งโกรธที่ตนเองได้รับบาดเจ็บ ทนไม่ไหวกล่าว “ท่านพ่อ เรื่องนี้จะปล่อยไปทั้งเช่นนี้ไม่ได้ ตาของลูกรักษาไม่หายแล้วนะ”เฟิ่งเชียนอวี่มองบน หัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “คุณชายหาน เมื่อครู่ข้าไม่พูด ปล่อยให้เจ้าใส่ร้าย เจ้ายังจะเอาอีกใช่ไหม”“ตาเจ้าบอดเกี่ยวอะไรกับข้า วันนี้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน เจ้าเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น แต่กลับโชคร้ายพลัดตกจากเวทีจนตาขวาบาดเจ็บ ทำชั่วได้ชั่ว ล้วนเกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น”“อีกอย่างนะ เมื่อครู่ข้าให้สาวใช้แสดงป้ายคำสั่งจวนอ๋องเพื่อยืนยันสถานะ คุณชายหานกลับทำดีมาก ไม่เพียงมองข้าม มารยาทยิ่งเลวทราม ทำไม นี่เจ้ากำลังมองข้ามจวนอ๋องหกของข้าหรือ?”“เจ้า…” หานจวิ้นเกลียดชัง“จวิ้นเอ๋อร์หุบปาก”มหาราชครูหานกัดฟันตำหนิ เขามองเฟิ่งเชียนอวี่ “พระชายาอย่าพูดเหลวไหล ลูกข้าไม่มีเจตนาเช่นนี้แน่นอน”เฟิ่งเชียนอวี่ยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะ”มหาราชครูหานชะงัก ดวงตาที่ขุ่นมัวมืดมนลงเล็กน้อยเรื่องของวัน
หลายวันต่อจากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่ไม่ได้ออกจากจวน อยู่แต่ในเรือนทุกวัน ให้สาวใช้หาของเล่นใหม่ๆ มาให้นางเล่น แล้วก็ทำยาผงต่างๆภายในห้อง เฟิ่งเชียนอวี่มองขวดหยกดินเผาสิบกว่าใบตรงหน้า ข้างในล้วนเป็นผลงานในช่วงไม่กี่วันนี้ของนางเมื่อก่อนนางเป็นถึงดอกเตอร์แพทยศาสตร์ชั้นนำของประเทศเฮช ภายในประเทศมีสถาบันวิจัยทางการแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตก นางในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านการวิจัยไม่กี่คน มีอำนาจสูงมากเช่นกันอะไรที่เกี่ยวข้องกับยา แค่นางเอ่ยปาก ก็มีคนหามาให้นางโดยเฉพาะมรดกยาจีนตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ วัตถุโบราณอย่างหนังสือผ้าไหม หนังสือผ้าแพร และรวมถึงหนังสือต้นฉบับที่ แล้วก็หวงตี้เน่ยจิง[1] เปิ่นเฉ่ากังมู่[2]ต่างๆ ที่ถูกขุดพบ ล้วนไม่รู้ว่าถูกนางเปิดอ่านแล้วกี่รอบด้วยพรสวรรค์ทางการแพทย์ของนาง ได้รับการยกระดับจากพื้นฐานเดิม สำหรับการวิจัยและผลิต ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไรภายในขวดดินเผาที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้มีทั้งยาเม็ดและยาผง มีทั้งยารักษาและยาพิษลองจินตนาการดูว่าถ้าหากต่อไปมีคนกล้ามาปิดล้อมนาง นางก็สาดยาผงออกไปหนึ่งกำมือ ต้องเป็นภาพที่ล้มระเนระนาดในพริบตาแน่
เฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้า นางรู้จักภาษาสันสกฤต นั่นเป็นเพราะนางมีปู่ที่ชื่นชอบวรรณกรรมโบราณกับวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธมากอินเดียนับถือศาสนาพุทธมาโดยตลอด โบสถ์พุทธมีรากฐานที่ลึกซึ้ง ย่อมเป็นเป้าหมายในการวิจัยของปู่นางด้วยเช่นกัน ภาษาแรกของอินเดียก็คือภาษาสันสกฤตเฟิ่งเชียนอวี่เติบโตมากับปู่ตั้งแต่เด็ก เมื่อได้เห็นได้ยินทุกวัน นางอ่านภาษาสันสกฤตได้ก็ไม่แปลกแต่คุณหนูสามของจวนอัครเสนาบดีรู้จักภาษาสันสกฤต เช่นนั้นก็น่าแปลกแล้ว แต่ตงฟางจิ่งไม่ได้พูดออกมา“เจ้าอ่านที่ข้าเขียนทั้งหมดหนึ่งรอบ” ตงฟางจิ่งกล่าวเฟิ่งเชียนอวี่เบะปาก “ทำไม ไม่เชื่อว่าข้ารู้จักหรือ อ่านก็อ่าน”นางเดิมอ้อมโต๊ะ เริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก“มรรคมีสามรัตนะ ฟ้า ดิน มนุษย์ มนุษย์มีสามรัตนะ แก่นแท้ ปราณ จิตวิญญาณผันกระดูกควรยึดตามคัมภีร์ล้างไขกระดูก ขัดเกลาแก่นแท้ หลอมปราณ แปรผันสู่เทพ บุรุษคือผู้ใช้กำปั้น วิชาเป็นตาย เมื่อเข้าถึงย่อมรู้แจ้ง…”เฟิ่งเชียนอวี่อ่านทีละบรรทัดโดยไม่สนใจคนอื่น ไม่สังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของคนในห้องหนังสือเลย“เป็นอย่างไร อ่านไม่ผิดกระมัง” เฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้วตงฟางจิ่งเม้มปาก “ดีมาก ดูเหมือนพระ
ตงฟางจิ่งค่อนข้างสงบ ยังมีอารมณ์วิเคราะห์ให้นางฟัง “อาการบาดเจ็บของหานจวิ้น แม้แต่หมอหลวงในวังก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถรักษา? ใครจะเชื่อ?”“หากไม่มีข้า เกรงว่าเจ้าไม่สามารถเข้าประตูใหญ่ของจวนหานด้วยซ้ำ ข้ารับประกันทักษะการแพทย์ของเจ้า ก็ต้องรับความเสี่ยงเช่นกัน”“ท่าน…” เฟิ่งเชียนอวี่โมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว“พระชายาเลือกเอง ระหว่างไม่ได้ค่าตอบแทนแม้แต่แดงเดียว หรือได้ค่าตอบแทนห้าส่วน” ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเชื่องช้าเฟิ่งเชียนอวี่จ้องเขาเขม็ง อัดอั้นอยู่ครึ่งค่อนวันจึงจะเอ่ยปาก “สองส่วน”ตงฟางจิ่งไม่ได้สนใจนาง“สามส่วน…”ตงฟางจิ่งยังคงไม่สนใจเขาเฟิ่งเชียนอวี่อยากหมุนกายเดินจากไปอย่างสง่างาม แต่เท้าของนางกลับไม่ขยับ แม้แบ่งครึ่งหนึ่งมันทำให้นางปวดใจมากแต่ก็เหมือนกับที่หมอนี่พูด เขาไม่พานางไป นางก็จะไม่ได้แม้แต่แดงเดียวชั่วขณะ เฟิ่งเชียนอวี่ก็เหี่ยวลงเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเจาะ ยอมประนีประนอมแล้วคราวนี้ตงฟางจิ่งเหมือนนึกถึงอะไร “หนังสือต้นฉบับภาษาสันสกฤตที่ข้าพูดเมื่อครู่ ถ้าหากพระชายาตอบตกลง ข้าก็จะยอมถอยส่วนสองส่วนก็ใช่ว่าจะไม่ได้”สีหน้าเฟิ่งเชียนอวี่เดี๋ยวมืดเด
เฟิ่งเชียนอวี่มองตัวเองในกระจกสัมฤทธิ์ ลูบหนวดไม่กี่เส้นที่อยู่ใต้คาง กระแอมเสียงหนาทีหนึ่ง จงใจทำให้เสียงทุ้มต่ำ หันไปหาตงฟางจิ่ง พลันสะบัดแส้ ประสานมืออย่างยิ้มแย้ม “คำนับท่านอ๋อง”ตงฟางจิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย “เลิกลูบได้แล้ว หนวดหลุดแล้ว”“ฮะ? จริงหรือ?”พลันเฟิ่งเชียนอวี่ตกใจ รีบลูบแล้วลูบอีกอีกครั้ง เมื่อเห็นตงฟางจิ่งเดินไปแล้วก็รีบตามไป“นี่ ท่านอ๋องรอข้าด้วยสิ หนวดนี่กันน้ำหรือไม่ ถ้าหากหลุดจริงๆ จะทำอย่างไร? ท่านอ๋อง…”ในเมืองหลวง ถนนทุกสายสร้างติดกัน จวนของขุนนางในราชสำนัก แบ่งตามลำดับขั้น จากต่ำไปสูง ตำแหน่งของการสร้างจวนก็ไล่จากชานเมืองสู่ใจกลางเมืองหลวงลำดับขั้นยิ่งต่ำ ที่ตั้งของจวนก็ยิ่งอยู่ห่างออกไป ลำดับขั้นยิ่งสูง จวนก็ยิ่งใกล้ใจกลางเมืองหลวงอย่างเช่นตงฟางจิ่งที่เป็นอ๋องหกคนนี้ ในฐานะที่เป็นลูกหลานของราชวงศ์ ระยะห่างของจวนกับวังหลวง ด้วยความเร็วในการนั่งรถม้า ใช้แค่ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วนี่ก็คือความแตกต่างของสถานะมหาราชครูหานเป็นขุนนางขั้นห้า ทำงานในสำนักราชบัณฑิต รถม้าของจวนอ๋องต้องใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูปจึงจะถึงหนึ่งก้านธูปของยุคโบราณ เท่ากับประมาณครึ่งชั่วโ
สำหรับอาจารย์ที่เฟิ่งเชียนอวี่พูดถึง ตงฟางจิ่งยอมเชื่อ อย่างไรก็ตาม นี่จึงจะสามารถอธิบายได้ว่าทักษะการแพทย์ที่แปลกประหลาดของนางมาจากที่ไหนแต่เฟิ่งเชียนอวี่บอกว่านางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวตนของอาจารย์เลย ตงฟางจิ่งกลับไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ผู้หญิงคนนี้ยอมบอกแต่โดยดีสิถึงจะแปลกตงฟางจิ่งสั่งให้คนขับรถม้าเปลี่ยนเส้นทาง ไปที่คุกหลวงกรมราชทัณฑ์แทนนักโทษที่กรมราชทัณฑ์กักขัง นอกจากขุนนางบางส่วนที่ถูกสั่งจองจำ ที่เหลือก็เป็นคนในยุทธภพที่เป็นภัยและกระทำความผิดร้ายแรงขุนนางของกรมราชทัณฑ์คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องหกจะมา ต่างพากันออกมาต้อนรับ “พวกเราคำนับท่านอ๋อง”“ลุกขึ้นเถอะ”“ขอบคุณท่านอ๋อง”เฟิ่งเชียนอวี่กวาดมองโดยรอบอย่างอยากรู้อยากเห็น นี่ก็คือคุกหลวงของกรมราชทัณฑ์ในยุคโบราณหรือ ได้ยินมาว่าในวังหลวงยังมีคุกสวรรค์ที่ใหญ่กว่านี้ ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรตงฟางจิ่งให้ขุนนางทั้งหลายนำหนังสือหลักฐานของนักโทษที่มีโทษประหาร และได้มีราชโองการให้ตัดศีรษะหลังฤดูใบไม้ผลิร่วงออกมาดูโดยตรงหนึ่งในขุนนางลังเลครู่หนึ่ง รวบรวมความกล้าสอบถาม “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องอยากทำอะไรหรือขอรับ?”อ
เฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้าแล้วเดินเข้าไป นางมองหลิวต้านอย่างเย็นชา สำหรับคนชั่วที่ทำร้ายเด็กเช่นนี้ น่าเกลียดชังที่สุดนางแตะหลิวต้านพลิกตัวกลับมา นั่งยองๆ เปิดหนังตาของเขา ตรวจดูอย่างละเอียดครู่หนึ่งดวงตาของหลิวต้านขุ่นมัว และถึงขั้นมีจุดสีเหลืองจางๆ ที่ขอบ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากระจกตาของเขา ไม่ได้มีสุขภาพที่ดีมากนักแต่เฟิ่งเชียนอวี่ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนคน หานจวิ้นคนนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร นางไม่ได้ใจดีถึงขั้นพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้อีกฝ่าย สามารถทำให้เขามองเห็นแสงสว่างได้อีกครั้งก็ดีมากแล้วเฟิ่งเชียนอวี่มองข้ามตงฟางจิ่งที่อยู่ข้างๆ ล้วงเครื่องมือสองสามอย่างออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง หลังจากนั้นก็เอากระจกตาของหลิวต้านออกมาแช่ในยาน้ำอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง เสร็จแล้ว”ตงฟางจิ่งมองทักษะที่เรียกได้ว่าคล่องแคล่วสวยงามของนาง มีความประหลาดใจสายหนึ่งแลบผ่านแววตา พยักหน้าก็พาเฟิ่งเชียนอวี่จากไปคนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลหานต่อหน้าประตูจวนตระกูลหานเฟิ่งเชียนอวี่ลงจากรถม้าตามหลังตงฟางจิ่ง ยามเฝ้าประตูของจวนย่อมสามารถมองสถานะของรถม้าออกในปราดเดียว รีบเข้าไปรายงานทันทีไม่นา
“ท่านนักพรตสามารถรักษาลูกชายข้าจริงๆ?” มหาราชครูหานกล่าวถามอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยเฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้ว “เรื่องนี้แน่นอน”“เยี่ยมไปเลย ลูกข้ามีทางรักษาแล้ว ท่านอ๋อง บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ ข้าน้อยไม่รู้ควรตอบแทนอย่างไร”มหาราชครูหานไม่คิดว่าตงฟางจิ่งที่เป็นถึงท่านอ๋องจะมาหลอกเขาเล่น ดังนั้นอารมณ์จึงเป็นตื่นเต้นมากจริงๆตงฟางจิ่งโบกมือ “ข้าเป็นแค่คนกลาง คนที่มีความสามารถจริงๆ คือนักพรตท่านนี้”“ขอรับๆ ไม่ทราบว่านามของท่านนักพรตคือ?”แววตาเฟิ่งเชียนอวี่สั่นไหวเล็กน้อย “ข้าแซ่เฟิง”พูดถึงก็บังเอิญ เดิมทีนางก็ชื่อเชียนอวี่ เพียงแต่เป็นเฟิงเชียนอวี่ มาถึงยุคโบราณ ก็ยังชื่อเดิม แต่นามสกุลเปลี่ยนไปแล้วท่าทางของมหาราชเกรงใจมาก “ที่แท้ก็คือนักพรตเฟิง ไม่ทราบว่าท่านรักษาลูกชายข้า ต้องใช้สมุนไพรล้ำค่าชนิดใดบ้าง ข้าจะได้เตรียมล่วงหน้าได้สะดวก”เฟิ่งเชียนอวี่ล้วงกระดาษแผ่นออกจากแขนเสื้ออย่างคล้อยตาม มีชื่อสมุนไพรยี่สิบกว่าชนิดเขียนอยู่บนนั้นสมุนไพรเหล่านี้มีราคาสูงมาก ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินไม่น้อยจึงจะซื้อได้นี่เป็นของที่เฟิ่งเชียนอวี่เตรียมไว้ล่วงหน้านานแล้ว ที่จริงรักษาหานจวิ้นไม่จำเ