เพื่อลูกแล้ว นางหลิวก้มศีรษะอันหยิ่งยโสลง นางหยางถอนหายใจเบา ๆ ไม่อยากทำให้นางลำบากใจแล้ว“เจ้าทิ้งเด็กไว้เถอะ ในเมื่อเรารับเด็กคนนี้ไว้แล้ว ต่อไปก็จะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี จะไม่เอาบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนมาใส่ตัวนาง”“ขอบคุณ”นางหลิวผู้นี้ ปากเสีย แต่จิตใจไม่ได้มืดบอด นางรู้ว่าบ้านสามมีนิสัยใจคออย่างไร พวกเขาจะไม่โหดร้ายกับตัวตัว ไม่เช่นนั้นนางคงไม่กล้ายกลูกให้“เจ้าบอกลาลูกซะ” นางหยางหันหลังกลับ ทนเห็นฉากนี้ไม่ได้นางหลิวได้ยินดังนั้นก็ร่ำไห้ ตัวตัวก็ร่ำไห้เช่นกัน แต่นางอดกลั้นไว้ เด็กน้อยวัยห้าขวบเข้าใจอะไรแล้ว ก่อนออกเดินทาง นางหลิวได้จับมือของนางไว้และพูดหลักการอันยิ่งใหญ่ให้นางฟัง นางเข้าใจทุกอย่าง“เด็กดี ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังครอบครัวของนายท่านในจวนกู้แห่งนี้ให้มาก ๆ พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าต้องจำไว้ว่า พวกเขาคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้า เจ้าต้องปรนนิบัติพวกเขาเป็นอย่างดี ตอบแทนพวกเขาในอนาคต อย่าตำหนิผู้ใด ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อแม่เอง พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ได้ แม่ แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วย”นางหลิวพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว เสียงของนางขาดห้วงไปหมด
เกาเจี้ยนเอ่ยคำยกยอก่อน จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว“เมื่อวานข้าถามพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าว่า พี่หญิงซวนของเจ้าอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าพวกเขาไม่ยอมบอกข้า วันนี้ที่โต๊ะอาหาร ข้าเห็นพวกเจ้าแต่ละคนมีท่าทีที่แตกต่างกันไป ราวกับว่ากำลังปิดบังบางอย่างจากข้านังหนูจิ่น เจ้าพูดกับข้าตามตรง เกิดอะไรขึ้นกับอาลู่หรือเปล่า?”ซูจิ่นเอ๋อร์หัวชาทันที สีหน้าลำบากใจ “มี มีที่ไหนกันเล่า พี่หญิงซวนสบายดี”“ในเมื่อสบายดี แล้วทำไมถึงพบหน้าไม่ได้?”เกาเจี้ยนขมวดคิ้ว “พวกเจ้าอย่าคิดว่าข้าโง่ นางบาดเจ็บหรือเปล่า หรือว่านางป่วย อย่าปิดบังข้าเลย!”“พี่ใหญ่เกา”ใบหน้าของเกาเจี้ยนแดงก่ำ ซูจิ่นเอ๋อร์เห็นเขาเป็นกังวลมากเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจมากนางถอนหายใจ “ข้าหมายความว่า สมมติว่า ถ้าพี่หญิงซวนทำอะไรไม่ดี”“อะไรที่ว่าไม่ดี?” เกาเจี้ยนยิ่งงุนงงกว่าเดิม ราวกับว่ามีมดนับหมื่นตัวกำลังกัดแทะจิตใจ จนทำให้เขาอยู่ไม่สุขเป็นอย่างมาก“บอกข้าเถอะ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารับได้ทุกเรื่อง พวกเจ้าปิดบังไว้แบบนี้ต่างหากที่ทำให้ข้าร้อนใจ”ซูจิ่นเอ๋อร์หวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเกาเจี้ยนก็เป็นกังวลมากจริง ๆ
หน้ากากหนังมนุษย์ดูสมจริงมาก คนชุดดำไม่รู้สึกสงสัยอะไรเลย กู้หว่านเยว่เอ่ยอย่างลำพองใจ“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ากับท่านอ๋องมีมิตรภาพจากการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เขาไว้ใจข้ามาก”ภายในมิติ ซูจิ่งสิงได้ยินคำพูดของกู้หว่านเยว่ พลางแสยะมุมปากขึ้น พรสวรรค์ในการเลียนแบบของน้องหญิงมีสูงมากจริง ๆ ถ้าเขาไม่รู้ว่าคนข้างนอกคือน้องหญิงที่ปลอมตัวมา ก็เกือบจะนึกว่าซวนลู่มาจริง ๆ“ของล่ะ เอามาให้ข้าอีก”กู้หว่านเยว่ยื่นมือออกมา คนชุดดำกำลังบีบบังคับนาง“ของน่ะให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องไม่ลืมความร่วมมือของเรา ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้าและทำงานให้ข้า”“ข้าไม่ลืม” กู้หว่านเยว่ค่อนข้างใจร้อน มองไปที่คนชุดดำที่ไม่ค่อยอยากคุยด้วยมากนัก เลียนแบบท่าทางของซวนลู่จนเหมือนเปี๊ยบคนชุดดำก็ไม่นึกสงสัยอะไรเลย พลางหยิบขวดยาดอกฉิงฮวาออกมาจากอกของสิ่งนี้มันเสพติดได้ ยิ่งกินยิ่งติด หนีไปไหนไม่ได้เขาต้องการให้ซวนลู่ค่อย ๆ ให้ซูจิ่งสิงกินก่อน รอจนกว่าซูจิ่งสิงจะขาดมันไม่ได้โดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่เขาได้ลงมือคนชุดดำส่งขวดยาให้กู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่เอื้อมมือออกไป แต่กลับไม่ได้คว้ายานั่นไว้ กลายเป็นคว้าข้อมือของ
“เจ้าบอกว่าเกาเจี้ยนพานางไปหรือ?”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ต่างก็ตกใจ ที่ทั้งสองไม่ได้บอกความจริงกับเกาเจี้ยนเมื่อวาน ก็เพราะกลัวว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นหลังจากวางแผนจับตัวคนทูเจวี๋ย รวบรวมคำให้การและหลักฐาน ให้ซวนลู่ไม่มีทางปฏิเสธได้ แล้วจึงค่อยบอกเกาเจี้ยน“ข้าน้อยไร้ความสามารถ”ฉู่เฟิงถอนหายใจ รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่หน้าอก“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงไม่ตำหนิชู่เฟิง เขารู้ทักษะการต่อสู้ของเกาเจี้ยนดี พละกำลังไม่มีวันหมด สามารถฆ่าหมีตัวหนึ่งได้ด้วยมือเปล่า องครักษ์เงาจันทร์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ มันเป็นเรื่องปกติ“พาคนทูเจวี๋ยผู้นี้ลงไปไต่สวนก่อน” ซูจิ่งสิงส่งคนชุดดำให้ฉู่เฟิงแล้วถามว่า “เกาเจี้ยนไปทางไหน?”“ไปทางประตูเมืองขอรับ” ฉู่เฟิงพูดพลางคว้าคนชุดดำไว้“น้องหญิง เราไปตามเขากันเถอะ” ซูจิ่งสิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ซวนลู่เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด เกาเจี้ยนเป็นคนดื้อดึง กลัวว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกำมือนาง“ตกลง” กู้หว่านเยว่พยักหน้า ก่อนจะมองไปทางซูจิ่นเอ๋อร์ “เจ้าไม่ต้องร้องไห้ กลับไปรอฟังข่าวที่จวนก่อน”เมื่อครู่ซูจิ่นเอ๋อร์รู้สึกผิดมากเหลือเกิน บวกกับฟ้ามืด จึงมองไม่ค่อยเห็นผ
ซวนลู่ขบกรามแน่น มองดูเกาเจี้ยนที่ล้มลงไป แล้วเดินไปยังสถานที่ซื้อขายม้าเดินโดยไม่เหลียวหลังนางไปยังสถานที่ซื้อขายม้าและซื้อม้าเร็วมาตัวหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจะขึ้นม้า เกาเจี้ยนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“ท่าน?” ซวนลู่ตกใจ “ท่านเพิ่งหมดสติไปมิใช่หรือ?”เกาเจี้ยนยิ้มเจื่อน ๆ มองดูซวนลู่เหมือนไม่เคยรู้จักนางมาก่อน“ขณะที่สาดผงยาเข้ามาข้าก็กลั้นหายใจ เจ้าเห็นสกุลเกาของเราเป็นอะไร เรื่องการป้องกันตัวแบบนี้จะไม่มีเลยหรือ”บรรพบุรุษสกุลเกาของพวกเขา เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนอกกรอบในยุทธภพเหล่านี้“อาลู่ เจ้ากลับไปกับข้า” เกาเจี้ยนกล่าวเสียงหนักแน่น“ข้าจะไม่ตามหาพยานบุคคลอะไรนั่นแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ ข้าอยากตรงกลับบ้านเลย”“ไม่ได้” เกาเจี้ยนก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้านางไว้ “อาลู่ เจ้าต้องกลับไปกับข้าแล้วคุยกันให้ชัดเจน”ที่แท้หลังจากเกาเจี้ยนรู้ความจริงจากปากซูจิ่นเอ๋อร์แล้ว ก็ออกตามหาสถานที่ที่ซวนลู่ถูกคุมขังไว้ เขามีความสามารถในการสืบสวนที่ดีเยี่ยม ค้นหาไม่นานก็พบที่อยู่ของซวนลู่จริง ๆ“อาลู่ เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่า เจ้าไม่ได้วางยาจิ่งสิง เป็นจิ่งสิงเองที่ควบคุ
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองยังมิได้ทำความรู้จักกับสตรีตรงหน้าดีๆ เลยสักครั้ง“ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้”เกาเจี้ยนได้สติขึ้นมา ตัดสินใจแล้ว“หากเจ้าไปแล้ว เรื่องก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก บัดนี้เจ้าจงกลับไปโขกศีรษะยอมรับผิดต่อพวกเขาพร้อมข้า เรื่องนี้ยังพอมีโอกาสย้อนคืนกลับมาได้”เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หัวใจคล้ายค่อยๆ เย็นชาลง “ส่วนเรื่องการแต่งงานของพวกเรา...”เขายิ้มขมปร่าออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกับข้า หลังจากกลับไปข้าจะบอกท่านพ่อและท่านลุงเอง พูดว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้าถอนหมั้นกับเจ้า เพื่อให้เจ้าได้ไปตามหาความสุขของตน”เขาไล่ตามซวนลู่มาเนิ่นนาน ถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยมือการรักใครสักคน ไม่จำเป็นต้องครอบครองนางเสมอไป“พี่ใหญ่เกา ท่านพูดจริงหรือ?” ซวนลู่รู้สึกทรมานภายในใจขึ้นมาในทันใด คล้ายกับว่าได้สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป“จริง” เกาเจี้ยนยิ้มขมปร่า “ขอเพียงเจ้ากลับไปยอมรับผิดกับข้าก็พอ”“ข้า...” ซวนลู่หลุบตาลง เสียงแผ่วเบาราวกับยอมรับผิดแล้ว “แต่ข้ากลัว”เกาเจี้ยนปวดแปลบภายในใจ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”“อืม พี่ใหญ่เกา ท่านดึงข้าลงจากม้า พาข้ากลับไปเถอะ”ดวงตา
นางพูดพลางเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นสวรรค์ คนผู้นี้เจอศัตรูมาแล้วกระมัง ที่อกถึงขั้นมีกริชเล่มหนึ่ง มิหนำซ้ำกริชเล่มนี้ยังแทงลึกมากเพียงพอจริงๆกระนั้นยังดี นางตรวจดูแล้วเล็กน้อย พบว่ากริชไม่ได้แทงตรงกลางหัวใจ น่าจะยังพอมีทางให้ช่วยเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่ ลั่วยางใคร่ครวญดูแล้วยังมิอาจหักใจเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยได้ จึงยกเขาขึ้นไปบนรถม้า“วันนี้ได้พบข้า ถือว่าเจ้าโชคดี”รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองอวี้ ส่วนทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ไล่ตามออกจากเมืองอย่างว่องไว“ที่นี่มีเลือด ยังมีกระเป๋าผ้าไหมปักลายอยู่หนึ่งใบ”กู้หว่านเยว่สังเกตเห็นกระเป๋าผ้าไหมปักลายที่มีเลือดเปื้อนตกอยู่ข้างทาง จึงรีบยื่นให้ซูจิ่งสิง“ของสิ่งนี้เป็นของเกาเจี้ยน ดูท่าแล้วพวกเขาเคยผ่านมาที่นี่” ซูจิ่งสิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง กังวลว่าอาลู่ได้ประโยชน์แล้วจะทำลายคนทิ้ง“เจดีย์หนิงกู่อยู่ในระหว่างการซ่อมถนน หลังจากออกจากเมืองไปแล้วต้องการจากไป มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะสามารถออกไปได้ ให้องครักษ์จันทราไล่ตามเส้นทางนั้นไปก็พอ”กู้หว่านเยว่หยิบพลุสัญญาณออกมาอันหนึ่ง ยิ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่เฟิงพาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งกลับมามือเปล่า“นายท่าน พวกเราไม่พบเบาะแสของขุนพลเกา”ซูจิ่งสิงรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ เขาและเกาเจี้ยนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย หลังจากเกิดเรื่องในคืนนี้ แม้จะโกรธ แต่กลับกังวลความปลอดภัยของเกาเจี้ยนมากกว่า“เพิ่มกำลังคน ขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้น”หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กู้หว่านเยว่ปลอบใจด้วยเสียงนุ่มนวล “เส้นทางนี้เป็นทางหลวง แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ยังคงมีคนเดินทางผ่านไปมาเป็นไปได้มากว่าเกาเจี้ยนจะถูกคนผ่านทางช่วยไปแล้ว”“น้องหญิง เจ้าพูดถูกแล้ว”เห็นว่าค่ำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็ไม่สามารถรออยู่ที่นี่โดยเสียเปล่าได้ จึงพาซวนลู่กลับไปที่จวนไฉนเลยจะรู้ว่าจะได้พบลั่วยางที่หน้าประตูจวนกู้“พี่หญิงหว่านเยว่!”ดวงตาสองข้างของลั่วยางทอประกายระยับ วิ่งเข้าหากู้หว่านเยว่อย่างกระตือรือร้น“ลั่วยาง”ช่วงนี้กู้หว่านเยว่มักได้รับจดหมายจากลั่วยางที่ส่งมาจากซีเป่ย จดหมายพูดถึงเรื่องที่นางได้ติดต่อกับแพทย์ของร้านยาที่ซีเป่ยบางส่วน รวมกลุ่มกันตรวจรักษา เพื่อรักษาราษฎร์ที่ได้รับความลำบากและทหารเปลี่ยนไปจากคนเดิมในอดีตราวกับคนละคน
ข้าเป็นคนไร้ชื่อเสียงย่อมไม่กลัว แต่ต่อไปจวนแม่ทัพของพวกเจ้ายังจะมีหน้าอยู่ในซุ่ยโจวอีกหรือ”ระหว่างที่พูด แม่นางตั่วเดินไปใต้ต้นไม้อีกครั้ง แล้วกอดเฉิงซินที่ถูกมัดแขวนไว้“คุณชายน้อย ท่านหลอกบ่าวให้หลงเชื่อสนิทใจ ท่านบอกว่าจะพาบ่าวไปอยู่อย่างสุขสบาย บ่าวจึงได้ทิ้งผัวที่บ้านตามท่านมา แต่สุดท้าย ทุกคนในบ้านท่านกลับรังแกบ่าว ฮือฮือฮือ...”อย่าเห็นว่าแม่นางตั่วแต่งงานแล้ว กลับหน้าตาเย้ายวน ทั่วทั้งตัวมีจริตจะก้านแผ่ซ่านออกมาสวมกระโปรงเกาะอกรัดเอวตัวยาว ภายนอกมีเสื้อคลุมสีชมพูสวมทับ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ทำให้เฉิงซินมองดูจนไม่อาจละสายตา“เฉิงเหลียน เจ้า เจ้าตะโกนโหวกเหวกใส่คนของข้า หากจะวางอำนาจก็กลับไปที่ค่ายทหารของเจ้า อย่ามาวางอำนาจให้ข้าดู”เฉินซินเห็นแม่นางตั่วถูกรังแกไม่ได้ จึงรีบตะโกนใส่เฉิงเหลียน“เจ้านี่มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ท่านแม่หมดสติเพราะโกรธเจ้าเรื่องหญิงคนนี้ แต่เจ้ากลับปกป้องนางหรือ”ทำไมถึงได้มีคนที่โง่ขนาดนี้?เฉิงเหลียนกำหมัดแน่นช่างเป็นลูกชายที่แน่จริง ทำให้พ่อแม่ลำเอียงรักแต่เขา“ก็เพราะท่านแม่โกรธข้าจนหมดสตินะสิ หากข้าไล่ให้นางไป ท่านแม่ไม่หมดสติเส
เมื่อหมอหลายคนได้ยินว่ากู้หว่านเยว่มาตรวจอาการของเฉิงฮูหยิน ทำให้โล่งอกทันทีรีบแจ้งข้อสรุปในการตรวจอาการให้กู้หว่านเยว่ส่วนข้อสรุปนั้นก็คือ...เอ่อ ไม่มีข้อสรุปกู้หว่านเยว่เองก็เป็นหมอเมื่อเห็นท่าทางเหงื่อแตกพลั่กของทุกคน นางก็เข้าใจทันทีพวกเขาไม่มีวิธีแต่ก็กลัวเฉิงทั่วลงโทษดูท่าอาการของเฉิงฮูหยินค่อนข้างอันตรายกู้หว่านเยว่มาถึงข้างเตียง แล้วเริ่มตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยิน ดูจากการเต้นของชีพจร นางวินิจฉัยว่าอาการหมดสติของเฉิงฮูหยินมีสาเหตุมาจากหัวใจแต่ความจริงจะใช่หรือไม่ คงต้องตรวจให้ลึกลงไปอีกขั้นกู้หว่านเยว่ลุกขึ้นแล้วให้เฉิงทั่วกับหมอหลายคนออกไป ส่วนนางอยู่ในห้องแล้วพาเฉิงฮูหยินเข้าไปตรวจในมิติหลังจากตรวจดู กู้หว่านเยว่แน่ใจว่าเฉิงฮูหยินมีปัญหาหัวใจแต่กำเนิดโชคดี ที่เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าร้ายแรงมากนักหมอหลายคนสลับกันรักษา แม้จะไม่ทำให้เฉิงฮูหยินฟื้นขึ้นมา แต่อย่างไรก็ทำให้อาการของนางทรงตัวกู้หว่านเยว่พาเฉิงฮูหยินออกมาจากมิติ แล้วให้ซูจิ่งสิงปล่อยพวกเขาเข้ามา“พระชายา ฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“แม่ข้าจะฟื้นขึ้นมาอีกหรือไม่?”เฉิงทั่วกับเฉิงเหลียนเข้ามาถึ
ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นในใจของผู้ชมอย่างนาง ลุกโชนโชติช่วงตกลงเจ้าเฉิงซินพาสตรีแบบใดกลับมา ถึงได้ทำให้เฉิงฮูหยินโกรธจนหมดสติไป อีกทั้งแม่ทัพเฉิงยังด่าทอต่อว่าได้น่าเกลียดเช่นนี้หลังจากหันมองดูภายในเรือนหนึ่งรอบ เหมือนจะไม่เห็นสตรีผู้นั้น“ท่านพี่ พวกเขาเอาสตรีนางนั้นไปไว้ที่ใดหรือ?”กู้หว่านเยว่แอบกระซิบข้างหูซูจิ่งสิง อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างระอาเรื่องอย่างนี้ เขาจะสนใจได้อย่างไร?“ไปเถอะ เข้าไปดูข้างในก่อน”ช่วยคนสำคัญกว่า กู้หว่านเยว่ตามเฉิงทั่วเข้าไปในห้องขณะนี้ภายในห้องมีหมออีกสามคนกำลังรักษา หมอคนหนึ่งตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยินอยู่ข้างเตียง ส่วนหมออีกสองคนยืนสีหน้าร้อนใจอยู่ด้านหลัง“เป็นอย่างไร?”หมอคนหนึ่งแอบกระซิบถามหมอที่ตรวจชีพจรส่ายหน้าเบาๆ“นี่จะทำเช่นไรดี หากรักษาเฉิงฮูหยินไม่ได้ ด้วยนิสัยของท่านแม่ทัพ คงได้กุดหัวพวกเราจนหลุดแน่”หนึ่งในหมอเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของเฉิงฮูหยินสำหรับเฉิงทั่ว“พวกเจ้าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้”“หมอโจว ที่นี่ทักษะวิชาแพทย์ของท่านสูงกว่าใคร ประสบการณ์โชกโชน ท่านลองดูสิว่าอาการของฮูหยินควรทำอย่างไร?”หมอสองคนมองด
เฉิงทั่วเป็นคนที่เย่อหยิ่งมากพอเจอหน้ากันก็ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ พอเห็นได้ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดกู้หว่านเยว่นึกถึงรองแม่ทัพที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ แล้วเชิญเฉิงทั่วออกไปหรือว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว เฉิงฮูหยินยังไม่ฟื้นอีก?“เจ้าลุกขึ้นมาก่อน”“ข้าน้อยไม่ลุก นอกจากพระชายาจะรับปาก”เฉิงทั่วทำหน้าดื้อดึง เมื่อมองให้ละเอียดขอบตาของเขาแดง“เอาละ เจ้านำทางไปเถอะ แล้วบอกมาด้วยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางเลือก ดูท่าคงกลับไปนอนต่อไม่ได้แล้วเฉิงทั่วถึงได้เช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นจากพื้น อย่าว่าไป ท่าทางเช่นนั้นน่าสงสารเหลือเกินตาเฒ่าผู้นี้คงเป็นห่วงภรรยาของเขาจริงๆ“เมื่อคืนตั้งแต่ฮูหยินหมดสติไป ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย นอนอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ว่าหมอจะใช้วิธีใด ก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้น”เฉิงทั่วพูดไปด้วย ขอบตาพลันแดงไปด้วยเขากับเฉิงฮูหยินแต่งงานกันตั้งแต่หนุ่มสาว ประคับประคองกันมาตลอดในอดีตยามออกศึกที่ชายแดน เฉิงฮูหยินติดตามเขาไปด้วย ต่อมาย้ายมารักษาการที่ซุ่ยโจว เฉิงฮูหยินก็ตามมาอีกคลอดบุตธิดาให้เขาสองคน ทั้งสองคนรักใคร่กันมากถ้าเฉิงฮูหยินเกิดเรื่องอะไ
คาดว่าน่าจะเป็นศัตรูของสกุลอวิ๋น เห็นอวิ๋นมู่พ่อลูกไม่กลับมานานจึงสบจังหวะหาช่องว่าง เล่นงานสกุลอวิ๋นในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นมู่ไม่กลับไปคงไม่ได้แล้วซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าส่งคนไปคุ้มกันเจ้า”ตอนนี้สกุลอวิ๋นกับพวกเขาเจดีย์หนิงกู่ถือว่าร่วมงานกัน แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ยากจะรับประกันว่าไม่แพร่งพรายออกไปเกิดคนในราชสำนักรู้เข้า ความปลอดภัยของอวิ๋นมู่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง“ขอบคุณท่านอ๋อง”อวิ๋นมู่มองซูจิ่งสิงอย่างแปลกใจ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า”เพราะกู้หว่านเยว่ บรรยากาศระหว่างทั้งสองมักจะแปลกประหลาด ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็ไม่ถูกกันแล้วอวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อน “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแต่ว่า ความหวังดีของท่านอ๋องข้าน้อยขอน้อมรับ และตื้นตันเหลือเกิน”การเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้มีอันตราย เขาจึงไม่ปฏิเสธ“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”กู้หว่านเยว่รีบสอบถาม“คืนนี้มากล่าวลาท่านอ๋องและพระชายา พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางจะออกเดินทางทันที”“เวลาเร่งรีบขนาดนี้เชียว”กู้หว่านเยว่รีบถาม“พรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งรีบไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน รองแม่ทัพวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วหันมองเฉิงทั่วแวบหนึ่ง“ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว ฮูหยินหมดสติไปแล้วขอรับ”เฉิงทั่วหน้าถอดสี “อะไรนะ?”เขารีบลุกขึ้นยืนขึ้น ไม่มีเวลาสนใจกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ยังอยู่ตรงนี้ แล้วรีบสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“คุณชายน้อยกลับมาแล้ว ไม่เพียงกลับมา ยังพาอีกคน...”รองแม่ทัพกระดากปากที่จะเอ่ย จึงได้แต่ส่งสายตาให้อีกฝ่าย“ท่านแม่ทัพ ท่านกลับไปดูเองเถอะขอรับ”เฉิงทั่วไม่มีแก่ใจจะกินอาหาร จึงลุกขึ้นขอตัว “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดให้ข้าไปดูฮูหยินสักครู่ได้หรือไม่”“ไปเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ“ขอบคุณท่านอ๋อง” เฉิงทั่วรีบวิ่งออกไปทันทีหนานหยางอ๋องมองแผ่นหลังที่ร้อนใจของเขา แล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อยหากพระชายาของเขายังอยู่คงดีไม่น้อย เขากับเหล่าเฉิงแข่งกันมาค่อนชีวิต มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ที่เขาแพ้มาตลอด“เกิดอะไรขึ้น?” กู้หว่านเยว่กระซิบถามชิงเหลียนชิงเหลียนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณชายใหญ่สกุลเฉิงพาสตรีคนหนึ่งกลับมาด้วย เหมือนจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว”เจ้าหมอนี่กู้หว่านเยว่เกือบสำลักข้าวมิน่าเฉิงฮูหยินถึงได้เป็นลม เจ้าเฉิงซินเม
มิน่าท่านอ๋องถึงยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา ทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา“พวกเราเองก็มาถึงเมืองซุ่ยโจว และได้พบท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว เดี๋ยวส่งจดหมายไปแจ้งท่านอ๋องหน่อยเถอะ ท่านจะได้วางใจ”จู้หวยกล่าวเตือนอย่างใส่ใจครั้งนี้ก่อนออกเดินทาง ท่านอ๋องกำชับเขาแล้วว่า ต้องดูแลเนี่ยชิงหลานให้ดีในเมื่อเนี่ยชิงหลานเป็นคู่หมั้นของเขา เขาย่อมดูแลเอาใจใส่มาก“รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเอาแต่บ่นข้า อีกเดี๋ยวตอนเขียนจดหมายข้าจะเป็นคนพูดส่วนเจ้าเป็นคนเขียน ขี่ม้ามาทั้งวัน เมื่อยมือจะแย่แล้ว”จู้หวยยิ้มพร้อมพยักหน้า“เรื่องนี้ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจที่ตัวหนังสือข้าน่าเกลียดก็พอ”เนี่ยชิงหลานขบขันเขาจนหัวเราะเสียงดังทันที“ตัวหนังสือของเจ้าน่าเกลียดมาก แต่ไม่เป็นไร วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง พวกเจ้าที่เป็นทหารแม้จะไม่ใช่คนเถื่อน แต่ต้องรู้จักเขียนอ่านไว้บ้าง ถึงจะรู้เขารู้เรารบอย่างไรก็ไม่แพ้ ทว่าเรื่องการเขียนหนังสือไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากนัก แค่ดูได้ก็พอ”นางพูดอย่างจริงจัง จนจู้หวยเองก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในแววตามีแต่ความเอ็นดู“ท่านหญิงพูดถูก”แม้ทั้งสองค
หลังหนังสือยอมจำนนออกมาแล้ว เนี่ยชิงหลานก็นำกองทัพเหอตง มาเสริมทัพกู้หว่านเยว่“เขตเหอตงของข้าไม่มีสิ่งใดเลย มีเพียงถ่านหินและเงินทองมากมาย พี่ใหญ่จึงนำไปแลกเสบียงหนึ่งชุด ส่งข้ามาช่วยเหลือพวกท่าน”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พบเนี่ยชิงหลานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วตอนนี้เมื่อทั้งสองได้พบกัน นางดีใจมาก“เจ้าตัวสูงขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ลูบหัวเนี่ยชิงหลาน ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่เพียงตัวสูงขึ้น ข้ายังหมั้นหมายแล้วด้วย”นี่เป็นข่าวที่อยู่เหนือความคาดหมายเมื่อเห็นพวกเขาหลายคนเดินทางเหน็ดเหนื่อย กู้หว่านเยว่รีบเชิญพวกเขาเข้าจวน เมื่อถึงห้องรับแขกจึงจับมือเนี่ยชิงหลานไว้ แล้วสอบถามอย่างละเอียด“เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าหมั้นกับผู้ใดหรือ?”“หมั้นกับแม่ทัพในค่ายของท่านพี่ นามว่าจู้หวย”ไม่ใช่เฉิงเซวียนหรอกหรือ ข่าวนี้ทำให้พวกกู้หว่านเยว่ยิ่งแปลกใจแต่เมื่อนึกดูอย่างละเอียด เฉิงเซวียนกับเนี่ยชิงหลานใช่ว่าจะเหมาะสมกันแม้ทั้งสองจะสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ทว่าทัศนคติไม่ตรงกันบวกกับก่อนหน้านี้เพราะหญิงอื่น เฉิงเซวียนเข้าใจเนี่ยชิงหลานผิดหลายครั้งเนี่ยชิงหลานรู้ว่ากู้หว่านเยว่คิดอะไร จึ
ตกลงปีนั้นรัชทายาทตายเยี่ยงไรกันแน่?เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใดหากไม่ใช่รัชทายาทและพระชายารัชทายาทตายไป ไฉนเลยเขาจะได้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้?ทว่าบัดนี้ เขาคิดว่าตำแหน่งฮ่องเต้กำลังตกอยู่ในอันตราย“ไป จับคนสกุลหลี่เข้าคุกใหญ่!”มู่หรงถิงไม่ฟังคำชี้แนะจากนั้นยามทุกคนมายังสกุลหลี่ กลับพบว่าสกุลหลี่มีเพียงความว่างเปล่า เหลือบ่าวรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่สองสามคนกำลังใช้วิธีพรางตา“ภายในหอบรรพบุรุษสกุลหลี่ พบเส้นทางสายหนึ่ง...”องครักษ์ไปจับคนตัวสั่นเทานี่คือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเดิมทีมู่หรงถิงก็โมโหอยู่แล้ว ต้องการใครสักคนเพื่อบันดาลโทสะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหาตัวคนรองรับอารมณ์ไม่พบ ยังถูกเขาจับได้ว่าคนของสกุลหลี่หนีไปแล้วเขาพลิกโต๊ะ กระทืบองครักษ์ไปจับตัวคนจนตาย“ฝ่าบาท” ตอนฮองเฮามา ภายในตำหนักวุ่นวายไปหมด แม้แต่นางกำลังก็ถูกมู่หรงถิงบีบคอตายไปสองคนฮองเฮาอดทนต่อความขยะแขยง สั่งให้คนลากศพไปจัดการ“เจ้ามาแล้ว”ตอนมู่หรงถิงอยู่เพียงลำพังจะบันดาลโทสะเยี่ยงไรก็ย่อมได้ แต่เขากลัวทำให้ฮองเฮาตกใจ“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินเรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่แล้ว”ฮองเฮาก้าวเท้าเบาๆ มาหยุดต่อหน้ามู