ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่เฟิงพาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งกลับมามือเปล่า“นายท่าน พวกเราไม่พบเบาะแสของขุนพลเกา”ซูจิ่งสิงรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ เขาและเกาเจี้ยนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย หลังจากเกิดเรื่องในคืนนี้ แม้จะโกรธ แต่กลับกังวลความปลอดภัยของเกาเจี้ยนมากกว่า“เพิ่มกำลังคน ขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้น”หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กู้หว่านเยว่ปลอบใจด้วยเสียงนุ่มนวล “เส้นทางนี้เป็นทางหลวง แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ยังคงมีคนเดินทางผ่านไปมาเป็นไปได้มากว่าเกาเจี้ยนจะถูกคนผ่านทางช่วยไปแล้ว”“น้องหญิง เจ้าพูดถูกแล้ว”เห็นว่าค่ำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็ไม่สามารถรออยู่ที่นี่โดยเสียเปล่าได้ จึงพาซวนลู่กลับไปที่จวนไฉนเลยจะรู้ว่าจะได้พบลั่วยางที่หน้าประตูจวนกู้“พี่หญิงหว่านเยว่!”ดวงตาสองข้างของลั่วยางทอประกายระยับ วิ่งเข้าหากู้หว่านเยว่อย่างกระตือรือร้น“ลั่วยาง”ช่วงนี้กู้หว่านเยว่มักได้รับจดหมายจากลั่วยางที่ส่งมาจากซีเป่ย จดหมายพูดถึงเรื่องที่นางได้ติดต่อกับแพทย์ของร้านยาที่ซีเป่ยบางส่วน รวมกลุ่มกันตรวจรักษา เพื่อรักษาราษฎร์ที่ได้รับความลำบากและทหารเปลี่ยนไปจากคนเดิมในอดีตราวกับคนละคน
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีภายในใจ สืบเท้าขึ้นไปสองก้าวอย่างฉับไวและยกแขนเสื้อของซวนลู่ขึ้นแขนของซวนลู่ขาวสะอาด“แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าหายไปแล้ว!”นางมองซวนลู่อย่างตกตะลึง “ใครรังแกเจ้า?”แม้ว่าหลายวันมานี้ซวนลู่มักขัดแย้งกับนาง แต่นางมองออก อีกฝ่ายไม่ใช่สตรีที่หลงระเริงไปกับความปรารถนา สูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนการแต่งงาน ไม่ใช่สิ่งที่ซวนลู่จะทำออกมาได้“ปล่อยข้า อย่าถามเลย!”ซวนลู่รีบดึงแขนกลับ มือสองข้างปิดหน้า ไม่กล้ามองซูจิ่งสิง “จิ่งสิง ข้าขอร้องท่านอย่ามองข้าเลย อย่ามองข้า”นางยอมให้ซูจิ่งสิงคิดว่านางเป็นคนชั่วร้าย แต่ไม่ยอมให้เขาจะคิดว่านางสกปรกตกลงนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าแปลกใจ ซวนลู่สติแตกไปแล้ว ทั้งสองบังคับถามเล็กน้อย ในที่สุดก็ทนไม่ไหวและสารภาพความจริงออกมาที่แท้หลังสองตระกูลตกลงหมั้นหมายกัน ซวนลู่ไม่อยากแต่งงานกับเกาเจี้ยน เอือมระอาไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพผู้เฒ่าซวนได้ ภายใต้ความโมโห นางจึงหนีออกจากบ้าน ตัดสินใจมุ่งหน้ามาที่เจดีย์หนิงกู่เพื่อไล่ตามคนรักแต่เดินทางมาได้ครึ่งทาง กลับได้พบกับเหยลวี่เจ
ปัญหานี้รบกวนนางมานานมากแล้วนางรู้สึกมาตลอดว่าตอนนั้นเลือกผิดไป หากนางกล้าหาญกว่านี้ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจจะแตกต่างออกไป ซูจิ่งสิงหันไป มองด้วยสายตาเย็นชา “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยชอบเจ้า”เขาจับมือกู้หว่านเยว่แน่น นิ้วทั้งสิบสอดประสานกัน“ไม่มีอะไรให้สมมุติ คนที่ยืนเคียงข้างข้า จะต้องเป็นกู้หว่านเยว่เท่านั้น”“ฮึๆ ข้าเข้าใจแล้ว”ใบหน้าซวนลู่เผือดซีดลงอย่างรวดเร็ว ล้มลงบนพื้น ความหวังสุดท้ายของนางก็หายไปราวกับหมอกผ่านตาแท้จริงแล้วนางรู้ดีอยู่ภายในใจ แต่ยังไม่ยอมตัดใจ จะต้องถามให้ได้บัดนี้ นางเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นนางคิดไปเพียงฝ่ายเดียว“น้องหญิง ระวังขั้นบันไดด้วย”สุ้มเสียงที่เอ่ยเตือนอย่างนุ่มนวลของซูจิ่งสิงดังขึ้น ทั้งสองคนออกจากคุก“ขังซวนลู่ไว้ก่อน ส่วนทูเจวี๋ยคนนั้น ฆ่าทิ้งเสีย”ซูจิ่งสิงสั่งองครักษ์จันทรา กู้หว่านเยว่ถามขึ้น “ท่านจะปล่อยซวนลู่ไปหรือ?”“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะส่งนางให้กับแม่ทัพผู้เฒ่าซวน ให้เขาจัดการด้วยตนเอง แม่ทัพผู้เฒ่าซวนโกรธแค้นพวกทูเจวี๋ยมาทั้งชีวิต จะต้องสั่งสอนนางดีๆ แน่”ซวนลู่ถูกเหยลวี่เจิงรังแก ทั้งสองรู้สึกว่านางน่าสงสารม
เมื่อกู้หว่านเยว่เดินทางมาถึงจวนโจว ก็เห็นซ่งเสวี่ยนอนซมอยู่บนเตียง ดวงตาว่างเปล่า คล้ายมีเรื่องภายในใจจริง“หว่านเยว่ เจ้ามาแล้วหรือ?”คนเดินเข้าไปใกล้ซ่งเสวี่ยแล้วถึงเพิ่งสังเกตเห็น ลุกขึ้นนั่งอย่างประหลาดใจ กู้หว่านเยว่รีบเดินเข้าไปกดตัวนางไว้“ป่วยจนเป็นเช่นนี้แล้วก็อย่าลุกขึ้นมาเลย พวกเราสองคน ไม่ต้องมีพิธีรีตองเหล่านี้”ซ่งเสวี่ยหัวเราะ “ผมเผ้ารุงรัง ให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”“พี่หญิงเป็นคนงาม ป่วยอย่างไรก็ยังงามอยู่ ผมเผ้ารุงรังอะไรกัน?” กู้หว่านเยว่โบกมือ ไล่บ่าวออกไป เหลือเพียงนางและซ่งเสวี่ยสองคนภายในห้อง“พี่หญิงซ่ง ตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามา เห็นสีหน้าของท่านคล้ายมีเรื่องกังวลใจ” กู้หว่านเยว่ถามตรงประเด็น“ใช่หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว? มีอะไรก็สามารถบอกข้าได้”ซ่งเสวี่ยเอือมระอา “เป็นแม่นมฉินที่ไปหาเจ้ากระมัง”“นางเป็นห่วงท่าน”“ข้ารู้” ซ่งเสวี่ยไม่ได้ตำหนิแม่นมฉิน หลุบตาลง“ข้าไม่เป็นอะไร ก็แค่รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง อีกสองวันก็คงจะดีขึ้นเอง”“ท่านแน่ใจหรือ?” กู้หว่านเยว่จะเชื่อได้อย่างไร?ภายใต้สายตาจับผิดของนาง ซ่งเสวี่ยยอมจำนนอย่างอดไม่ได้ “ก็ได้ เป็นเรื่
“เหตุใดมีคนทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้นกันเล่า?” แม่นมฉินตาไว ตะโกนออกมาเสียงดัง พลางสั่งบ่าวให้ไปดูชายที่แอบอยู่หลังสิงโตหินเห็นว่าหลบไม่พ้น ถอนหายใจ เดินออกมา“คุณชายโจว? เป็นท่านหรือ?”แม่นมฉินหน้าตาบึ้งตึง ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าโจวเซิงเป็นชายหนุ่มที่สง่างามมีความสามารถ เหมาะสมกับฮูหยินน้อยของพวกนางราวกับสวรรค์สร้างแต่ตอนนี้นางคิดว่าตนเองคงต้องไปตรวจตราดูสักหน่อย“ใช่ ข้าเอง”ในเมื่อถูกจับได้แล้ว โจวเซิงก็ไม่ปิดบังอีก เดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างามผ่าเผย ทำความเคารพกู้หว่านเยว่“คารวะพระชายา”กู้หว่านเยว่มองเขาขึ้นลงหนึ่งรอบ “เจ้ามาที่นี่เพื่อพบพี่หญิงซ่งหรือ?”โจวเซิงนิ่งเงียบไป ครู่ต่อมาจึงพยักหน้า “ใช่”แม้ว่ามองสีหน้าไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร แต่น้ำเสียงกลับยากจะปกปิดความกังวลเอาไว้ได้“ข้าบังเอิญได้ยินว่าฮูหยินน้อยป่วย ข้า จึงมาเยี่ยม”เขายื่นของบำรุงที่เตรียมมา ล้วนเป็นสมุนไพรราคาแพง“สิ่งเหล่านี้มอบให้ฮูหยินน้อยบำรุงร่างกาย”แม่นมฉินมิได้ขึ้นไปรับ กู้หว่านเยว่กลับงุนงง มองผ่านท่าทีของเขาแล้วก็รู้ว่าห่วงใยซ่งเสวี่ยมาก แต่เพราะเหตุใดต้องทำเป็นไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยั
โจวเซิงมีสีหน้าเศร้าหมอง “ความชอบของข้า ไม่เคยนำโชคดีมาให้อีกฝ่ายเลย”ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกสิ่งที่เขาชอบ ทุกสิ่งที่เขาเข้าใกล้ สุดท้ายก็มักจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก“ข้ารู้ว่าพระชายาเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นวันนี้ข้าจึงยอมเปิดบาดแผลในใจ เล่าความหลังนี้ให้พระชายาฟัง”โจวเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ“ข้าหวังให้ฮูหยินน้อยมีชีวิตที่ดี ตราบใดที่นางมีชีวิตที่ดี นับตั้งแต่นี้ไปข้ายินดีจะไม่รบกวนนางอีก”หลังจากพูดจบ โจวเซิงก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน เขาได้พบสตรีที่ชมชอบคนหนึ่งได้อย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับต้องยอมปล่อยมือ ความเจ็บปวดนี้ยากเกินบรรยาย“ข้าขอลา”มองแผ่นหลังของโจวเซิงที่กำลังก้าวจากไป กู้หว่านเยว่ก็มีสีหน้าหนักใจ ชิงเหลียนพูดอย่างอดไม่ได้ว่า“ฮูหยินน้อยช่างน่าสงสารเหลือเกิน สามีคนก่อนก็จากไปหลังแต่งงานได้ไม่นาน นางต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังพอจะก้าวข้ามความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีมาได้อย่างยากลำบาก กลับต้องมาเจอคนชั่วอย่างโจวเซ่อครั้นหลุดพ้นจากคนชั่ว ก็มีโอกาสได้หวั่นไหวอีกครั้ง แต่กลับต้องมาเจอสถานการณ์ของคุณชายโจวเช่นนี้อีก เฮ้อ...เหตุใดสวรรค์ไม่มีเมตตาต่อฮูหยินน้อยบ้างเล่า?”คำพูดของชิงเหลี
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าฟังมาขณะเดินทางท่องยุทธภพ ไม่สามารถยืนยันได้หมดทั้งร้อยส่วน” เนี่ยชิงหลานจับมือกู้หว่านเยว่ ทางหนึ่งเดินไปทางจวนกู้ ทางหนึ่งซุบซิบเล่าเรื่องให้นางฟัง“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ายังเดินทางในยุทธภพ ข้าเคยพักค้างแรมที่บ้านของชาวนาหลังหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้านั่งฟังเขาเล่าเรื่อง พูดว่าภายในหมู่บ้านของพวกเขามีแม่เลี้ยงคนหนึ่งไม่อาจทนเห็นลูกเลี้ยงได้ดี จึงนำเงินไปหานักพรตที่มีวิชาเก่งกาจ นำแปดตัวเลขทำนายดวงชะตาและผมของลูกเลี้ยงไปให้เขาทำพิธี เพื่อให้ลูกเลี้ยงโชคร้าย”ชิงเหลียนที่ฟังอยู่ฝั่งหนึ่ง เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นางโชคร้ายจริงหรือ?”“นั่นไม่ใช่โชคร้ายธรรมดา ขณะข้ามสะพาน อยู่ดีๆ สะพานก็พังลงมา ขณะเข้าห้องน้ำกลับไม่มีกระดาษชำระ ฝนตกน้ำท่วมขัง ขนาดดื่มน้ำเย็นยังติดฟัน!” เนี่ยชิงหลานผายมือ“ก็เพราะเหตุนี้แหละ คนในหมู่บ้านถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ ต่อมาหลังลูกเลี้ยงแต่งงานไปแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ โชคดีที่ครอบครัวสามีของนางรักใคร่เอาใจใส่ จึงไปหานักพรตท่านหนึ่ง เพื่อจะช่วยนางคลี่คลายเรื่องนี้”นางพูดถึงตรงนี้แล้วก็หัวเราะออกมา“ผลปรากฏว่าช่างบั
“โมโหมากจริงๆ”สาวใช้พยักหน้าเบา ๆ“คุณชายเฉิงชอบท่าน จึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนแทงกลางอกเพราะคำพูดเหล่านั้นของคุณหนู”“พูดเกินจริงไปแล้วกระมัง?”เนี่ยชิงหลานบ่นงึมงำ ใบหน้ารูปไข่กลับแดงเรื่อ อาจเป็นเพราะคำว่าชอบนั้นกระมัง“ช่างเถอะๆ ไก่ย่างนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก ข้าจะไปหาเขาแล้วกินด้วยกัน”เนี่ยชิงหลานปากแข็งใจอ่อน ไล่ตามออกไปทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่ไปที่ห้องหนังสือ เล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ่งสิงฟัง“ข้าคิดว่าจะสืบเรื่องคนในตระกูลโจวสักหน่อย”กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญพลางพูด แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการที่อาจจะดูใหญ่โตเกินไปบ้าง แต่ซ่งเสวี่ยเป็นสหายที่ดีของนาง นางกู้หว่านเยว่เป็นคนที่ดีต่อสหายมาก นางไม่อาจทนเห็นสหายของนางทุกข์ทรมาน แต่กลับไม่ทำอะไรเลย“ตระกูลโจว ครั้งก่อนข้าสืบได้เรื่องบางอย่างจากโจวเซ่อมาแล้ว”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้วเบาๆ หากไม่ใช่เพราะวันนี้กู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาคงจะลืมไปแล้ว“ท่านสืบพบอะไรหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงร้อยส่วน รอจนกว่าจะมั่นใจแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”ครั้งก่อนหลังสืบได้ว่าโจวเซ่อเป็นคนซื่อตรง ก็หยุดไว้ก่อน แต่ครั้งนี้สามาร
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก