โจวเซิงมีสีหน้าเศร้าหมอง “ความชอบของข้า ไม่เคยนำโชคดีมาให้อีกฝ่ายเลย”ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกสิ่งที่เขาชอบ ทุกสิ่งที่เขาเข้าใกล้ สุดท้ายก็มักจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก“ข้ารู้ว่าพระชายาเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นวันนี้ข้าจึงยอมเปิดบาดแผลในใจ เล่าความหลังนี้ให้พระชายาฟัง”โจวเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ“ข้าหวังให้ฮูหยินน้อยมีชีวิตที่ดี ตราบใดที่นางมีชีวิตที่ดี นับตั้งแต่นี้ไปข้ายินดีจะไม่รบกวนนางอีก”หลังจากพูดจบ โจวเซิงก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน เขาได้พบสตรีที่ชมชอบคนหนึ่งได้อย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับต้องยอมปล่อยมือ ความเจ็บปวดนี้ยากเกินบรรยาย“ข้าขอลา”มองแผ่นหลังของโจวเซิงที่กำลังก้าวจากไป กู้หว่านเยว่ก็มีสีหน้าหนักใจ ชิงเหลียนพูดอย่างอดไม่ได้ว่า“ฮูหยินน้อยช่างน่าสงสารเหลือเกิน สามีคนก่อนก็จากไปหลังแต่งงานได้ไม่นาน นางต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังพอจะก้าวข้ามความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีมาได้อย่างยากลำบาก กลับต้องมาเจอคนชั่วอย่างโจวเซ่อครั้นหลุดพ้นจากคนชั่ว ก็มีโอกาสได้หวั่นไหวอีกครั้ง แต่กลับต้องมาเจอสถานการณ์ของคุณชายโจวเช่นนี้อีก เฮ้อ...เหตุใดสวรรค์ไม่มีเมตตาต่อฮูหยินน้อยบ้างเล่า?”คำพูดของชิงเหลี
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าฟังมาขณะเดินทางท่องยุทธภพ ไม่สามารถยืนยันได้หมดทั้งร้อยส่วน” เนี่ยชิงหลานจับมือกู้หว่านเยว่ ทางหนึ่งเดินไปทางจวนกู้ ทางหนึ่งซุบซิบเล่าเรื่องให้นางฟัง“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ายังเดินทางในยุทธภพ ข้าเคยพักค้างแรมที่บ้านของชาวนาหลังหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้านั่งฟังเขาเล่าเรื่อง พูดว่าภายในหมู่บ้านของพวกเขามีแม่เลี้ยงคนหนึ่งไม่อาจทนเห็นลูกเลี้ยงได้ดี จึงนำเงินไปหานักพรตที่มีวิชาเก่งกาจ นำแปดตัวเลขทำนายดวงชะตาและผมของลูกเลี้ยงไปให้เขาทำพิธี เพื่อให้ลูกเลี้ยงโชคร้าย”ชิงเหลียนที่ฟังอยู่ฝั่งหนึ่ง เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นางโชคร้ายจริงหรือ?”“นั่นไม่ใช่โชคร้ายธรรมดา ขณะข้ามสะพาน อยู่ดีๆ สะพานก็พังลงมา ขณะเข้าห้องน้ำกลับไม่มีกระดาษชำระ ฝนตกน้ำท่วมขัง ขนาดดื่มน้ำเย็นยังติดฟัน!” เนี่ยชิงหลานผายมือ“ก็เพราะเหตุนี้แหละ คนในหมู่บ้านถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ ต่อมาหลังลูกเลี้ยงแต่งงานไปแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ โชคดีที่ครอบครัวสามีของนางรักใคร่เอาใจใส่ จึงไปหานักพรตท่านหนึ่ง เพื่อจะช่วยนางคลี่คลายเรื่องนี้”นางพูดถึงตรงนี้แล้วก็หัวเราะออกมา“ผลปรากฏว่าช่างบั
“โมโหมากจริงๆ”สาวใช้พยักหน้าเบา ๆ“คุณชายเฉิงชอบท่าน จึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนแทงกลางอกเพราะคำพูดเหล่านั้นของคุณหนู”“พูดเกินจริงไปแล้วกระมัง?”เนี่ยชิงหลานบ่นงึมงำ ใบหน้ารูปไข่กลับแดงเรื่อ อาจเป็นเพราะคำว่าชอบนั้นกระมัง“ช่างเถอะๆ ไก่ย่างนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก ข้าจะไปหาเขาแล้วกินด้วยกัน”เนี่ยชิงหลานปากแข็งใจอ่อน ไล่ตามออกไปทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่ไปที่ห้องหนังสือ เล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ่งสิงฟัง“ข้าคิดว่าจะสืบเรื่องคนในตระกูลโจวสักหน่อย”กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญพลางพูด แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการที่อาจจะดูใหญ่โตเกินไปบ้าง แต่ซ่งเสวี่ยเป็นสหายที่ดีของนาง นางกู้หว่านเยว่เป็นคนที่ดีต่อสหายมาก นางไม่อาจทนเห็นสหายของนางทุกข์ทรมาน แต่กลับไม่ทำอะไรเลย“ตระกูลโจว ครั้งก่อนข้าสืบได้เรื่องบางอย่างจากโจวเซ่อมาแล้ว”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้วเบาๆ หากไม่ใช่เพราะวันนี้กู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาคงจะลืมไปแล้ว“ท่านสืบพบอะไรหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงร้อยส่วน รอจนกว่าจะมั่นใจแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”ครั้งก่อนหลังสืบได้ว่าโจวเซ่อเป็นคนซื่อตรง ก็หยุดไว้ก่อน แต่ครั้งนี้สามาร
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่หญิงกู้”ลั่วยางรู้สึกซาบซึ้งใจภายในใจตั้งแต่ไม่ใช่ศัตรูกับกู้หว่านเยว่ เป็นมิตรกับนาง พบว่านางเป็นคนพูดคุยง่ายมากเหลือเกินทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับแขก ปรากฏว่าเข้าประตูไปแล้วก็ได้เห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่“เจ้าไปพาคนผู้นี้มาจากที่ใด?”“ข้าพบเขาที่ประตูเมือง ตอนนั้นเขาชนกระแทกเข้ากับรถม้าของข้า ข้ายังนึกว่าข้าชนเขาจนได้รับบาดเจ็บเสียอีก สรุปว่าลงไปดูก็พบว่าเขาถูกแทงที่อก”ลั่วยางอธิบายต่อ “เห็นว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่สามารถเห็นคนลำบากแล้วไม่ช่วยได้ จึงพาเขากลับมา”สังเกตเห็นสีหน้าของกู้หว่านเยว่ผิดปกติ ลั่วยางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“พี่หญิงกู้ ฐานะของคนผู้นี้...ใช่หรือไม่ว่าข้าทำให้ท่านเดือดร้อน?”นางกังวลว่าตนเองอาจจะช่วยคนที่ไม่สมควรช่วย สรุปคือกู้หว่านเยว่กลับยิ้มพลางส่ายหน้า“มิได้ทำให้ข้าเดือดร้อน ข้าควรจะขอบคุณเจ้าต่างหาก!คนผู้นี้เป็นสหายของข้า พวกเราตามหาเขามาหลายวันแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะช่วยเขากลับมา”นี่บังเอิญเกินไปแล้วกระมัง?“ชิงเหลียน เจ้าไปแจ้งท่านอ๋อง ก็บอกว่าพบขุนพลเกาแล้ว”กู้หว่า
“สิ่งนี้ใช้ภายนอก หากเขามีไข้อีกครั้ง สามารถใช้ผ้าขนหนูชุบแอลกอฮอล์ที่อยู่ภายในนี้แล้วทาที่หน้าผากของเขาได้ เพื่อช่วยให้ไข้ลดลงทีละน้อย”“เจ้าค่ะ”ลั่วยางรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของดี รีบยื่นมือสองข้างไปรับ ถือไว้ในมือแล้วศึกษาอย่างละเอียดในเวลาเดียวกัน ซูจิ่งสิงวิ่งเข้ามาจากภายนอกอย่างว่องไวปานเหินบิน“หว่านเยว่ เกาเจี้ยนเล่า?”เขาหันหน้า ถึงมองเห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนบนเตียง มีผ้าพันแผลหนาๆ อยู่ที่อก สีหน้าเผือดซีด หลับตาสนิททั้งสองข้าง ทันใดนั้นกำมือแน่นซวนลู่ ถึงขั้นลงมือหนักมากเช่นนี้ ทันใดนั้นเขานึกได้ว่าเมื่อคืนยามสอบสวนเขามีเมตตาเกินไปแล้ว“เขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ยามใด?”“น่าจะอีกราวหนึ่งถึงสองชั่วยาม” กู้หว่านเยว่รู้ว่าเขากังวลมาก จึงรีบพูดปลอบใจ“บาดแผลของเขาได้รับการรักษาแล้ว ลั่วยางรักษาเขาได้ทันท่วงที ดังนั้นเขาไม่มีอันตรายถึงชีวิต ท่านวางใจเถอะ”“ขอบคุณมาก”ซูจิ่งสิงมองไปที่ลั่วยางแวบหนึ่ง ลั่วยางรู้สึกตกตะลึงเพราะได้รับความโปรดปราน ไม่กล้าพูดอะไร รีบถอยออกไปเนื่องจากเกาเจี้ยนยังไม่ฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสั่งให้บ่าวอยู่เฝ
เกาเจี้ยนบอกไม่ได้ว่าในใจนั้นโล่งใจหรือยังขมขื่นอยู่ “เพื่อเจ้า นางไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับชาวทูเจวี๋ยเลยสักนิด”“เกาเจี้ยน เจ้าไปรักษาอาการคลั่งรักของเจ้าให้หายดีก่อนเถอะ”ซูจิ้งไม่สบอารมณ์ “ประเด็นหลักคือเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”ประเด็นหลักคือเรื่องที่ซวนลู่เป็นถึงท่านแม่ทัพหญิง แต่นางสมรู้ร่วมคิดกับชาวทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงต่างหาก!“ข้ารู้ว่าประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ข้ารู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย”นัยน์ตาของเกาเจี้ยนแดงก่ำ บุรุษร่างกายกำยำมีน้ำตาไหลอาบแก้ม สองสามีภรรยาถึงกันทนมองไม่ได้แต่พอมาครุ่นคิดดูแล้วก็ใช่ เกาเจี้ยนมีความลึกซึ้งต่อซวนลู่ ทั้งสองคนเข้าพิธีหมั้นกันแล้วเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้นซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบา “เจ้าดูคำพูดเหล่านี้ให้ดี ๆ จะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญา ยื่นมือไปช่วยนางโดยพลการอีก”เข้ามาพัวพันกับชาวทูเจวี๋ย นี่ไม่ใช่เรื่องความรักทั่วไปแล้วนะ“ข้าเข้าใจ”เกาเจี้ยนเสียใจมาก แต่เขารู้จักแยกแยะ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางพาซวนลู่กลับมาหลังจากที่ได้รู้ความจริงหรอก“เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเย็นยะเยือก จากนั้นก็เดินมาหาลั่วยางที่ประตู
“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วย?”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว นางไม่เคยมีความรู้สึกอะไรต่อสกุลกู้ ตั้งแต่ตัดความสัมพันธ์ไปนางไม่เคยเสียใจเลย บัดนี้ครั้นได้เห็นความไร้ยางอายของท่านโหวกู้ จึงไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดนางกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าไม่ได้คาดหวังสกุลกู้มานานมาแล้ว ไม่มีทางโกรธแน่นอน”“เรามีบ้านของเราเอง”ซูจิ่งสิงเป็นห่วงนางมาก กู้หว่านเยว่กลับอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ“สกุลกู้....ท่านพ่อของข้าไร้ยางอายจริง ๆ ทำมาเป็นพูดว่าเขายกเงินกับเราแล้ว เพียงแต่ถูกสนมยักยอกไปเสียก่อน”กู้หว่านเยว่ดูหมิ่นเขา กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ โยนความผิดให้สตรี เป็นบุรุษประสาอะไร“จดหมายฉบับนี้ เจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไร”“ไม่จัดการ”กู้หว่านเยว่โยนจดหมายทิ้งลงในถังเตาถ่าน นางเดาว่าหลังจากที่นางขนสิ่งของในจวนกู้โหวไปจนเกลี้ยงแล้ว กิจการที่ค้าขายได้ไม่ดีเหล่านั้นก็ยากจะประคับประคองให้อยู่รอดต่อได้ บัดนี้เสบียงได้หมดเกลี้ยงแล้ว“ในเมื่อตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็ต้องหาเหตุผลกระชับมิตรใหม่”ท่านกู้โหวได้ยินว่าซูจิ่งสิงได้รับตำแหน่งคืนแล้ว ทั้งยังคอยควบคุมข่าวลือในเจดีย์หนิงกู่อีก จึงได้เขียน
กู้หว่านเยว่ดีใจกับพวกเขา กว่าทั้งสองคนจะเดินมาถึงวันนี้มันไม่ง่ายเลย“ถึงตอนนั้นค่อยให้ซองแดงกับพวกเจ้าก็แล้วกัน”“ขอบคุณ พระชายาเจ้าค่ะ”เฉินจื่อหวังและเจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มไม่ได้ ทั้งสองคนไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จึงขอตัวไปดูร้านขายชาดกับหงเจาหลังจากที่ทั้งสองคนจากไป กู้หว่านเยว่ได้เจียดเวลาไปเยี่ยมซ่งเสวี่ยที่บ้านสกุลโจว อาการป่วยของนางดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่นางยังไม่ค่อยร่าเริงนักกู้หว่านเยว่ก็ไม่กล่าวสิ่งใด ได้เพียงแค่ปลอบใจนาง“ได้ยินว่ามีอารามเต๋าแห่งหนึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าอยากไปผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย”“อารามอะไรหรือ?” เหตุใดกู้หว่านเยว่ไม่เคยได้ยินมาก่อนซ่งเสวี่ยกล่าว “ดูเหมือนจะเป็นอารามไว้ขอบุตร วันนั้นข้าได้ยินคนในตลาดบอกว่าขอได้จริง ข้าจะไปขอเครื่องรางแคล้วคลาดให้นานนาน”กู้หว่านเยว่เป็นห่วงว่านางจะเกิดเรื่อง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าไปกับท่านด้วย ข้าเองก็อยากซื้อให้จ้านจ้านเช่นกัน”เรื่องของโจวเซิง ยังไม่ได้ผลในเวลานี้กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้จะเอ่ยเรื่องนี้อย่างไร วันที่สองทั้งสองคนนั่งรถม้าไปกราบไหว้อารามเต๋านอกเมือง เน
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย
จากระดับความรักที่พี่ชายมีต่อเขา ต้องตามราวีซูจิ่งสิงอย่างไม่เลิกราแน่นอนลองคิดดูอีกที ช่วงนี้ใครอีกที่ต้องการยืมมือของพี่ชายเพื่อฆ่าซูจิ่งสิง“เหยลวี่เจิง”ดวงตาของเยียนอวิ๋นชูขรึมลงเล็กน้อย พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาต้องการฆ่าข้า จากนั้นค่อยยืมมือพี่ชายของข้าฆ่าซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เยียนสือซานรับปากเหยลวี่เจิงว่าจะไปฆ่าซูจิ่งสิงตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ?หรือว่าเขาจะยังไม่ตอบตกลง!เหยลวี่เจิงจึงเสี่ยงเพราะเข้าตาจน วางแผนที่จะใช้เยียนอวิ๋นชูมายั่วยุความโกรธแค้นระหว่างเขากับซูจิ่งสิง?อย่างนี้เยียนอวิ๋นชูจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยและเยียนสือซานก็ไม่ถือเป็นศัตรูของพวกเขาในขณะนี้“รีบนำปากกาและพู่กันมาให้ข้า ข้าต้องเรียบเรียงจดหมายส่งให้พี่ใหญ่ ไม่ให้เขาตกหลุมพรางของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูรีบขอกระดาษและพู่กันจากองครักษ์ กู้หว่านเยว่ถามด้วยความใคร่รู้“พี่ใหญ่ของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่ แม้ว่าสายตาของเขายังคงเย็นชาเหมือนในตอนแรก แต่ที่จริงแล้วในใจของเขามีความเชื่อถือต่อกู้หว่านเยว่ตั้งนานแล้ว“ไม่ใช่ พี่ใหญ่อยู่ในเมืองอูถ่าน”
“โอ๊ย!” ชายที่ลอบโจมตีร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงกับพื้นกู้หว่านเยว่มองไปที่เยียนอวิ๋นชูอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้อาวุธลับและเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของอาวุธลับนี้แล้ว ก็ไม่ได้เป็นรองธนูในมิติของนางดูเหมือนว่าเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนพิการที่ไร้ประโยชน์เช่นกันชายผู้นั้นล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นสหายถูกฆ่าตายหมด ก็โกรธจนกระอักเลือดออกมาเต็มปากเขารู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เลวร้ายลงจนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ก่อนจะตะโกนลั่นด้วยสายตาที่ชั่วร้าย“พวกเจ้าสองคนสมควรตาย มาทำลายแผนการของเจิ้นเป่ยอ๋อง ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”หลังจากพูดจบ หน้าอกของเขาก็ถูกลูกศรของซูจิ่งสิงเจาะทะลุ หลังจากกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก็ขาดใจตายในทันใดมองดูร่างของชายผู้นั้น กู้หว่านเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็โกรธจัดนี่มันอะไรกัน? ก่อนตายยังไม่หยุด ยังโยนความผิดมาใส่ตัวพวกเขาอีก!“เจิ้นเป่ยอ๋อง?”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปตามคาดได้ยินมาว่าที่ครั้งนี้พี่ใหญ่ได้รับเชิญให้ไปทูเจวี๋ย ก็เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพเหยลวี่เจิ้งแห่งทูเจวี๋ยในการสังหารเจิ้นเป่ยอ๋องเพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด พี่ใหญ่ถึงไม่ตอบตกลง
“พี่ใหญ่เกิดเรื่อง ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?”คำพูดขององครักษ์เยียนอวิ๋นชูฟังไม่เข้าหูเลย เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก แล้วหมุนวงล้อด้านล่างวนรอบห้องเหมือนเดิมนี่คือสีหน้าของเขาเวลาตึงเครียดและในเวลานี้เอง ก็มีคนสองคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าสีดำ ถือมีดเล่มใหญ่ไว้ในมือ จ้องมองเยียนอวิ๋นชูตาเป็นมัน“พวกเจ้าเป็นใคร บุกรุกเข้ามาทำไม?”“แหะ ๆ คุณชายรองสกุลเยียนยังมัวกังวลว่าพวกข้าคือใคร สนใจชีวิตของตัวท่านเองก่อนเถอะ” หนึ่งในนั้นยิ้มเยาะเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเช่นกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทางของคนทั้งสอง แล้วนึกถึงจดหมายลับที่เขาเพิ่งได้รับมาอย่างไร้ที่มาที่ไป ก็เข้าใจในทันทีว่ามีคนจงใจวางกับดักไว้ต้องการโยกย้ายองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาไปที่อื่น แล้วค่อยปลิดชีวิตเขา“พวกเจ้าไม่รู้จักตัวตนของข้าหรือ หากพี่ชายของข้ารู้เรื่องนี้ เขาจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูเกลี้ยกล่อมให้พูดความจริง คนที่บุกเข้ามาอีกคนก็หัวเราะหึหึ “พี่ชายของท่านไม่ใช่มือสังหารอันดับหนึ่งในรายชื่อหรอกหรือ นายของพวกข้าไม่เห็นพี่ชายของท่านอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”เยียนอวิ๋นชูจับคำสำคัญได้
กู้หว่านเยว่แจ้งรายชื่ออาหารห้าหกรายการติดต่อกัน บริกรดีใจจนยิ้มไม่หุบ“ได้ขอรับ นายท่านกรุณารอสักครู่ อีกครึ่งชั่วยาม ข้าน้อยจะนำอาหารไปส่งที่ห้องพักของนายท่าน”“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นเงินให้ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไปแต่ในขณะที่เดินผ่านห้องพัก กลับได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างใน“...จำไว้นะ ลงมือทันทีที่ฟ้ามืด สังหารเยียนอวิ๋นชูได้เลย”ชื่อที่คุ้นเคยทำให้กู้หว่านเยว่ชะงักฝีเท้า รีบหลบไปแอบฟังอยู่ข้าง ๆ“เจ้าจัดเตรียมข้าวของทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง?”“จัดเตรียมพร้อมแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือหนังสือที่เขียนด้วยเลือด ข้าให้คนเขียนเลียนแบบลายมือของเยียนอวิ๋นชู”ชายคนหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจแค่เพียงเยียนสือซานได้เห็นหนังสือเลือดเล่มนี้ ก็จะระบุตัวฆาตกรว่าเป็นซูจิ่งสิง แล้วก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราอีกในใจของกู้หว่านเยว่เริ่มเกิดคลื่นถาโถม ชายสองคนที่วางแผนลับอยู่ในห้องคือใครกัน พวกเขาต้องการฆ่าเยียนอวิ๋นชู ซ้ำยังจะโยนบาปนี้มาให้ซูจิ่งสิงอีก?เพื่อความปลอดภัย กู้หว่านเยว่ไม่ได้บุกเข้าไปในห้อง แล้วจับกุมพวกเขาในทันทีแต่เจาะหน้าต่างอย่างระ
รถเข็นของใครคนหนึ่ง พุ่งเข้ามาหากู้หว่านเยว่อย่างควบคุมไม่ได้สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไปทันที ถ้ารถเข็นคันนี้ชนตัวนาง นางต้องเอวหักแน่ในช่วงเวลาสำคัญ นางเปิดใช้งานความสามารถพิเศษ ถึงพอจะหยุดรถเข็นเอาไว้ได้“ทำไมท่านไม่ระวังหน่อย เกือบจะชนพี่รองของข้าแล้ว!”เสี่ยวถ่านตกใจจนดึงกู้หว่านเยว่มาตรวจดู“ไม่เป็นไรเสี่ยวถ่าน เขาพิการ ควบคุมรถเข็นไม่ได้”กู้หว่านเยว่เป็นคนใจดีอยู่แล้ว ไม่ถือสาชายผู้นั้น ไม่นึกว่าชายผู้นั้นกลับจ้องเขม็งใส่นางอย่างดุร้าย“เจ้าว่าใครพิการนะ?”เสียงอันโกรธเกรี้ยวทำให้กู้หว่านเยว่จ้องมองเขาอย่างจริงจัง ถึงพบว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามากคนหนึ่งเพียงแต่ใบหน้าของชายผู้นั้นเฉยเมย คนที่ไม่รู้เรื่องยังนึกว่านางติดหนี้เขาหลายล้าน“ท่านเป็นคนชนพี่รองของข้าแท้ ๆ ทำไมยังดุร้ายกับพี่รองของข้าอีก?”แม้ว่าเสี่ยวถ่านจะขี้ขลาด แต่หากเป็นเรื่องของกู้หว่านเยว่ นางจะขึ้นมาอยู่แถวหน้าชายผู้นั้นกลับมองไปที่กู้หว่านเยว่ “ขอโทษข้าด้วย”สายตาที่แข็งกร้าวของเขาทำให้กู้หว่านเยว่พูดไม่ออกแต่เมื่อมองไปยังขาทั้งสองที่พิการของเขา ก็พอจะเข้าใจได้บ้างคนประเภทนี้มีความนับถื
และศัตรูของศัตรูก็คือมิตรเหยลวี่เจิงมีความแค้นที่สังหารมารดาของเสี่ยวถ่าน เก็บเสี่ยวถ่านไว้ก็ไม่เสียหายอะไร“พี่หญิงกู้ ทะ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำให้ท่านเดือดร้อนหรือ?”“ถ้ากลัวว่าเจ้าจะทำให้ข้าเดือดร้อนจริง ๆ ข้าก็คงทิ้งเจ้าไว้ที่โรงเตี๊ยมในเมืองชิงซานตั้งแต่แรกแล้ว ปล่อยให้เจ้าเอาตัวรอดเอง จะพาเจ้าออกมาทำไมกัน”กู้หว่านเยว่หุบยิ้ม เด็กคนนี้ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือ?เสี่ยวถ่านก็รู้สึกตัว เอามือลูบศีรษะด้วยความเขินอายหลังจากที่ตื่นเต้นดีใจจนลืมตัวไป นางรีบคุกเข่าลงต่อหน้ากู้หว่านเยว่“พี่หญิงกู้ บุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตเสี่ยวถ่าน เสี่ยวถ่านจะจดจำไว้ในใจ หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”เสี่ยวถ่านรีบคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะลงคำนับกู้หว่านเยว่อย่างจริงจังสองครั้งกู้หว่านเยว่พิจารณารูปลักษณ์ของนาง แม้จะสวมชุดผู้ชายอยู่ แต่เมื่อใบหน้าเล็ก ๆ นั้นสะอาดสะอ้านแล้ว มองอย่างไรก็เป็นเด็กผู้หญิงชัด ๆ “เจ้าแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ หากเจอทหารตรวจจะถูกเปิดเผยตัวตนได้ง่าย ๆ ข้าช่วยปลอมตัวให้เจ้าดีกว่า”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องยา หยิบอุปกรณ์ปลอมตัวออกมา นางลงมือจัดการใบหน้าของเสี่ยวถ
ก่อนหน้านี้ เสี่ยวถ่านเป็นเพียงแค่เด็กที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพ่อและเสด็จแม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เสี่ยวถ่านก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ“ต่อมา ข้าก็ไม่รู้ว่าแม่ทัพเหยลวี่เจิงไปพูดอะไรกับเสด็จพ่อเสด็จพ่อจึงส่งข้าและเสด็จแม่ไปที่เมืองเทียนสุ่ย”“เมืองเทียนสุ่ย?” ดวงตาดำขลับของซูจิ่งสิงเผยความตกตะลึง แล้วอธิบาย “ได้ยินมาว่าเมืองเทียนสุ่ยขาดแคลนเสบียงอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ สภาพแวดล้อมที่นั่นเลวร้ายยิ่งกว่าเจดีย์หนิงกู่เสียอีก”“ท่านพูดถูก ตอนที่ข้าได้ยินว่าเสด็จพ่อจะส่งพวกเราไปที่เมืองเทียนสุ่ย ปฏิกิริยาแรกของข้าคือการปฏิเสธ ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเสด็จพ่อถึงทำแบบนี้กับพวกเรา น่าเสียดาย ข้าอ้อนวอนมากเท่าไร เสด็จพ่อก็ไม่สนใจ เขายังคงส่งข้าและเสด็จแม่ไปที่เมืองเทียนสุ่ย”เสี่ยวถ่านยิ้มอย่างขมขื่น“หลังจากมาถึงเมืองเทียนสุ่ย ข้ากับเสด็จแม่ก็ถูกจับตามองตลอดเวลา”คงเป็นเพราะเสด็จแม่รู้สึกถึงอันตราย ตระหนักว่าตัวเองอาจประสบภัยได้ทุกเมื่อ จึงไม่ปกป้องข้าเหมือนเมื่อก่อน และเล่าทุกอย่างให้ข้าฟัง”ที่แท้เสด็จแม่ของเสี่ยวถ่านเป็นคนสกุลชุย ซึ่งสกุลชุยและสกุลเห
นี่มันของขวัญบ้าบออะไรกัน หากท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงได้รับของขวัญชิ้นนี้จริง ๆ เขาจะโมโหอย่างรุนแรงแค่ไหนกัน“จับพวกเขาไว้ ไม่ ฆ่าพวกเขาไปเลย รีบฆ่าพวกเขาสองคนเสีย!”เจ้าเมืองชิงซานตะโกนอย่างบ้าคลั่งตอนนี้หนทางรอดเดียวของเขา คือต้องจับตัวฆาตกรสองคนนี้มาให้ได้ แล้วนำศพของพวกเขาไปมอบให้ท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง บางทีอาจจะช่วยระงับความโกรธของแม่ทัพเหยลวี่เจิง และรักษาศีรษะของเขาไว้ได้“ท่านพี่ ไปกัน!”กู้หว่านเยว่แค่อยากยั่วโมโหเจ้าเมืองชิงซานสักหน่อย ไม่ได้อยากจะเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ นางยังต้องรีบไปที่เมืองอูถ่านเพื่อจัดการเหยลวี่เจิงอย่างไรเล่าซูจิ่งสิงได้รับคำสั่งจากนาง ปลายเท้าแตะพื้น โอบเอวบางของนางไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นทะยานหายไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องของเจ้าเมืองชิงซานหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเขาไม่ได้ออกจากเมืองชิงซานในทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองก่อนตามความเคยชิน กู้หว่านเยว่จึงไปที่ห้องเก็บของเพื่อกวาดทรัพย์สินก่อน กวาดเอาของทุกอย่างในจวนเจ้าเมืองจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงค่อยจากไปอย่างพึงพอใจเมื่อเจ้าเมืองชิงซานพบว่าบ้านของเขาถูกขโ