โจวเซิงมีสีหน้าเศร้าหมอง “ความชอบของข้า ไม่เคยนำโชคดีมาให้อีกฝ่ายเลย”ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกสิ่งที่เขาชอบ ทุกสิ่งที่เขาเข้าใกล้ สุดท้ายก็มักจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก“ข้ารู้ว่าพระชายาเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นวันนี้ข้าจึงยอมเปิดบาดแผลในใจ เล่าความหลังนี้ให้พระชายาฟัง”โจวเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ“ข้าหวังให้ฮูหยินน้อยมีชีวิตที่ดี ตราบใดที่นางมีชีวิตที่ดี นับตั้งแต่นี้ไปข้ายินดีจะไม่รบกวนนางอีก”หลังจากพูดจบ โจวเซิงก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน เขาได้พบสตรีที่ชมชอบคนหนึ่งได้อย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับต้องยอมปล่อยมือ ความเจ็บปวดนี้ยากเกินบรรยาย“ข้าขอลา”มองแผ่นหลังของโจวเซิงที่กำลังก้าวจากไป กู้หว่านเยว่ก็มีสีหน้าหนักใจ ชิงเหลียนพูดอย่างอดไม่ได้ว่า“ฮูหยินน้อยช่างน่าสงสารเหลือเกิน สามีคนก่อนก็จากไปหลังแต่งงานได้ไม่นาน นางต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังพอจะก้าวข้ามความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีมาได้อย่างยากลำบาก กลับต้องมาเจอคนชั่วอย่างโจวเซ่อครั้นหลุดพ้นจากคนชั่ว ก็มีโอกาสได้หวั่นไหวอีกครั้ง แต่กลับต้องมาเจอสถานการณ์ของคุณชายโจวเช่นนี้อีก เฮ้อ...เหตุใดสวรรค์ไม่มีเมตตาต่อฮูหยินน้อยบ้างเล่า?”คำพูดของชิงเหลี
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าฟังมาขณะเดินทางท่องยุทธภพ ไม่สามารถยืนยันได้หมดทั้งร้อยส่วน” เนี่ยชิงหลานจับมือกู้หว่านเยว่ ทางหนึ่งเดินไปทางจวนกู้ ทางหนึ่งซุบซิบเล่าเรื่องให้นางฟัง“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ายังเดินทางในยุทธภพ ข้าเคยพักค้างแรมที่บ้านของชาวนาหลังหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้านั่งฟังเขาเล่าเรื่อง พูดว่าภายในหมู่บ้านของพวกเขามีแม่เลี้ยงคนหนึ่งไม่อาจทนเห็นลูกเลี้ยงได้ดี จึงนำเงินไปหานักพรตที่มีวิชาเก่งกาจ นำแปดตัวเลขทำนายดวงชะตาและผมของลูกเลี้ยงไปให้เขาทำพิธี เพื่อให้ลูกเลี้ยงโชคร้าย”ชิงเหลียนที่ฟังอยู่ฝั่งหนึ่ง เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นางโชคร้ายจริงหรือ?”“นั่นไม่ใช่โชคร้ายธรรมดา ขณะข้ามสะพาน อยู่ดีๆ สะพานก็พังลงมา ขณะเข้าห้องน้ำกลับไม่มีกระดาษชำระ ฝนตกน้ำท่วมขัง ขนาดดื่มน้ำเย็นยังติดฟัน!” เนี่ยชิงหลานผายมือ“ก็เพราะเหตุนี้แหละ คนในหมู่บ้านถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ ต่อมาหลังลูกเลี้ยงแต่งงานไปแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ โชคดีที่ครอบครัวสามีของนางรักใคร่เอาใจใส่ จึงไปหานักพรตท่านหนึ่ง เพื่อจะช่วยนางคลี่คลายเรื่องนี้”นางพูดถึงตรงนี้แล้วก็หัวเราะออกมา“ผลปรากฏว่าช่างบั
“โมโหมากจริงๆ”สาวใช้พยักหน้าเบา ๆ“คุณชายเฉิงชอบท่าน จึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนแทงกลางอกเพราะคำพูดเหล่านั้นของคุณหนู”“พูดเกินจริงไปแล้วกระมัง?”เนี่ยชิงหลานบ่นงึมงำ ใบหน้ารูปไข่กลับแดงเรื่อ อาจเป็นเพราะคำว่าชอบนั้นกระมัง“ช่างเถอะๆ ไก่ย่างนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก ข้าจะไปหาเขาแล้วกินด้วยกัน”เนี่ยชิงหลานปากแข็งใจอ่อน ไล่ตามออกไปทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่ไปที่ห้องหนังสือ เล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ่งสิงฟัง“ข้าคิดว่าจะสืบเรื่องคนในตระกูลโจวสักหน่อย”กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญพลางพูด แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการที่อาจจะดูใหญ่โตเกินไปบ้าง แต่ซ่งเสวี่ยเป็นสหายที่ดีของนาง นางกู้หว่านเยว่เป็นคนที่ดีต่อสหายมาก นางไม่อาจทนเห็นสหายของนางทุกข์ทรมาน แต่กลับไม่ทำอะไรเลย“ตระกูลโจว ครั้งก่อนข้าสืบได้เรื่องบางอย่างจากโจวเซ่อมาแล้ว”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้วเบาๆ หากไม่ใช่เพราะวันนี้กู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาคงจะลืมไปแล้ว“ท่านสืบพบอะไรหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงร้อยส่วน รอจนกว่าจะมั่นใจแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”ครั้งก่อนหลังสืบได้ว่าโจวเซ่อเป็นคนซื่อตรง ก็หยุดไว้ก่อน แต่ครั้งนี้สามาร
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่หญิงกู้”ลั่วยางรู้สึกซาบซึ้งใจภายในใจตั้งแต่ไม่ใช่ศัตรูกับกู้หว่านเยว่ เป็นมิตรกับนาง พบว่านางเป็นคนพูดคุยง่ายมากเหลือเกินทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับแขก ปรากฏว่าเข้าประตูไปแล้วก็ได้เห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่“เจ้าไปพาคนผู้นี้มาจากที่ใด?”“ข้าพบเขาที่ประตูเมือง ตอนนั้นเขาชนกระแทกเข้ากับรถม้าของข้า ข้ายังนึกว่าข้าชนเขาจนได้รับบาดเจ็บเสียอีก สรุปว่าลงไปดูก็พบว่าเขาถูกแทงที่อก”ลั่วยางอธิบายต่อ “เห็นว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่สามารถเห็นคนลำบากแล้วไม่ช่วยได้ จึงพาเขากลับมา”สังเกตเห็นสีหน้าของกู้หว่านเยว่ผิดปกติ ลั่วยางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“พี่หญิงกู้ ฐานะของคนผู้นี้...ใช่หรือไม่ว่าข้าทำให้ท่านเดือดร้อน?”นางกังวลว่าตนเองอาจจะช่วยคนที่ไม่สมควรช่วย สรุปคือกู้หว่านเยว่กลับยิ้มพลางส่ายหน้า“มิได้ทำให้ข้าเดือดร้อน ข้าควรจะขอบคุณเจ้าต่างหาก!คนผู้นี้เป็นสหายของข้า พวกเราตามหาเขามาหลายวันแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะช่วยเขากลับมา”นี่บังเอิญเกินไปแล้วกระมัง?“ชิงเหลียน เจ้าไปแจ้งท่านอ๋อง ก็บอกว่าพบขุนพลเกาแล้ว”กู้หว่า
“สิ่งนี้ใช้ภายนอก หากเขามีไข้อีกครั้ง สามารถใช้ผ้าขนหนูชุบแอลกอฮอล์ที่อยู่ภายในนี้แล้วทาที่หน้าผากของเขาได้ เพื่อช่วยให้ไข้ลดลงทีละน้อย”“เจ้าค่ะ”ลั่วยางรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของดี รีบยื่นมือสองข้างไปรับ ถือไว้ในมือแล้วศึกษาอย่างละเอียดในเวลาเดียวกัน ซูจิ่งสิงวิ่งเข้ามาจากภายนอกอย่างว่องไวปานเหินบิน“หว่านเยว่ เกาเจี้ยนเล่า?”เขาหันหน้า ถึงมองเห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนบนเตียง มีผ้าพันแผลหนาๆ อยู่ที่อก สีหน้าเผือดซีด หลับตาสนิททั้งสองข้าง ทันใดนั้นกำมือแน่นซวนลู่ ถึงขั้นลงมือหนักมากเช่นนี้ ทันใดนั้นเขานึกได้ว่าเมื่อคืนยามสอบสวนเขามีเมตตาเกินไปแล้ว“เขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ยามใด?”“น่าจะอีกราวหนึ่งถึงสองชั่วยาม” กู้หว่านเยว่รู้ว่าเขากังวลมาก จึงรีบพูดปลอบใจ“บาดแผลของเขาได้รับการรักษาแล้ว ลั่วยางรักษาเขาได้ทันท่วงที ดังนั้นเขาไม่มีอันตรายถึงชีวิต ท่านวางใจเถอะ”“ขอบคุณมาก”ซูจิ่งสิงมองไปที่ลั่วยางแวบหนึ่ง ลั่วยางรู้สึกตกตะลึงเพราะได้รับความโปรดปราน ไม่กล้าพูดอะไร รีบถอยออกไปเนื่องจากเกาเจี้ยนยังไม่ฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสั่งให้บ่าวอยู่เฝ
เกาเจี้ยนบอกไม่ได้ว่าในใจนั้นโล่งใจหรือยังขมขื่นอยู่ “เพื่อเจ้า นางไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับชาวทูเจวี๋ยเลยสักนิด”“เกาเจี้ยน เจ้าไปรักษาอาการคลั่งรักของเจ้าให้หายดีก่อนเถอะ”ซูจิ้งไม่สบอารมณ์ “ประเด็นหลักคือเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”ประเด็นหลักคือเรื่องที่ซวนลู่เป็นถึงท่านแม่ทัพหญิง แต่นางสมรู้ร่วมคิดกับชาวทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงต่างหาก!“ข้ารู้ว่าประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ข้ารู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย”นัยน์ตาของเกาเจี้ยนแดงก่ำ บุรุษร่างกายกำยำมีน้ำตาไหลอาบแก้ม สองสามีภรรยาถึงกันทนมองไม่ได้แต่พอมาครุ่นคิดดูแล้วก็ใช่ เกาเจี้ยนมีความลึกซึ้งต่อซวนลู่ ทั้งสองคนเข้าพิธีหมั้นกันแล้วเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้นซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบา “เจ้าดูคำพูดเหล่านี้ให้ดี ๆ จะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญา ยื่นมือไปช่วยนางโดยพลการอีก”เข้ามาพัวพันกับชาวทูเจวี๋ย นี่ไม่ใช่เรื่องความรักทั่วไปแล้วนะ“ข้าเข้าใจ”เกาเจี้ยนเสียใจมาก แต่เขารู้จักแยกแยะ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางพาซวนลู่กลับมาหลังจากที่ได้รู้ความจริงหรอก“เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเย็นยะเยือก จากนั้นก็เดินมาหาลั่วยางที่ประตู
“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วย?”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว นางไม่เคยมีความรู้สึกอะไรต่อสกุลกู้ ตั้งแต่ตัดความสัมพันธ์ไปนางไม่เคยเสียใจเลย บัดนี้ครั้นได้เห็นความไร้ยางอายของท่านโหวกู้ จึงไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดนางกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าไม่ได้คาดหวังสกุลกู้มานานมาแล้ว ไม่มีทางโกรธแน่นอน”“เรามีบ้านของเราเอง”ซูจิ่งสิงเป็นห่วงนางมาก กู้หว่านเยว่กลับอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ“สกุลกู้....ท่านพ่อของข้าไร้ยางอายจริง ๆ ทำมาเป็นพูดว่าเขายกเงินกับเราแล้ว เพียงแต่ถูกสนมยักยอกไปเสียก่อน”กู้หว่านเยว่ดูหมิ่นเขา กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ โยนความผิดให้สตรี เป็นบุรุษประสาอะไร“จดหมายฉบับนี้ เจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไร”“ไม่จัดการ”กู้หว่านเยว่โยนจดหมายทิ้งลงในถังเตาถ่าน นางเดาว่าหลังจากที่นางขนสิ่งของในจวนกู้โหวไปจนเกลี้ยงแล้ว กิจการที่ค้าขายได้ไม่ดีเหล่านั้นก็ยากจะประคับประคองให้อยู่รอดต่อได้ บัดนี้เสบียงได้หมดเกลี้ยงแล้ว“ในเมื่อตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็ต้องหาเหตุผลกระชับมิตรใหม่”ท่านกู้โหวได้ยินว่าซูจิ่งสิงได้รับตำแหน่งคืนแล้ว ทั้งยังคอยควบคุมข่าวลือในเจดีย์หนิงกู่อีก จึงได้เขียน
กู้หว่านเยว่ดีใจกับพวกเขา กว่าทั้งสองคนจะเดินมาถึงวันนี้มันไม่ง่ายเลย“ถึงตอนนั้นค่อยให้ซองแดงกับพวกเจ้าก็แล้วกัน”“ขอบคุณ พระชายาเจ้าค่ะ”เฉินจื่อหวังและเจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มไม่ได้ ทั้งสองคนไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จึงขอตัวไปดูร้านขายชาดกับหงเจาหลังจากที่ทั้งสองคนจากไป กู้หว่านเยว่ได้เจียดเวลาไปเยี่ยมซ่งเสวี่ยที่บ้านสกุลโจว อาการป่วยของนางดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่นางยังไม่ค่อยร่าเริงนักกู้หว่านเยว่ก็ไม่กล่าวสิ่งใด ได้เพียงแค่ปลอบใจนาง“ได้ยินว่ามีอารามเต๋าแห่งหนึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พรุ่งนี้ข้าอยากไปผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย”“อารามอะไรหรือ?” เหตุใดกู้หว่านเยว่ไม่เคยได้ยินมาก่อนซ่งเสวี่ยกล่าว “ดูเหมือนจะเป็นอารามไว้ขอบุตร วันนั้นข้าได้ยินคนในตลาดบอกว่าขอได้จริง ข้าจะไปขอเครื่องรางแคล้วคลาดให้นานนาน”กู้หว่านเยว่เป็นห่วงว่านางจะเกิดเรื่อง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าไปกับท่านด้วย ข้าเองก็อยากซื้อให้จ้านจ้านเช่นกัน”เรื่องของโจวเซิง ยังไม่ได้ผลในเวลานี้กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้จะเอ่ยเรื่องนี้อย่างไร วันที่สองทั้งสองคนนั่งรถม้าไปกราบไหว้อารามเต๋านอกเมือง เน
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก