ซวนลู่ขบกรามแน่น มองดูเกาเจี้ยนที่ล้มลงไป แล้วเดินไปยังสถานที่ซื้อขายม้าเดินโดยไม่เหลียวหลังนางไปยังสถานที่ซื้อขายม้าและซื้อม้าเร็วมาตัวหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจะขึ้นม้า เกาเจี้ยนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“ท่าน?” ซวนลู่ตกใจ “ท่านเพิ่งหมดสติไปมิใช่หรือ?”เกาเจี้ยนยิ้มเจื่อน ๆ มองดูซวนลู่เหมือนไม่เคยรู้จักนางมาก่อน“ขณะที่สาดผงยาเข้ามาข้าก็กลั้นหายใจ เจ้าเห็นสกุลเกาของเราเป็นอะไร เรื่องการป้องกันตัวแบบนี้จะไม่มีเลยหรือ”บรรพบุรุษสกุลเกาของพวกเขา เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนอกกรอบในยุทธภพเหล่านี้“อาลู่ เจ้ากลับไปกับข้า” เกาเจี้ยนกล่าวเสียงหนักแน่น“ข้าจะไม่ตามหาพยานบุคคลอะไรนั่นแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ ข้าอยากตรงกลับบ้านเลย”“ไม่ได้” เกาเจี้ยนก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้านางไว้ “อาลู่ เจ้าต้องกลับไปกับข้าแล้วคุยกันให้ชัดเจน”ที่แท้หลังจากเกาเจี้ยนรู้ความจริงจากปากซูจิ่นเอ๋อร์แล้ว ก็ออกตามหาสถานที่ที่ซวนลู่ถูกคุมขังไว้ เขามีความสามารถในการสืบสวนที่ดีเยี่ยม ค้นหาไม่นานก็พบที่อยู่ของซวนลู่จริง ๆ“อาลู่ เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่า เจ้าไม่ได้วางยาจิ่งสิง เป็นจิ่งสิงเองที่ควบคุ
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองยังมิได้ทำความรู้จักกับสตรีตรงหน้าดีๆ เลยสักครั้ง“ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้”เกาเจี้ยนได้สติขึ้นมา ตัดสินใจแล้ว“หากเจ้าไปแล้ว เรื่องก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก บัดนี้เจ้าจงกลับไปโขกศีรษะยอมรับผิดต่อพวกเขาพร้อมข้า เรื่องนี้ยังพอมีโอกาสย้อนคืนกลับมาได้”เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หัวใจคล้ายค่อยๆ เย็นชาลง “ส่วนเรื่องการแต่งงานของพวกเรา...”เขายิ้มขมปร่าออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกับข้า หลังจากกลับไปข้าจะบอกท่านพ่อและท่านลุงเอง พูดว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้าถอนหมั้นกับเจ้า เพื่อให้เจ้าได้ไปตามหาความสุขของตน”เขาไล่ตามซวนลู่มาเนิ่นนาน ถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยมือการรักใครสักคน ไม่จำเป็นต้องครอบครองนางเสมอไป“พี่ใหญ่เกา ท่านพูดจริงหรือ?” ซวนลู่รู้สึกทรมานภายในใจขึ้นมาในทันใด คล้ายกับว่าได้สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป“จริง” เกาเจี้ยนยิ้มขมปร่า “ขอเพียงเจ้ากลับไปยอมรับผิดกับข้าก็พอ”“ข้า...” ซวนลู่หลุบตาลง เสียงแผ่วเบาราวกับยอมรับผิดแล้ว “แต่ข้ากลัว”เกาเจี้ยนปวดแปลบภายในใจ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”“อืม พี่ใหญ่เกา ท่านดึงข้าลงจากม้า พาข้ากลับไปเถอะ”ดวงตา
นางพูดพลางเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นสวรรค์ คนผู้นี้เจอศัตรูมาแล้วกระมัง ที่อกถึงขั้นมีกริชเล่มหนึ่ง มิหนำซ้ำกริชเล่มนี้ยังแทงลึกมากเพียงพอจริงๆกระนั้นยังดี นางตรวจดูแล้วเล็กน้อย พบว่ากริชไม่ได้แทงตรงกลางหัวใจ น่าจะยังพอมีทางให้ช่วยเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่ ลั่วยางใคร่ครวญดูแล้วยังมิอาจหักใจเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยได้ จึงยกเขาขึ้นไปบนรถม้า“วันนี้ได้พบข้า ถือว่าเจ้าโชคดี”รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองอวี้ ส่วนทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ไล่ตามออกจากเมืองอย่างว่องไว“ที่นี่มีเลือด ยังมีกระเป๋าผ้าไหมปักลายอยู่หนึ่งใบ”กู้หว่านเยว่สังเกตเห็นกระเป๋าผ้าไหมปักลายที่มีเลือดเปื้อนตกอยู่ข้างทาง จึงรีบยื่นให้ซูจิ่งสิง“ของสิ่งนี้เป็นของเกาเจี้ยน ดูท่าแล้วพวกเขาเคยผ่านมาที่นี่” ซูจิ่งสิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง กังวลว่าอาลู่ได้ประโยชน์แล้วจะทำลายคนทิ้ง“เจดีย์หนิงกู่อยู่ในระหว่างการซ่อมถนน หลังจากออกจากเมืองไปแล้วต้องการจากไป มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะสามารถออกไปได้ ให้องครักษ์จันทราไล่ตามเส้นทางนั้นไปก็พอ”กู้หว่านเยว่หยิบพลุสัญญาณออกมาอันหนึ่ง ยิ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่เฟิงพาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งกลับมามือเปล่า“นายท่าน พวกเราไม่พบเบาะแสของขุนพลเกา”ซูจิ่งสิงรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ เขาและเกาเจี้ยนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย หลังจากเกิดเรื่องในคืนนี้ แม้จะโกรธ แต่กลับกังวลความปลอดภัยของเกาเจี้ยนมากกว่า“เพิ่มกำลังคน ขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้น”หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กู้หว่านเยว่ปลอบใจด้วยเสียงนุ่มนวล “เส้นทางนี้เป็นทางหลวง แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ยังคงมีคนเดินทางผ่านไปมาเป็นไปได้มากว่าเกาเจี้ยนจะถูกคนผ่านทางช่วยไปแล้ว”“น้องหญิง เจ้าพูดถูกแล้ว”เห็นว่าค่ำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็ไม่สามารถรออยู่ที่นี่โดยเสียเปล่าได้ จึงพาซวนลู่กลับไปที่จวนไฉนเลยจะรู้ว่าจะได้พบลั่วยางที่หน้าประตูจวนกู้“พี่หญิงหว่านเยว่!”ดวงตาสองข้างของลั่วยางทอประกายระยับ วิ่งเข้าหากู้หว่านเยว่อย่างกระตือรือร้น“ลั่วยาง”ช่วงนี้กู้หว่านเยว่มักได้รับจดหมายจากลั่วยางที่ส่งมาจากซีเป่ย จดหมายพูดถึงเรื่องที่นางได้ติดต่อกับแพทย์ของร้านยาที่ซีเป่ยบางส่วน รวมกลุ่มกันตรวจรักษา เพื่อรักษาราษฎร์ที่ได้รับความลำบากและทหารเปลี่ยนไปจากคนเดิมในอดีตราวกับคนละคน
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีภายในใจ สืบเท้าขึ้นไปสองก้าวอย่างฉับไวและยกแขนเสื้อของซวนลู่ขึ้นแขนของซวนลู่ขาวสะอาด“แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าหายไปแล้ว!”นางมองซวนลู่อย่างตกตะลึง “ใครรังแกเจ้า?”แม้ว่าหลายวันมานี้ซวนลู่มักขัดแย้งกับนาง แต่นางมองออก อีกฝ่ายไม่ใช่สตรีที่หลงระเริงไปกับความปรารถนา สูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนการแต่งงาน ไม่ใช่สิ่งที่ซวนลู่จะทำออกมาได้“ปล่อยข้า อย่าถามเลย!”ซวนลู่รีบดึงแขนกลับ มือสองข้างปิดหน้า ไม่กล้ามองซูจิ่งสิง “จิ่งสิง ข้าขอร้องท่านอย่ามองข้าเลย อย่ามองข้า”นางยอมให้ซูจิ่งสิงคิดว่านางเป็นคนชั่วร้าย แต่ไม่ยอมให้เขาจะคิดว่านางสกปรกตกลงนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าแปลกใจ ซวนลู่สติแตกไปแล้ว ทั้งสองบังคับถามเล็กน้อย ในที่สุดก็ทนไม่ไหวและสารภาพความจริงออกมาที่แท้หลังสองตระกูลตกลงหมั้นหมายกัน ซวนลู่ไม่อยากแต่งงานกับเกาเจี้ยน เอือมระอาไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพผู้เฒ่าซวนได้ ภายใต้ความโมโห นางจึงหนีออกจากบ้าน ตัดสินใจมุ่งหน้ามาที่เจดีย์หนิงกู่เพื่อไล่ตามคนรักแต่เดินทางมาได้ครึ่งทาง กลับได้พบกับเหยลวี่เจ
ปัญหานี้รบกวนนางมานานมากแล้วนางรู้สึกมาตลอดว่าตอนนั้นเลือกผิดไป หากนางกล้าหาญกว่านี้ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจจะแตกต่างออกไป ซูจิ่งสิงหันไป มองด้วยสายตาเย็นชา “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยชอบเจ้า”เขาจับมือกู้หว่านเยว่แน่น นิ้วทั้งสิบสอดประสานกัน“ไม่มีอะไรให้สมมุติ คนที่ยืนเคียงข้างข้า จะต้องเป็นกู้หว่านเยว่เท่านั้น”“ฮึๆ ข้าเข้าใจแล้ว”ใบหน้าซวนลู่เผือดซีดลงอย่างรวดเร็ว ล้มลงบนพื้น ความหวังสุดท้ายของนางก็หายไปราวกับหมอกผ่านตาแท้จริงแล้วนางรู้ดีอยู่ภายในใจ แต่ยังไม่ยอมตัดใจ จะต้องถามให้ได้บัดนี้ นางเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นนางคิดไปเพียงฝ่ายเดียว“น้องหญิง ระวังขั้นบันไดด้วย”สุ้มเสียงที่เอ่ยเตือนอย่างนุ่มนวลของซูจิ่งสิงดังขึ้น ทั้งสองคนออกจากคุก“ขังซวนลู่ไว้ก่อน ส่วนทูเจวี๋ยคนนั้น ฆ่าทิ้งเสีย”ซูจิ่งสิงสั่งองครักษ์จันทรา กู้หว่านเยว่ถามขึ้น “ท่านจะปล่อยซวนลู่ไปหรือ?”“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะส่งนางให้กับแม่ทัพผู้เฒ่าซวน ให้เขาจัดการด้วยตนเอง แม่ทัพผู้เฒ่าซวนโกรธแค้นพวกทูเจวี๋ยมาทั้งชีวิต จะต้องสั่งสอนนางดีๆ แน่”ซวนลู่ถูกเหยลวี่เจิงรังแก ทั้งสองรู้สึกว่านางน่าสงสารม
เมื่อกู้หว่านเยว่เดินทางมาถึงจวนโจว ก็เห็นซ่งเสวี่ยนอนซมอยู่บนเตียง ดวงตาว่างเปล่า คล้ายมีเรื่องภายในใจจริง“หว่านเยว่ เจ้ามาแล้วหรือ?”คนเดินเข้าไปใกล้ซ่งเสวี่ยแล้วถึงเพิ่งสังเกตเห็น ลุกขึ้นนั่งอย่างประหลาดใจ กู้หว่านเยว่รีบเดินเข้าไปกดตัวนางไว้“ป่วยจนเป็นเช่นนี้แล้วก็อย่าลุกขึ้นมาเลย พวกเราสองคน ไม่ต้องมีพิธีรีตองเหล่านี้”ซ่งเสวี่ยหัวเราะ “ผมเผ้ารุงรัง ให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”“พี่หญิงเป็นคนงาม ป่วยอย่างไรก็ยังงามอยู่ ผมเผ้ารุงรังอะไรกัน?” กู้หว่านเยว่โบกมือ ไล่บ่าวออกไป เหลือเพียงนางและซ่งเสวี่ยสองคนภายในห้อง“พี่หญิงซ่ง ตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามา เห็นสีหน้าของท่านคล้ายมีเรื่องกังวลใจ” กู้หว่านเยว่ถามตรงประเด็น“ใช่หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว? มีอะไรก็สามารถบอกข้าได้”ซ่งเสวี่ยเอือมระอา “เป็นแม่นมฉินที่ไปหาเจ้ากระมัง”“นางเป็นห่วงท่าน”“ข้ารู้” ซ่งเสวี่ยไม่ได้ตำหนิแม่นมฉิน หลุบตาลง“ข้าไม่เป็นอะไร ก็แค่รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง อีกสองวันก็คงจะดีขึ้นเอง”“ท่านแน่ใจหรือ?” กู้หว่านเยว่จะเชื่อได้อย่างไร?ภายใต้สายตาจับผิดของนาง ซ่งเสวี่ยยอมจำนนอย่างอดไม่ได้ “ก็ได้ เป็นเรื่
“เหตุใดมีคนทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้นกันเล่า?” แม่นมฉินตาไว ตะโกนออกมาเสียงดัง พลางสั่งบ่าวให้ไปดูชายที่แอบอยู่หลังสิงโตหินเห็นว่าหลบไม่พ้น ถอนหายใจ เดินออกมา“คุณชายโจว? เป็นท่านหรือ?”แม่นมฉินหน้าตาบึ้งตึง ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าโจวเซิงเป็นชายหนุ่มที่สง่างามมีความสามารถ เหมาะสมกับฮูหยินน้อยของพวกนางราวกับสวรรค์สร้างแต่ตอนนี้นางคิดว่าตนเองคงต้องไปตรวจตราดูสักหน่อย“ใช่ ข้าเอง”ในเมื่อถูกจับได้แล้ว โจวเซิงก็ไม่ปิดบังอีก เดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างามผ่าเผย ทำความเคารพกู้หว่านเยว่“คารวะพระชายา”กู้หว่านเยว่มองเขาขึ้นลงหนึ่งรอบ “เจ้ามาที่นี่เพื่อพบพี่หญิงซ่งหรือ?”โจวเซิงนิ่งเงียบไป ครู่ต่อมาจึงพยักหน้า “ใช่”แม้ว่ามองสีหน้าไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร แต่น้ำเสียงกลับยากจะปกปิดความกังวลเอาไว้ได้“ข้าบังเอิญได้ยินว่าฮูหยินน้อยป่วย ข้า จึงมาเยี่ยม”เขายื่นของบำรุงที่เตรียมมา ล้วนเป็นสมุนไพรราคาแพง“สิ่งเหล่านี้มอบให้ฮูหยินน้อยบำรุงร่างกาย”แม่นมฉินมิได้ขึ้นไปรับ กู้หว่านเยว่กลับงุนงง มองผ่านท่าทีของเขาแล้วก็รู้ว่าห่วงใยซ่งเสวี่ยมาก แต่เพราะเหตุใดต้องทำเป็นไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยั
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย
จากระดับความรักที่พี่ชายมีต่อเขา ต้องตามราวีซูจิ่งสิงอย่างไม่เลิกราแน่นอนลองคิดดูอีกที ช่วงนี้ใครอีกที่ต้องการยืมมือของพี่ชายเพื่อฆ่าซูจิ่งสิง“เหยลวี่เจิง”ดวงตาของเยียนอวิ๋นชูขรึมลงเล็กน้อย พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาต้องการฆ่าข้า จากนั้นค่อยยืมมือพี่ชายของข้าฆ่าซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เยียนสือซานรับปากเหยลวี่เจิงว่าจะไปฆ่าซูจิ่งสิงตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ?หรือว่าเขาจะยังไม่ตอบตกลง!เหยลวี่เจิงจึงเสี่ยงเพราะเข้าตาจน วางแผนที่จะใช้เยียนอวิ๋นชูมายั่วยุความโกรธแค้นระหว่างเขากับซูจิ่งสิง?อย่างนี้เยียนอวิ๋นชูจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยและเยียนสือซานก็ไม่ถือเป็นศัตรูของพวกเขาในขณะนี้“รีบนำปากกาและพู่กันมาให้ข้า ข้าต้องเรียบเรียงจดหมายส่งให้พี่ใหญ่ ไม่ให้เขาตกหลุมพรางของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูรีบขอกระดาษและพู่กันจากองครักษ์ กู้หว่านเยว่ถามด้วยความใคร่รู้“พี่ใหญ่ของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่ แม้ว่าสายตาของเขายังคงเย็นชาเหมือนในตอนแรก แต่ที่จริงแล้วในใจของเขามีความเชื่อถือต่อกู้หว่านเยว่ตั้งนานแล้ว“ไม่ใช่ พี่ใหญ่อยู่ในเมืองอูถ่าน”
“โอ๊ย!” ชายที่ลอบโจมตีร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงกับพื้นกู้หว่านเยว่มองไปที่เยียนอวิ๋นชูอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้อาวุธลับและเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของอาวุธลับนี้แล้ว ก็ไม่ได้เป็นรองธนูในมิติของนางดูเหมือนว่าเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนพิการที่ไร้ประโยชน์เช่นกันชายผู้นั้นล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นสหายถูกฆ่าตายหมด ก็โกรธจนกระอักเลือดออกมาเต็มปากเขารู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เลวร้ายลงจนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ก่อนจะตะโกนลั่นด้วยสายตาที่ชั่วร้าย“พวกเจ้าสองคนสมควรตาย มาทำลายแผนการของเจิ้นเป่ยอ๋อง ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”หลังจากพูดจบ หน้าอกของเขาก็ถูกลูกศรของซูจิ่งสิงเจาะทะลุ หลังจากกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก็ขาดใจตายในทันใดมองดูร่างของชายผู้นั้น กู้หว่านเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็โกรธจัดนี่มันอะไรกัน? ก่อนตายยังไม่หยุด ยังโยนความผิดมาใส่ตัวพวกเขาอีก!“เจิ้นเป่ยอ๋อง?”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปตามคาดได้ยินมาว่าที่ครั้งนี้พี่ใหญ่ได้รับเชิญให้ไปทูเจวี๋ย ก็เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพเหยลวี่เจิ้งแห่งทูเจวี๋ยในการสังหารเจิ้นเป่ยอ๋องเพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด พี่ใหญ่ถึงไม่ตอบตกลง
“พี่ใหญ่เกิดเรื่อง ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?”คำพูดขององครักษ์เยียนอวิ๋นชูฟังไม่เข้าหูเลย เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก แล้วหมุนวงล้อด้านล่างวนรอบห้องเหมือนเดิมนี่คือสีหน้าของเขาเวลาตึงเครียดและในเวลานี้เอง ก็มีคนสองคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าสีดำ ถือมีดเล่มใหญ่ไว้ในมือ จ้องมองเยียนอวิ๋นชูตาเป็นมัน“พวกเจ้าเป็นใคร บุกรุกเข้ามาทำไม?”“แหะ ๆ คุณชายรองสกุลเยียนยังมัวกังวลว่าพวกข้าคือใคร สนใจชีวิตของตัวท่านเองก่อนเถอะ” หนึ่งในนั้นยิ้มเยาะเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเช่นกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทางของคนทั้งสอง แล้วนึกถึงจดหมายลับที่เขาเพิ่งได้รับมาอย่างไร้ที่มาที่ไป ก็เข้าใจในทันทีว่ามีคนจงใจวางกับดักไว้ต้องการโยกย้ายองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาไปที่อื่น แล้วค่อยปลิดชีวิตเขา“พวกเจ้าไม่รู้จักตัวตนของข้าหรือ หากพี่ชายของข้ารู้เรื่องนี้ เขาจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูเกลี้ยกล่อมให้พูดความจริง คนที่บุกเข้ามาอีกคนก็หัวเราะหึหึ “พี่ชายของท่านไม่ใช่มือสังหารอันดับหนึ่งในรายชื่อหรอกหรือ นายของพวกข้าไม่เห็นพี่ชายของท่านอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”เยียนอวิ๋นชูจับคำสำคัญได้
กู้หว่านเยว่แจ้งรายชื่ออาหารห้าหกรายการติดต่อกัน บริกรดีใจจนยิ้มไม่หุบ“ได้ขอรับ นายท่านกรุณารอสักครู่ อีกครึ่งชั่วยาม ข้าน้อยจะนำอาหารไปส่งที่ห้องพักของนายท่าน”“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นเงินให้ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไปแต่ในขณะที่เดินผ่านห้องพัก กลับได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างใน“...จำไว้นะ ลงมือทันทีที่ฟ้ามืด สังหารเยียนอวิ๋นชูได้เลย”ชื่อที่คุ้นเคยทำให้กู้หว่านเยว่ชะงักฝีเท้า รีบหลบไปแอบฟังอยู่ข้าง ๆ“เจ้าจัดเตรียมข้าวของทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง?”“จัดเตรียมพร้อมแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือหนังสือที่เขียนด้วยเลือด ข้าให้คนเขียนเลียนแบบลายมือของเยียนอวิ๋นชู”ชายคนหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจแค่เพียงเยียนสือซานได้เห็นหนังสือเลือดเล่มนี้ ก็จะระบุตัวฆาตกรว่าเป็นซูจิ่งสิง แล้วก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราอีกในใจของกู้หว่านเยว่เริ่มเกิดคลื่นถาโถม ชายสองคนที่วางแผนลับอยู่ในห้องคือใครกัน พวกเขาต้องการฆ่าเยียนอวิ๋นชู ซ้ำยังจะโยนบาปนี้มาให้ซูจิ่งสิงอีก?เพื่อความปลอดภัย กู้หว่านเยว่ไม่ได้บุกเข้าไปในห้อง แล้วจับกุมพวกเขาในทันทีแต่เจาะหน้าต่างอย่างระ
รถเข็นของใครคนหนึ่ง พุ่งเข้ามาหากู้หว่านเยว่อย่างควบคุมไม่ได้สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไปทันที ถ้ารถเข็นคันนี้ชนตัวนาง นางต้องเอวหักแน่ในช่วงเวลาสำคัญ นางเปิดใช้งานความสามารถพิเศษ ถึงพอจะหยุดรถเข็นเอาไว้ได้“ทำไมท่านไม่ระวังหน่อย เกือบจะชนพี่รองของข้าแล้ว!”เสี่ยวถ่านตกใจจนดึงกู้หว่านเยว่มาตรวจดู“ไม่เป็นไรเสี่ยวถ่าน เขาพิการ ควบคุมรถเข็นไม่ได้”กู้หว่านเยว่เป็นคนใจดีอยู่แล้ว ไม่ถือสาชายผู้นั้น ไม่นึกว่าชายผู้นั้นกลับจ้องเขม็งใส่นางอย่างดุร้าย“เจ้าว่าใครพิการนะ?”เสียงอันโกรธเกรี้ยวทำให้กู้หว่านเยว่จ้องมองเขาอย่างจริงจัง ถึงพบว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามากคนหนึ่งเพียงแต่ใบหน้าของชายผู้นั้นเฉยเมย คนที่ไม่รู้เรื่องยังนึกว่านางติดหนี้เขาหลายล้าน“ท่านเป็นคนชนพี่รองของข้าแท้ ๆ ทำไมยังดุร้ายกับพี่รองของข้าอีก?”แม้ว่าเสี่ยวถ่านจะขี้ขลาด แต่หากเป็นเรื่องของกู้หว่านเยว่ นางจะขึ้นมาอยู่แถวหน้าชายผู้นั้นกลับมองไปที่กู้หว่านเยว่ “ขอโทษข้าด้วย”สายตาที่แข็งกร้าวของเขาทำให้กู้หว่านเยว่พูดไม่ออกแต่เมื่อมองไปยังขาทั้งสองที่พิการของเขา ก็พอจะเข้าใจได้บ้างคนประเภทนี้มีความนับถื
และศัตรูของศัตรูก็คือมิตรเหยลวี่เจิงมีความแค้นที่สังหารมารดาของเสี่ยวถ่าน เก็บเสี่ยวถ่านไว้ก็ไม่เสียหายอะไร“พี่หญิงกู้ ทะ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำให้ท่านเดือดร้อนหรือ?”“ถ้ากลัวว่าเจ้าจะทำให้ข้าเดือดร้อนจริง ๆ ข้าก็คงทิ้งเจ้าไว้ที่โรงเตี๊ยมในเมืองชิงซานตั้งแต่แรกแล้ว ปล่อยให้เจ้าเอาตัวรอดเอง จะพาเจ้าออกมาทำไมกัน”กู้หว่านเยว่หุบยิ้ม เด็กคนนี้ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือ?เสี่ยวถ่านก็รู้สึกตัว เอามือลูบศีรษะด้วยความเขินอายหลังจากที่ตื่นเต้นดีใจจนลืมตัวไป นางรีบคุกเข่าลงต่อหน้ากู้หว่านเยว่“พี่หญิงกู้ บุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตเสี่ยวถ่าน เสี่ยวถ่านจะจดจำไว้ในใจ หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”เสี่ยวถ่านรีบคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะลงคำนับกู้หว่านเยว่อย่างจริงจังสองครั้งกู้หว่านเยว่พิจารณารูปลักษณ์ของนาง แม้จะสวมชุดผู้ชายอยู่ แต่เมื่อใบหน้าเล็ก ๆ นั้นสะอาดสะอ้านแล้ว มองอย่างไรก็เป็นเด็กผู้หญิงชัด ๆ “เจ้าแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ หากเจอทหารตรวจจะถูกเปิดเผยตัวตนได้ง่าย ๆ ข้าช่วยปลอมตัวให้เจ้าดีกว่า”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องยา หยิบอุปกรณ์ปลอมตัวออกมา นางลงมือจัดการใบหน้าของเสี่ยวถ
ก่อนหน้านี้ เสี่ยวถ่านเป็นเพียงแค่เด็กที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพ่อและเสด็จแม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เสี่ยวถ่านก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ“ต่อมา ข้าก็ไม่รู้ว่าแม่ทัพเหยลวี่เจิงไปพูดอะไรกับเสด็จพ่อเสด็จพ่อจึงส่งข้าและเสด็จแม่ไปที่เมืองเทียนสุ่ย”“เมืองเทียนสุ่ย?” ดวงตาดำขลับของซูจิ่งสิงเผยความตกตะลึง แล้วอธิบาย “ได้ยินมาว่าเมืองเทียนสุ่ยขาดแคลนเสบียงอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ สภาพแวดล้อมที่นั่นเลวร้ายยิ่งกว่าเจดีย์หนิงกู่เสียอีก”“ท่านพูดถูก ตอนที่ข้าได้ยินว่าเสด็จพ่อจะส่งพวกเราไปที่เมืองเทียนสุ่ย ปฏิกิริยาแรกของข้าคือการปฏิเสธ ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเสด็จพ่อถึงทำแบบนี้กับพวกเรา น่าเสียดาย ข้าอ้อนวอนมากเท่าไร เสด็จพ่อก็ไม่สนใจ เขายังคงส่งข้าและเสด็จแม่ไปที่เมืองเทียนสุ่ย”เสี่ยวถ่านยิ้มอย่างขมขื่น“หลังจากมาถึงเมืองเทียนสุ่ย ข้ากับเสด็จแม่ก็ถูกจับตามองตลอดเวลา”คงเป็นเพราะเสด็จแม่รู้สึกถึงอันตราย ตระหนักว่าตัวเองอาจประสบภัยได้ทุกเมื่อ จึงไม่ปกป้องข้าเหมือนเมื่อก่อน และเล่าทุกอย่างให้ข้าฟัง”ที่แท้เสด็จแม่ของเสี่ยวถ่านเป็นคนสกุลชุย ซึ่งสกุลชุยและสกุลเห
นี่มันของขวัญบ้าบออะไรกัน หากท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงได้รับของขวัญชิ้นนี้จริง ๆ เขาจะโมโหอย่างรุนแรงแค่ไหนกัน“จับพวกเขาไว้ ไม่ ฆ่าพวกเขาไปเลย รีบฆ่าพวกเขาสองคนเสีย!”เจ้าเมืองชิงซานตะโกนอย่างบ้าคลั่งตอนนี้หนทางรอดเดียวของเขา คือต้องจับตัวฆาตกรสองคนนี้มาให้ได้ แล้วนำศพของพวกเขาไปมอบให้ท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง บางทีอาจจะช่วยระงับความโกรธของแม่ทัพเหยลวี่เจิง และรักษาศีรษะของเขาไว้ได้“ท่านพี่ ไปกัน!”กู้หว่านเยว่แค่อยากยั่วโมโหเจ้าเมืองชิงซานสักหน่อย ไม่ได้อยากจะเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ นางยังต้องรีบไปที่เมืองอูถ่านเพื่อจัดการเหยลวี่เจิงอย่างไรเล่าซูจิ่งสิงได้รับคำสั่งจากนาง ปลายเท้าแตะพื้น โอบเอวบางของนางไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นทะยานหายไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องของเจ้าเมืองชิงซานหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเขาไม่ได้ออกจากเมืองชิงซานในทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองก่อนตามความเคยชิน กู้หว่านเยว่จึงไปที่ห้องเก็บของเพื่อกวาดทรัพย์สินก่อน กวาดเอาของทุกอย่างในจวนเจ้าเมืองจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงค่อยจากไปอย่างพึงพอใจเมื่อเจ้าเมืองชิงซานพบว่าบ้านของเขาถูกขโ