หน้ากากหนังมนุษย์ดูสมจริงมาก คนชุดดำไม่รู้สึกสงสัยอะไรเลย กู้หว่านเยว่เอ่ยอย่างลำพองใจ“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ากับท่านอ๋องมีมิตรภาพจากการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เขาไว้ใจข้ามาก”ภายในมิติ ซูจิ่งสิงได้ยินคำพูดของกู้หว่านเยว่ พลางแสยะมุมปากขึ้น พรสวรรค์ในการเลียนแบบของน้องหญิงมีสูงมากจริง ๆ ถ้าเขาไม่รู้ว่าคนข้างนอกคือน้องหญิงที่ปลอมตัวมา ก็เกือบจะนึกว่าซวนลู่มาจริง ๆ“ของล่ะ เอามาให้ข้าอีก”กู้หว่านเยว่ยื่นมือออกมา คนชุดดำกำลังบีบบังคับนาง“ของน่ะให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องไม่ลืมความร่วมมือของเรา ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้าและทำงานให้ข้า”“ข้าไม่ลืม” กู้หว่านเยว่ค่อนข้างใจร้อน มองไปที่คนชุดดำที่ไม่ค่อยอยากคุยด้วยมากนัก เลียนแบบท่าทางของซวนลู่จนเหมือนเปี๊ยบคนชุดดำก็ไม่นึกสงสัยอะไรเลย พลางหยิบขวดยาดอกฉิงฮวาออกมาจากอกของสิ่งนี้มันเสพติดได้ ยิ่งกินยิ่งติด หนีไปไหนไม่ได้เขาต้องการให้ซวนลู่ค่อย ๆ ให้ซูจิ่งสิงกินก่อน รอจนกว่าซูจิ่งสิงจะขาดมันไม่ได้โดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่เขาได้ลงมือคนชุดดำส่งขวดยาให้กู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่เอื้อมมือออกไป แต่กลับไม่ได้คว้ายานั่นไว้ กลายเป็นคว้าข้อมือของ
“เจ้าบอกว่าเกาเจี้ยนพานางไปหรือ?”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ต่างก็ตกใจ ที่ทั้งสองไม่ได้บอกความจริงกับเกาเจี้ยนเมื่อวาน ก็เพราะกลัวว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นหลังจากวางแผนจับตัวคนทูเจวี๋ย รวบรวมคำให้การและหลักฐาน ให้ซวนลู่ไม่มีทางปฏิเสธได้ แล้วจึงค่อยบอกเกาเจี้ยน“ข้าน้อยไร้ความสามารถ”ฉู่เฟิงถอนหายใจ รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่หน้าอก“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงไม่ตำหนิชู่เฟิง เขารู้ทักษะการต่อสู้ของเกาเจี้ยนดี พละกำลังไม่มีวันหมด สามารถฆ่าหมีตัวหนึ่งได้ด้วยมือเปล่า องครักษ์เงาจันทร์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ มันเป็นเรื่องปกติ“พาคนทูเจวี๋ยผู้นี้ลงไปไต่สวนก่อน” ซูจิ่งสิงส่งคนชุดดำให้ฉู่เฟิงแล้วถามว่า “เกาเจี้ยนไปทางไหน?”“ไปทางประตูเมืองขอรับ” ฉู่เฟิงพูดพลางคว้าคนชุดดำไว้“น้องหญิง เราไปตามเขากันเถอะ” ซูจิ่งสิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ซวนลู่เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด เกาเจี้ยนเป็นคนดื้อดึง กลัวว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกำมือนาง“ตกลง” กู้หว่านเยว่พยักหน้า ก่อนจะมองไปทางซูจิ่นเอ๋อร์ “เจ้าไม่ต้องร้องไห้ กลับไปรอฟังข่าวที่จวนก่อน”เมื่อครู่ซูจิ่นเอ๋อร์รู้สึกผิดมากเหลือเกิน บวกกับฟ้ามืด จึงมองไม่ค่อยเห็นผ
ซวนลู่ขบกรามแน่น มองดูเกาเจี้ยนที่ล้มลงไป แล้วเดินไปยังสถานที่ซื้อขายม้าเดินโดยไม่เหลียวหลังนางไปยังสถานที่ซื้อขายม้าและซื้อม้าเร็วมาตัวหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจะขึ้นม้า เกาเจี้ยนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“ท่าน?” ซวนลู่ตกใจ “ท่านเพิ่งหมดสติไปมิใช่หรือ?”เกาเจี้ยนยิ้มเจื่อน ๆ มองดูซวนลู่เหมือนไม่เคยรู้จักนางมาก่อน“ขณะที่สาดผงยาเข้ามาข้าก็กลั้นหายใจ เจ้าเห็นสกุลเกาของเราเป็นอะไร เรื่องการป้องกันตัวแบบนี้จะไม่มีเลยหรือ”บรรพบุรุษสกุลเกาของพวกเขา เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนอกกรอบในยุทธภพเหล่านี้“อาลู่ เจ้ากลับไปกับข้า” เกาเจี้ยนกล่าวเสียงหนักแน่น“ข้าจะไม่ตามหาพยานบุคคลอะไรนั่นแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ ข้าอยากตรงกลับบ้านเลย”“ไม่ได้” เกาเจี้ยนก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้านางไว้ “อาลู่ เจ้าต้องกลับไปกับข้าแล้วคุยกันให้ชัดเจน”ที่แท้หลังจากเกาเจี้ยนรู้ความจริงจากปากซูจิ่นเอ๋อร์แล้ว ก็ออกตามหาสถานที่ที่ซวนลู่ถูกคุมขังไว้ เขามีความสามารถในการสืบสวนที่ดีเยี่ยม ค้นหาไม่นานก็พบที่อยู่ของซวนลู่จริง ๆ“อาลู่ เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่า เจ้าไม่ได้วางยาจิ่งสิง เป็นจิ่งสิงเองที่ควบคุ
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองยังมิได้ทำความรู้จักกับสตรีตรงหน้าดีๆ เลยสักครั้ง“ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้”เกาเจี้ยนได้สติขึ้นมา ตัดสินใจแล้ว“หากเจ้าไปแล้ว เรื่องก็ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก บัดนี้เจ้าจงกลับไปโขกศีรษะยอมรับผิดต่อพวกเขาพร้อมข้า เรื่องนี้ยังพอมีโอกาสย้อนคืนกลับมาได้”เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หัวใจคล้ายค่อยๆ เย็นชาลง “ส่วนเรื่องการแต่งงานของพวกเรา...”เขายิ้มขมปร่าออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกับข้า หลังจากกลับไปข้าจะบอกท่านพ่อและท่านลุงเอง พูดว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้าถอนหมั้นกับเจ้า เพื่อให้เจ้าได้ไปตามหาความสุขของตน”เขาไล่ตามซวนลู่มาเนิ่นนาน ถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยมือการรักใครสักคน ไม่จำเป็นต้องครอบครองนางเสมอไป“พี่ใหญ่เกา ท่านพูดจริงหรือ?” ซวนลู่รู้สึกทรมานภายในใจขึ้นมาในทันใด คล้ายกับว่าได้สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป“จริง” เกาเจี้ยนยิ้มขมปร่า “ขอเพียงเจ้ากลับไปยอมรับผิดกับข้าก็พอ”“ข้า...” ซวนลู่หลุบตาลง เสียงแผ่วเบาราวกับยอมรับผิดแล้ว “แต่ข้ากลัว”เกาเจี้ยนปวดแปลบภายในใจ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”“อืม พี่ใหญ่เกา ท่านดึงข้าลงจากม้า พาข้ากลับไปเถอะ”ดวงตา
นางพูดพลางเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นสวรรค์ คนผู้นี้เจอศัตรูมาแล้วกระมัง ที่อกถึงขั้นมีกริชเล่มหนึ่ง มิหนำซ้ำกริชเล่มนี้ยังแทงลึกมากเพียงพอจริงๆกระนั้นยังดี นางตรวจดูแล้วเล็กน้อย พบว่ากริชไม่ได้แทงตรงกลางหัวใจ น่าจะยังพอมีทางให้ช่วยเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่ ลั่วยางใคร่ครวญดูแล้วยังมิอาจหักใจเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยได้ จึงยกเขาขึ้นไปบนรถม้า“วันนี้ได้พบข้า ถือว่าเจ้าโชคดี”รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองอวี้ ส่วนทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ไล่ตามออกจากเมืองอย่างว่องไว“ที่นี่มีเลือด ยังมีกระเป๋าผ้าไหมปักลายอยู่หนึ่งใบ”กู้หว่านเยว่สังเกตเห็นกระเป๋าผ้าไหมปักลายที่มีเลือดเปื้อนตกอยู่ข้างทาง จึงรีบยื่นให้ซูจิ่งสิง“ของสิ่งนี้เป็นของเกาเจี้ยน ดูท่าแล้วพวกเขาเคยผ่านมาที่นี่” ซูจิ่งสิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง กังวลว่าอาลู่ได้ประโยชน์แล้วจะทำลายคนทิ้ง“เจดีย์หนิงกู่อยู่ในระหว่างการซ่อมถนน หลังจากออกจากเมืองไปแล้วต้องการจากไป มีเพียงเส้นทางเดียวที่จะสามารถออกไปได้ ให้องครักษ์จันทราไล่ตามเส้นทางนั้นไปก็พอ”กู้หว่านเยว่หยิบพลุสัญญาณออกมาอันหนึ่ง ยิ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่เฟิงพาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งกลับมามือเปล่า“นายท่าน พวกเราไม่พบเบาะแสของขุนพลเกา”ซูจิ่งสิงรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ เขาและเกาเจี้ยนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย หลังจากเกิดเรื่องในคืนนี้ แม้จะโกรธ แต่กลับกังวลความปลอดภัยของเกาเจี้ยนมากกว่า“เพิ่มกำลังคน ขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้น”หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กู้หว่านเยว่ปลอบใจด้วยเสียงนุ่มนวล “เส้นทางนี้เป็นทางหลวง แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ยังคงมีคนเดินทางผ่านไปมาเป็นไปได้มากว่าเกาเจี้ยนจะถูกคนผ่านทางช่วยไปแล้ว”“น้องหญิง เจ้าพูดถูกแล้ว”เห็นว่าค่ำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็ไม่สามารถรออยู่ที่นี่โดยเสียเปล่าได้ จึงพาซวนลู่กลับไปที่จวนไฉนเลยจะรู้ว่าจะได้พบลั่วยางที่หน้าประตูจวนกู้“พี่หญิงหว่านเยว่!”ดวงตาสองข้างของลั่วยางทอประกายระยับ วิ่งเข้าหากู้หว่านเยว่อย่างกระตือรือร้น“ลั่วยาง”ช่วงนี้กู้หว่านเยว่มักได้รับจดหมายจากลั่วยางที่ส่งมาจากซีเป่ย จดหมายพูดถึงเรื่องที่นางได้ติดต่อกับแพทย์ของร้านยาที่ซีเป่ยบางส่วน รวมกลุ่มกันตรวจรักษา เพื่อรักษาราษฎร์ที่ได้รับความลำบากและทหารเปลี่ยนไปจากคนเดิมในอดีตราวกับคนละคน
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากันแวบหนึ่ง นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีภายในใจ สืบเท้าขึ้นไปสองก้าวอย่างฉับไวและยกแขนเสื้อของซวนลู่ขึ้นแขนของซวนลู่ขาวสะอาด“แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าหายไปแล้ว!”นางมองซวนลู่อย่างตกตะลึง “ใครรังแกเจ้า?”แม้ว่าหลายวันมานี้ซวนลู่มักขัดแย้งกับนาง แต่นางมองออก อีกฝ่ายไม่ใช่สตรีที่หลงระเริงไปกับความปรารถนา สูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนการแต่งงาน ไม่ใช่สิ่งที่ซวนลู่จะทำออกมาได้“ปล่อยข้า อย่าถามเลย!”ซวนลู่รีบดึงแขนกลับ มือสองข้างปิดหน้า ไม่กล้ามองซูจิ่งสิง “จิ่งสิง ข้าขอร้องท่านอย่ามองข้าเลย อย่ามองข้า”นางยอมให้ซูจิ่งสิงคิดว่านางเป็นคนชั่วร้าย แต่ไม่ยอมให้เขาจะคิดว่านางสกปรกตกลงนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าแปลกใจ ซวนลู่สติแตกไปแล้ว ทั้งสองบังคับถามเล็กน้อย ในที่สุดก็ทนไม่ไหวและสารภาพความจริงออกมาที่แท้หลังสองตระกูลตกลงหมั้นหมายกัน ซวนลู่ไม่อยากแต่งงานกับเกาเจี้ยน เอือมระอาไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพผู้เฒ่าซวนได้ ภายใต้ความโมโห นางจึงหนีออกจากบ้าน ตัดสินใจมุ่งหน้ามาที่เจดีย์หนิงกู่เพื่อไล่ตามคนรักแต่เดินทางมาได้ครึ่งทาง กลับได้พบกับเหยลวี่เจ
ปัญหานี้รบกวนนางมานานมากแล้วนางรู้สึกมาตลอดว่าตอนนั้นเลือกผิดไป หากนางกล้าหาญกว่านี้ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจจะแตกต่างออกไป ซูจิ่งสิงหันไป มองด้วยสายตาเย็นชา “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยชอบเจ้า”เขาจับมือกู้หว่านเยว่แน่น นิ้วทั้งสิบสอดประสานกัน“ไม่มีอะไรให้สมมุติ คนที่ยืนเคียงข้างข้า จะต้องเป็นกู้หว่านเยว่เท่านั้น”“ฮึๆ ข้าเข้าใจแล้ว”ใบหน้าซวนลู่เผือดซีดลงอย่างรวดเร็ว ล้มลงบนพื้น ความหวังสุดท้ายของนางก็หายไปราวกับหมอกผ่านตาแท้จริงแล้วนางรู้ดีอยู่ภายในใจ แต่ยังไม่ยอมตัดใจ จะต้องถามให้ได้บัดนี้ นางเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นนางคิดไปเพียงฝ่ายเดียว“น้องหญิง ระวังขั้นบันไดด้วย”สุ้มเสียงที่เอ่ยเตือนอย่างนุ่มนวลของซูจิ่งสิงดังขึ้น ทั้งสองคนออกจากคุก“ขังซวนลู่ไว้ก่อน ส่วนทูเจวี๋ยคนนั้น ฆ่าทิ้งเสีย”ซูจิ่งสิงสั่งองครักษ์จันทรา กู้หว่านเยว่ถามขึ้น “ท่านจะปล่อยซวนลู่ไปหรือ?”“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะส่งนางให้กับแม่ทัพผู้เฒ่าซวน ให้เขาจัดการด้วยตนเอง แม่ทัพผู้เฒ่าซวนโกรธแค้นพวกทูเจวี๋ยมาทั้งชีวิต จะต้องสั่งสอนนางดีๆ แน่”ซวนลู่ถูกเหยลวี่เจิงรังแก ทั้งสองรู้สึกว่านางน่าสงสารม
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก