“ข้า!”สีหน้าขอ’ซวนลู่ซีดเผือดลง ซูจิ่นเอ๋อร์อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “พี่หญิงซวนลู่ ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้? จากที่ท่านกล่าวมา คือสตรีไม่ควรออกนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ออกศึกลงสนามรบ อีกทั้งบัดนี้ข้าเองก็เปิดอาหาร พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสสตรีในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงต้องตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ด้วย?”“ซวนลู่....”ซูจื่อชิงอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกเมี่ยชิงหว่านดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสายตาตักเตือนไปทางเขาซวนลู่เองก็คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ช่วยนาง ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพหญิง ยังต้องรักษาหน้า จึงกัดฟันแล้ววิ่งหนีไป“ไปได้เสียที”กู้หว่านเยว่ยืดมือขจัดความเกียจคร้าน นางมิใช่พระแม่มารี ที่เจอคนไม่ชอบหน้าทำตัวน่ารำคาญอยู่ตรงหน้า ก็ยังต้องรักษาหน้าไว้พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์แลบลิ้นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าพี่หญิงซวนลู่จะกล่าวเช่นนี้ออกมา หากรู้ละก็ ข้าไม่มีทางพานางมาที่นี่อย่างแน่นอน”อีกอย่างนางเองก็ดูออกว่าซวนลู่นั้นพยายามหาเรื่องทะเลาะมาตลอดทาง ใจแคบกับพี่สะใภ้ใหญ่“เจ้านะเจ้า ถูกผู้อื่นหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”กู้หว่านเยว่ไ
“วางใจเถอะ อยู่ในสำนักศึกษาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ เจ้าได้ดูแลเด็กเหล่านั้นให้ดีเถอะ”กู้หว่านเยว่ผลักซูจิ่งสิงออก แล้วคว้ามือซ่งเสวี่ยเดินไปด้านหลัง“เรากำลังจะไปไหน?”“ไปห้องด้านหลัง เมื่อครู่เฉินจื่อหวังบอกไม่ใช่หรือว่าโจวเซิงได้รับบาดเจ็บ เราไปดูเขาสักหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ นางจึงเห็นว่านัยน์ตาของซ่งเสวี่ยวูบไหว แสดงท่าทีกังวลใจ“เราไปเช่นนี้ ไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”“คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรต้องเสียหรือไม่เสียมารยาทกันเล่า อีกอย่างสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้ก็เป็นของข้า ต่อไปโจวเซิงก็ต้องมาเรียนตำราที่นี่ ถือว่าเป็นคนภายใต้การปกครองของข้า ข้าไปปลอบขวัญเขาก็สมควรแล้วนี่”เหตุผลของกู้หว่านเยว่นั้นไร้ข้อกังขา ประกอบกับที่ซ่งเสวี่ยนั้นมีความเป็นกังวล จึงพยักหน้าเห็นด้วยทั้งสองคนเดินมาถึงบริเวณด้านนอกของหอพักในสำนักศึกษา ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงอ่านตำราระลอกหนึ่งดังมาจากด้านในครั้นได้ยินว่าเป็นเสียงของโจวเซิง ซ่งเสวี่ยก็ยิ่งหักนิ้วเสียงดังเป๊าะอย่างเป็นกังวลกู้หว่านเยว่ยิ้มพลางมองนาง ก่อนหน้านั้นตอนที่พี่หญิงซ่งเสวี่ยและโจวเซ่ออยู่ด้วยกันก็ไม่เคย
“คุณชายโจวอย่าเข้าใจผิด ข้าเป็นแม่คนแล้ว ปากอาจจะไวไปเสียหน่อย ยิ่งเห็นจมูกเจ้าบาดเจ็บ ก็มักจะนึกถึงเด็ก ๆ ในบ้านที่ชอบชนโน้นชนนี้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงอดกล่าวบ้างไม่ได้”ไหนเลยโจวเซิงจะเข้าใจผิด เขาดีใจแทบไม่ทันต่างหาก ซ่งเสวี่ยเป็นห่วงเขาเช่นนี้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองไปทางซ่งเสวี่ยอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณฮูหยินน้อยที่เป็นห่วง เพียงแต่ในห้องของข้าไม่มียา แต่ข้าจำมันได้ขึ้นใจ ข้าจึงให้ผู้ติดตามออกไปซื้อให้แล้ว ประเดี๋ยวก็ค่อย ๆ ทำแผลที่จมูกไป”ครั้นซ่งเสวี่ยเห็นเขากล่าวกับตนจริงจังเช่นนี้ จึงคลี่ยิ้มพริ้มตั้งแต่สูญเสียสามีไป น้อยนักที่นางจะยิ้มต่อหน้าผู้อื่น อย่างมากก็แค่ยิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อตอนอยู่พูดคุยกับกู้หว่านเยว่เท่านั้น ส่วนใหญ่จะทำสีหน้าเย็นชา สีหน้าวิตกกังวลตลอดเวลายิ้มครั้งนี้คล้ายกับน้ำแข็งที่ละลายในสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ โจวเซิงนิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปเลยทีเดียวเขาจ้องเขม็งไปทางซ่งเสวี่ยครู่หนึ่ง ด้วยสติที่เหม่อลอยซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้ม กระทั่งพบถึงความผิดปกติโจวเซิงยังคงจ้องมองนางตลอดใบหน้าของนางร้อนผ่าวคล้ายไฟที่ลุกโชน จา
ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยใบบัวสีเขียวจำนวนมากลอยอยู่บนผิวน้ำ มีปลาคาร์พสีแดงสดใสแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ทันทีที่กู้หว่านเยว่ขึ้นเรือมา ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างนางยังคิดอยู่เลยว่าเป็นเพราะตนคิดมากเกินไป ครั้นเห็นซ่งเสวี่ยยกยิ้มบาง ๆ ก็เลยเดินไปนั่งกับนาง“บนเรือมีอาหารปลาด้วยนะ พวกท่านให้อาหารปลาได้”โจวเซิงกล่าวอย่างใส่ใจ แล้วคลี่ยิ้มพลางพายเรือซ่งเสวี่ยหยิบอาหารปลาแล้วโปรยลงในน้ำ พริบตาเดียวก็ดึงดูดฝูงปลาคาร์พสีแดงเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก“ฤดูกาลนี้ หากมีดอกบัวก็คงจะดี” สายตาของซ่งเสวี่ยทอดมองไปด้านหน้า โจวเซิงจึงกล่าวต่อ “ดอกบัวในแม่น้ำจินงดงามที่สุด เป็นดอกบัวสิบลี้”“เจ้าเคยไปหรือ?” นัยน์ตาซ่งเสวี่ยเปล่งประกายเล็กน้อย ทั้งสองคนราวกับเจอคู่ขา“ใบบัวสีเขียวมรกตทอดยาวถึงปลายขอบฟ้า นี่คือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในโลกหล้า”ทั้งสองคนรู้สึกว่าพวกเขาเจอกันช้าไป ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ บรรยากาศค่อย ๆ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรักที่หอมหวาน กู้หว่านเยว่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายฉับพลัน ไม่นานก็เกิดเสียง ‘แกรก ๆ’ ดังขยายออกมาจากใต้เท้าของโจวเซิง เรือลำนี้กำลังรั่ว“ช่วยด้วย!”
จากสำนักศึกษาถงซันมาถึงบ้านสกุลโจวยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งชั่วยาม หากปล่อยไว้เช่นนี้ มีหวังเจ้าตัวคงได้ป่วยระหว่างแน่นอนหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ ให้สักชุด เปลี่ยนให้นางก่อนแล้วค่อยว่ากัน“มี ๆ”เฉินจื่อหวังรีบกล่าว “อวิ๋นจิ่นอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปขอเสื้อผ้าจากนาง”กู้หว่านเยว่เคยเตือนก่อนหน้านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น เวลานี้เจียงอวิ๋นจิ่นพยายามจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเจียงอวิ๋นจิ่นเองก็เชื่อฟังมาก ย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา แทบจะไม่เคยปรากฏตัวเลยคนเหล่านั้นพากันไปหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจียงอวิ๋นจิ่นเห็นกู้หว่านเยว่พาคนเดินเข้ามา ก็รีบให้สาวใช้ไปชงชาให้พวกเขาทันทีเฉินจื่อหวังชี้ไปทางซ่งเสวี่ยและอธิบาย “อวิ๋นจิ่น สตรีผู้นี้คือฮูหยินน้อยโจว นางจมน้ำ เจ้ามีเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”“มี ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เจียงอวิ๋นจิ่นรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าหนึ่งชุดออกมา “รูปร่างของข้าไม่ได้สูงเท่าฮูหยินน้อยโจว เกรงว่าเสื้อผ้าของข้าอาจจะเล็กไปเล็กน้อย”“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ข้าใส่ได้” ซ่งเสวี่ยรับเสื้อผ้าไป จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องกับแม่นมฉ
เจียงอวิ๋นจิ่นอยากไป แต่นางกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องผิดหวัง“ได้สิ เจ้าคิดดีแล้วก็ค่อยมาหาข้าที่จวนกู้”กู้หว่านเยว่ช่างพูดช่างจายิ่งนัก เจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มอย่างเขินอายไม่ได้ นางชอบกู้หว่านเยว่มาก การได้ทำงานภายใต้การปกครองของกู้หว่านเยว่ นางดีใจมากในตอนนี้เอง ซ่งเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”โจวเซิงรุดหน้าเข้าไปด้วยความเป็นห่วงที่ไม่อาจปิดบังได้ซ่งเสวี่ยส่ายหน้า สีหน้ายังดูอ่อนแออยู่เล็กน้อย “ไม่เป็นไร ดื่มน้ำขิงสักชามก็ดีขึ้นแล้ว”“ขอโทษนะ....”“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ คุณชายโจวก็จมน้ำเหมือนกับข้ามิใช่หรือ?”ซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้มพริ้ม ไม่ได้จะโทษเขาเลยสักนิด“คุณชายโจว ท่านรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”ซ่งเสวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงยืนรออยู่ในลานกว้างตลอด เพื่อดูว่านางปลอดภัยดีหรือไม่คนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก“ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” โจวเซิงเห็นว่านางไม่เป็นไร จึงกล้าจากไปอย่างวางใจหวังจื่อหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อครู่ข้าให้คนไปตรวจสอบเรือลำนั้นแล้ว เรือไม่มีปัญหา ไม่รู้ว่าทำไ
“ข้าออกไปข้างนอกแล้วพลาดล้มขาแพลง บังเอิญเจอพี่หญิงซวนลู่ของเจ้า นางเป็นคนแบกข้ากลับมา ซวนลู่ ลำบากเจ้าแล้ว”ทุกคนต่างดูออกว่านางหยางโปรดปรานซวนลู่มาก ซวนลู่ได้แต่คลี่ยิ้ม “ป้าหยางท่านก็เกรงใจเกินไป ข้าและจิ่งสิงเป็นพี่น้องเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในสนามรบ ท่านเป็นมารดาของจิ่งสิง ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้าเช่นกัน ข้าแบกท่าน ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”ช่างพูดช่างจานะ “ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้า”ซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อร์มองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยความรู้สึกบีบรัดในหัวใจ นางหยางไม่ได้สังเกตเห็น นางกำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ “เจ้า ตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราที่เจดีย์หนิงกู่ครั้งนี้ เราซาบซึ้งมาก”ซูจิ้งกล่าวถาม “ท่านพ่อสบายดีใช่หรือไม่?”“ท่านพ่อสบายดีเจ้าค่ะ หากเขารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน พวกเราสองตระกูลไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ท่านพ่อมักกล่าวเสมอว่าคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งก่อน”ซวนลู่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแทรกอย่างไร“อื้อ ข้าเองก็คิดถึงวันเวลาที่ได้ดื่มฉลองกับพ่อของเจ้าเช่นกัน ไว้วันไหนว่าง ๆ ข้าจะไปเยี่ยมพ่อของเจ้าที่ชายแด
กู้หว่านเยว่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำต่อกับซวนลู่ จึงปฏิเสธโดยตรง “จวนของเราไม่มีห้องว่างแล้วจริง ๆ หากท่านแม่ทัพซวนไม่มีที่พัก ข้าจัดให้เจ้าพักที่สถานีพักม้าได้นะ”“ในจวนไม่ได้มีห้องมากขนาดนั้นหรือ....”ซูจิ้งอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกนางหยางเหยียบเท้า จนเขาต้องรีบหุบปากครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ต่อให้ซวนลู่ไร้ยางอายแค่ไหน ก็คงหาข้ออ้างไม่ได้อีกแล้ว“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอเพียงนั้น หาโรงเตี๊ยมพักอ้างแรมเองได้”สีหน้าของนางดูแย่ลง ทำให้ซูจิ้งปวดใจยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรของสหายเก่า“จริงสิ พรุ่งนี้ข้าต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ พวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ”ซวนลู่เชิญชวน ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับซูจิ่งสิงหลุดลอยไปแต่อย่างใด “น้องหญิง เจ้าอยากไปหรือไม่?” ซูจิ่งสิงมองไปกู้หว่านเยว่ หากภรรยาไป เขาก็ไป ภรรยาไม่ไป เขาก็ขี้เกียจไป“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าหุบเขาราชาโอสถอยู่ในภูเขาฉางไป๋ นางนัดกับปรมาจารย์แพทย์ไปหายาที่หุบเขาราชาโอสถพอดี จะไปดูว่ามีสมุนไพรเก็บได้บ้าง“พระชายา อย่าไปเลยเจ้าค่ะ”ซวนลู่ไม่ได้จะชวนนาง จึงแสร้งทำเป็นหวังดี“ล่าสัตว์ต้องขี่ม้า ร่างกายของพระช
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก