ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยใบบัวสีเขียวจำนวนมากลอยอยู่บนผิวน้ำ มีปลาคาร์พสีแดงสดใสแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ทันทีที่กู้หว่านเยว่ขึ้นเรือมา ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างนางยังคิดอยู่เลยว่าเป็นเพราะตนคิดมากเกินไป ครั้นเห็นซ่งเสวี่ยยกยิ้มบาง ๆ ก็เลยเดินไปนั่งกับนาง“บนเรือมีอาหารปลาด้วยนะ พวกท่านให้อาหารปลาได้”โจวเซิงกล่าวอย่างใส่ใจ แล้วคลี่ยิ้มพลางพายเรือซ่งเสวี่ยหยิบอาหารปลาแล้วโปรยลงในน้ำ พริบตาเดียวก็ดึงดูดฝูงปลาคาร์พสีแดงเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก“ฤดูกาลนี้ หากมีดอกบัวก็คงจะดี” สายตาของซ่งเสวี่ยทอดมองไปด้านหน้า โจวเซิงจึงกล่าวต่อ “ดอกบัวในแม่น้ำจินงดงามที่สุด เป็นดอกบัวสิบลี้”“เจ้าเคยไปหรือ?” นัยน์ตาซ่งเสวี่ยเปล่งประกายเล็กน้อย ทั้งสองคนราวกับเจอคู่ขา“ใบบัวสีเขียวมรกตทอดยาวถึงปลายขอบฟ้า นี่คือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในโลกหล้า”ทั้งสองคนรู้สึกว่าพวกเขาเจอกันช้าไป ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ บรรยากาศค่อย ๆ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรักที่หอมหวาน กู้หว่านเยว่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายฉับพลัน ไม่นานก็เกิดเสียง ‘แกรก ๆ’ ดังขยายออกมาจากใต้เท้าของโจวเซิง เรือลำนี้กำลังรั่ว“ช่วยด้วย!”
จากสำนักศึกษาถงซันมาถึงบ้านสกุลโจวยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งชั่วยาม หากปล่อยไว้เช่นนี้ มีหวังเจ้าตัวคงได้ป่วยระหว่างแน่นอนหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ ให้สักชุด เปลี่ยนให้นางก่อนแล้วค่อยว่ากัน“มี ๆ”เฉินจื่อหวังรีบกล่าว “อวิ๋นจิ่นอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปขอเสื้อผ้าจากนาง”กู้หว่านเยว่เคยเตือนก่อนหน้านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น เวลานี้เจียงอวิ๋นจิ่นพยายามจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเจียงอวิ๋นจิ่นเองก็เชื่อฟังมาก ย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา แทบจะไม่เคยปรากฏตัวเลยคนเหล่านั้นพากันไปหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจียงอวิ๋นจิ่นเห็นกู้หว่านเยว่พาคนเดินเข้ามา ก็รีบให้สาวใช้ไปชงชาให้พวกเขาทันทีเฉินจื่อหวังชี้ไปทางซ่งเสวี่ยและอธิบาย “อวิ๋นจิ่น สตรีผู้นี้คือฮูหยินน้อยโจว นางจมน้ำ เจ้ามีเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”“มี ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เจียงอวิ๋นจิ่นรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าหนึ่งชุดออกมา “รูปร่างของข้าไม่ได้สูงเท่าฮูหยินน้อยโจว เกรงว่าเสื้อผ้าของข้าอาจจะเล็กไปเล็กน้อย”“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ข้าใส่ได้” ซ่งเสวี่ยรับเสื้อผ้าไป จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องกับแม่นมฉ
เจียงอวิ๋นจิ่นอยากไป แต่นางกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องผิดหวัง“ได้สิ เจ้าคิดดีแล้วก็ค่อยมาหาข้าที่จวนกู้”กู้หว่านเยว่ช่างพูดช่างจายิ่งนัก เจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มอย่างเขินอายไม่ได้ นางชอบกู้หว่านเยว่มาก การได้ทำงานภายใต้การปกครองของกู้หว่านเยว่ นางดีใจมากในตอนนี้เอง ซ่งเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”โจวเซิงรุดหน้าเข้าไปด้วยความเป็นห่วงที่ไม่อาจปิดบังได้ซ่งเสวี่ยส่ายหน้า สีหน้ายังดูอ่อนแออยู่เล็กน้อย “ไม่เป็นไร ดื่มน้ำขิงสักชามก็ดีขึ้นแล้ว”“ขอโทษนะ....”“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ คุณชายโจวก็จมน้ำเหมือนกับข้ามิใช่หรือ?”ซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้มพริ้ม ไม่ได้จะโทษเขาเลยสักนิด“คุณชายโจว ท่านรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”ซ่งเสวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงยืนรออยู่ในลานกว้างตลอด เพื่อดูว่านางปลอดภัยดีหรือไม่คนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก“ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” โจวเซิงเห็นว่านางไม่เป็นไร จึงกล้าจากไปอย่างวางใจหวังจื่อหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อครู่ข้าให้คนไปตรวจสอบเรือลำนั้นแล้ว เรือไม่มีปัญหา ไม่รู้ว่าทำไ
“ข้าออกไปข้างนอกแล้วพลาดล้มขาแพลง บังเอิญเจอพี่หญิงซวนลู่ของเจ้า นางเป็นคนแบกข้ากลับมา ซวนลู่ ลำบากเจ้าแล้ว”ทุกคนต่างดูออกว่านางหยางโปรดปรานซวนลู่มาก ซวนลู่ได้แต่คลี่ยิ้ม “ป้าหยางท่านก็เกรงใจเกินไป ข้าและจิ่งสิงเป็นพี่น้องเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในสนามรบ ท่านเป็นมารดาของจิ่งสิง ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้าเช่นกัน ข้าแบกท่าน ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”ช่างพูดช่างจานะ “ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้า”ซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อร์มองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยความรู้สึกบีบรัดในหัวใจ นางหยางไม่ได้สังเกตเห็น นางกำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ “เจ้า ตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราที่เจดีย์หนิงกู่ครั้งนี้ เราซาบซึ้งมาก”ซูจิ้งกล่าวถาม “ท่านพ่อสบายดีใช่หรือไม่?”“ท่านพ่อสบายดีเจ้าค่ะ หากเขารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน พวกเราสองตระกูลไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ท่านพ่อมักกล่าวเสมอว่าคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งก่อน”ซวนลู่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแทรกอย่างไร“อื้อ ข้าเองก็คิดถึงวันเวลาที่ได้ดื่มฉลองกับพ่อของเจ้าเช่นกัน ไว้วันไหนว่าง ๆ ข้าจะไปเยี่ยมพ่อของเจ้าที่ชายแด
กู้หว่านเยว่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำต่อกับซวนลู่ จึงปฏิเสธโดยตรง “จวนของเราไม่มีห้องว่างแล้วจริง ๆ หากท่านแม่ทัพซวนไม่มีที่พัก ข้าจัดให้เจ้าพักที่สถานีพักม้าได้นะ”“ในจวนไม่ได้มีห้องมากขนาดนั้นหรือ....”ซูจิ้งอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกนางหยางเหยียบเท้า จนเขาต้องรีบหุบปากครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ต่อให้ซวนลู่ไร้ยางอายแค่ไหน ก็คงหาข้ออ้างไม่ได้อีกแล้ว“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอเพียงนั้น หาโรงเตี๊ยมพักอ้างแรมเองได้”สีหน้าของนางดูแย่ลง ทำให้ซูจิ้งปวดใจยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรของสหายเก่า“จริงสิ พรุ่งนี้ข้าต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ พวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ”ซวนลู่เชิญชวน ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับซูจิ่งสิงหลุดลอยไปแต่อย่างใด “น้องหญิง เจ้าอยากไปหรือไม่?” ซูจิ่งสิงมองไปกู้หว่านเยว่ หากภรรยาไป เขาก็ไป ภรรยาไม่ไป เขาก็ขี้เกียจไป“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าหุบเขาราชาโอสถอยู่ในภูเขาฉางไป๋ นางนัดกับปรมาจารย์แพทย์ไปหายาที่หุบเขาราชาโอสถพอดี จะไปดูว่ามีสมุนไพรเก็บได้บ้าง“พระชายา อย่าไปเลยเจ้าค่ะ”ซวนลู่ไม่ได้จะชวนนาง จึงแสร้งทำเป็นหวังดี“ล่าสัตว์ต้องขี่ม้า ร่างกายของพระช
“ฮูหยิน ข้าเชื่อฟังท่าน”ซูจิ้งกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย นางหยางพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จ ก็ลงมือทำของว่างไปส่งให้ที่ห้องของกู้หว่านเยว่ ทำให้นางตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านเข้าครัวดึกเพียงนี้เลยหรือ?”“หว่านเยว่” นางหยางคว้ามือของกู้หว่านเยว่ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “แม่อยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความหมายของนางทันที จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”“ขอบคุณอะไร เจ้าเป็นบุตรที่ดีของแม่ เป็นเสมือนบุตรสาวของแม่ แม่ไม่มีทางให้คนอื่นมารังแกเจ้าได้”นางหยางวางของกินเล่นลง จากนั้นก็กำชับให้นางรีบพักผ่อน ก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไปหลังจากที่นางหยางไปแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ จึงเข้าไปเลือกธนูที่จับถนัดมือในห้วงมิติ ทั้งยังเลือกแส้หนังเล็กอีกหนึ่งเส้นด้วยเช้าวันรุ่งขึ้น นางเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาว แต่งกายด้วยชุดจิ้นจวงที่ดูทะมัดทะแมงโดยมีแส้หนังพันอยู่รอบเอว ส่วนธนูปล่อยให้ชิงเหลียนถือซูจิ่งสิงเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน เป็นสีเดียวกับนางพอดี เพียงแวบเดียวคนนอกก็ดู
“หากจะตกจากหลังม้า อาจจะบาดเจ็บถึงขั้นพิการได้เลยนะเจ้าคะ”สตรีผู้นี้ตั้งใจจะขู่นาง กู้หว่านเยว่ไม่มีทางตกใจกลัวแน่นอน ซูจิ่นเอ๋อร์จึงอดกล่าวไม่ได้“พี่หญิงซวนลู่ พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าไม่เพียงแต่ขี่ม้าเป็น ยังขี่ม้าได้ดีด้วยเจ้าค่ะ”“ใช่ ทักษะการขี่ม้าของพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเลย”ซูจื่อชิงเองก็ชมอีกหนึ่งเสียง ทำให้สีหน้าของซวนลู่เริ่มบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ“อย่างนั้นหรือ? ข้าไม่รู้มาก่อนว่าทักษะการขี่ม้าของพระชายาจะดีเพียงนี้ ลองทดสอบกันหน่อยหรือไหม?”ครั้งนี้ทุกคนมองนางราวกับมองคนโง่เขลาอย่างไรอย่างนั้น“พี่หญิงซวนลู่ ท่านแน่ใจใช่หรือไม่?” ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวเตือนด้วยความหวังดีหรือว่านางดูไม่ออก ว่าม้าที่พี่สะใภ้ใหญ่ขี่อยู่นั้นเป็นม้ากระต่ายแดง?คิดจะแข่งกับม้ากระต่ายแดง ประเมินตนเองสูงเกินไปแล้ว“วางใจเถอะ ข้าจะยั้งมือ”ซวนลู่คุยโวโอ้อวดอย่างไม่เกรงใจ แทนที่จะทะนงตน ไม่สู้บอกว่านางไม่เคยเห็นกู้หว่านเยว่ในสายตาเลยดีกว่านางไม่เชื่อว่าสตรีผู้อ่อนแอคนหนึ่งจะขี่ม้าได้ ทักษะม้าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว?สำหรับม้ากระต่ายแดง ม้าพันธุ์นี้มีราคามาก ซวนลู่เคยได้ยินผู้อื่นพูดก
ซูจิ่นเอ๋อร์ถอนหายใจแรง และกล่าวอย่างจนปัญญา“ว่าอย่างไรนะ กระต่ายแดง?!”นัยน์ตาของซวนลู่ฉายแววโกรธเคืองละคนอิจฉาอยู่ไม่น้อย“จิ่งสิง ท่านนำม้าที่ดีเพียงนี้ให้นางเชียวหรือ”นางเป็นเพียงหญิงแม่บ้านคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องออกศึกสงคราม ต้องใช้ม้าที่ดีขนาดนี้ไปทำไม เช่นนี้ก็เสียของดีแย่นะสินางยิ่งมั่นใจว่าซูจิ่งสิงช่วยนาง ซวนลู่ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวว่า“แม้ว่าข้าจะแพ้แล้ว แต่ท่านก็อย่าลำพองใจไป หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องยกม้าพันธุ์นี้ให้ท่าน ท่านไม่มีทางชนะข้าได้”กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะ ซูจิ่งสิงซ้ำเติมอย่างเงียบ ๆ “ม้าตัวนี้เป็นของหว่านเยว่”“เป็นไปไม่ได้!”ซวนลู่ไม่อยากเชื่อ“ม้าตัวนี้เป็นม้าที่หายากและมีราคาที่สุดในใต้หล้า เหตุใดถึงตกมาอยู่ในมือของนาง ท่านอ๋อง ท่านทำเพื่อนาง ไม่ต้องโป้ปดข้าหรอก”ซวนลู่ปวดใจมาก มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาโหดเหี้ยมแวบหนึ่งสตรีผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ก่อนหน้านั้นท่านอ๋องไม่เคยโป้ปดเลยสักครั้ง บัดนี้เพื่อปกป้องนาง เขายอมโป้ปดเช่นนี้“ข้าไม่ได้โป้ปด ม้าตัวนี้เป็นของนาง”สีหน้าของซูจิ่งสิงเคร่งขรึมลง สตรีผู้นี้ฟังไม่รู้ความนักใช่หรือไม่?ความหมดความอ
อีกอย่างพวกเขาหนีออกมาโดยไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยสักแดงเดียวในขณะที่ทั้งสามคนกำลังโต้แย้งกันอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเงาดำสองร่างกระโดดลงมาจากหลังคาเจี่ยฮูหยินและเจี่ยอวิ๋นเคยเจอกับโจรในเมืองเหยามาแล้ว จึงยังคงหวาดกลัว คิดว่าเป็นโจรกลุ่มนั้น จึงพากันตื่นตกใจในขณะที่กำลังจะตะโกนเสียงดังนั้น หลิ่วเพียวเพียวที่อยู่ถัดไปก็เห็นโฉมหน้าของกู้หว่านเยว่เสียงก่อน“ช้าก่อน อย่าเพิ่งส่งเสียงดัง นั้นคือลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง!”นางรีบขวางสองคนนั้นไว้ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่? ไม่เจอกันนานเลย”กู้หว่านเยว่คว้ามือของหลิ่วเพียวเพียวมาจับชีพจรให้นาง อื้อ ดีขึ้นมากแล้ว จังหวะการเต้นของชีพจรคงที่ ดูท่าทางเจี่ยอวิ๋นจะดูแลพี่หญิงคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้ายังคิดว่าข้าตาฝาดอยู่เลย”ครั้นได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ หลิ่วเพียวเพียวก็เชื่อสนิทใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือน้องหญิงของนาง!ครั้นนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่บนเตียงในช่วงแรก หลิ่วเพียวเพียวและคนในตระกูลหลิ่วต่เคยให้สิ่งของกับกู้หว่านเยว่แต่นางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?อีกทั้งยังกระโดดลงมาจากหลังคาด
“อวิ๋นเอ๋อร์”เจี่ยฮูหยินเป็นคนขี้ขลาด ยามอยู่ต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีอำนาจกลับพูดไม่ออกครั้นเห็นบุตรชายและลูกสะใภ้ ก็ราวกับเห็นเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย“พวกท่านสองคนทำอะไรกันขอรับ?”เจี่ยอวิ๋นเดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็ลากคนรับใช้ของเจี่ยฮูหยินออกไป ก่อนจะจ้องมองคนตระกูลหลี่ด้วยสายตาโกรธเคือง “อวิ๋นเอ๋อร์ รังนกชิ้นนี้เป็นรังนกที่พี่หญิงของเจ้าให้ข้า ข้าเห็นว่าสุขภาพร่างกายของท่านพ่อในช่วงสองสามวันนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงนำรังนกไปให้ในครัวตุ๋ยยาให้เขาดื่ม ปรากฏว่าท่านแม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าขโมยรังนกชิ้นนี้มาจากนาง”เจี่ยฮูหยินพยายามรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองทันทีที่เจี่ยอวิ๋นและหลิ่วเพียวเพียวได้ยินเช่นนี้ ก็นึกสงสัยว่ายังมีสิ่งใดที่พวกเขายังไม่รู้อีกหรือ?คนในตระกูลหลี่มองพวกเขาราวกับญาติยาจกที่มาพึ่งพาพวกเขา จึงมักจะพูดจาถากถางให้พวกเขาได้ยินอยู่บ่อย ๆ บัดนี้พวกเขาชักจะเหิมเกินเกินไป กล่าวหาว่าท่านแม่ของเขาเป็นหัวขโมย!เจี่ยฮูหยินรักหลิ่วเพียวเพียวมาก ออกโรงช่วยพูดแทนแม่สามีทันที“ป้าหลี่ รังนกของท่านหายไปใช่หรือไม่?”ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ชำเลืองมองหลิ่วเพียวเพียวแวบหนึ่ง ก่อนจ
กู้หว่านเยว่หยิบเศษตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อและวางลงบนมือของเสี่ยวเอ้อร์“เก็บไว้กินเหล้านะ ลำบากเจ้าแล้วล่ะ กลับไปก่อนเถอะ ต่อไปข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าแล้ว”“ขอบคุณฮูหยินขอรับ”เสี่ยวเอ้อร์เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เขารับตำลึงเงินและรีบจากไปทันทีจนกระทั่งแผ่นหลังของเสี่ยวเอ้อร์หายลับไปจากถนน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ลอยตัวเข้าไปในจวนหลี่“ระบบ ช่วยข้าล็อกตำแหน่งที่อยู่ของพี่หญิงหน่อยสิ”กู้หว่านเยว่เคยเจอกับหลิ่วเพียวเพียวแล้ว ดังนั้นระบบจึงสามารถหาตำแหน่งของนางภายในขอบเขตขนาดเล็กได้“นายหญิง คุณหนูหลิ่วอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้”ภายในจวนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวนหลี่ในเวลานี้ เจียอวิ๋นกำลังประคองหลิ่วเพียวเพียวนั่งลง“ไม่รู้ว่าท่านตา ท่านยาย ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องชายของข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง จากข่าวของเมืองฉูโจว ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมทั้งหมดของตระกูลพวกเขาล้มละลาย ตระกูลหลิ่วเองก็หายตัวไปอย่างไร้วี่แวว”หลิ่วเพียวเพียวเช็ดน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเจี่ยอวิ๋นเห็นภรรยาเป็นกังวลเช่นนี้ ก็ทอดถอนใจเขาไร้อำนาจ ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเกินไป วางใจเถอะ
ทิวทัศน์จากกำแพงเมืองช่างงดงามยิ่งนัก หากศัตรูคิดจะลอบโจมตี ทหารที่เฝ้าประจำการอยู่บนกำแพงจะเห็นเป็นคนแรกกองทัพที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของทหารเหล่านี้ไปได้“มิน่าล่ะหนานหยางอ๋องถึงได้เป็นกังวลยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่หันไปมองซูจิ่งสิง “เราไปตามหาพี่หญิงของข้าก่อนหรือจะไปตามหาหลิวชวี่ก่อนดีเจ้าคะ?”นางรู้ว่าเหตุผลหลักที่ซูจิ่งสิงมายังเมืองจางโจวก็เพื่อตามหาสหายเก่า คาดว่าคงอยากเจอกับอีกฝ่ายสักครั้ง แล้วดูว่าแม่ทัพหลิวผู้นี้จะมีท่าทีอย่างไรหากสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามได้ ก็คงจะดียิ่งนักสามารถแก้ไขปัญหาโดยปราศจากการนองเลือดได้ ราษฎรในเมืองจางโจก็จะได้รับความลำบากจากสงครามน้อยลง“ไปตามหาพี่หญิงของเจ้าก่อนเถิด”ซูจิ่งสิงกล่าวเพียงประโยคเดียวเขาไม่ได้รีบออกตามหาหลิวชวี่ขนาดนั้น ไปตามหาหลิ่วเพียวเพียวก่อน กู้หว่านเยว่จะได้วางใจ“ก็ดี เช่นนั้นก็ออกตามหาพี่หญิงของข้าก่อน”“ไปกันเถอะ เราเข้าเมืองก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของกู้หว่านเยว่เบา ๆ เพียงพริบตาเดียวก็พบว่าทั้งสองคนได้เข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนมีจำนวนน้
กู้หวย่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วเพียวเพียวกำลังตั้งครรภ์ คนในตระกูลเจี่ยจะต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ จะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอนอีกอย่างในตอนที่นางสอบถามพวกโจร นางไม่เคยได้ยินเรื่องที่หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ในจวนเจี่ยจากปากของพวกเขาเลย“ท่านพี่ ข้าอยากสำรวจเมืองจางโจวในเวลากลางคืน”หลังจากที่ลงหลักปักฐานแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปปรึกษากับซูจิ่งสิงในเมื่อมีเบาะแสของหลิ่วเพียวเพียวแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยของตัวเอง ถึงอย่างไรพี่หญิงก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายมากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องตลก นางจะต้องมั่นใจที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงจะกล้าวางใจหากได้กลับไป ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้าท่านลุงและท่านป้า“ข้าจะไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่วางใจให้กู้หว่านเยว่ไปเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามนางไปด้วย“เจ้ายังต้องอยู่ในค่าย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้รับมือได้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางกลัวว่าท่านแม่ทัพจางโจวจะจู่โจมในเวลากลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หากซูจิ่งสิงไม่อยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก
“ไม่ได้” เฉิงฮูหยินกอดร่างอวบอ้วนของเฉิงซินไว้ในอ้อมกอด “นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเรานะ ท่านส่งเขาออกบวชเช่นนี้ ท่านจะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”นางเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ“หากหวนเอ๋อร์ยังมีชีวิติอยาละก็ ต่อให้ท่านเฆี่ยนเขาจนตาย ข้าก็จะไม่ขวางท่าน แต่นี่หวนเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านจะไม่เห็นแก่หน้าของข้าบ้างอย่างนั้นหรือ?”ครั้นเฉิงทั่วนึกถึงบุตรชายคนโตที่มีความเชี่ยวชาญด้านบทกวีและมีทักษะการต่อสู้ก็อดเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้เหนือกว่าเฉิงซินขึ้นไปก็ยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่มีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่านี่เองเพียงเพราะเป็นบุตรชายคนโต เฉิงฮูหยินจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา เข้มงวดด้านกฎระเบียบปรากฏว่ากลับเข้มงวดมากเกินไป จนทำให้บุตรชายผู้นี้ต้องตายในที่สุด“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ของข้าก็มักจะหวาดกลัวอยู่เสมอ”เฉิงเหลียนชำเลืองมองกู้หว่านเยว่แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ“กลัวว่าข้าจะเจริญรอยตามพี่ใหญ่ จึงไม่กล้าอบรมสั่งสอนพี่รอง ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนและวางเพลิง นางก็มักจะตามใจเขาอยู่เสมอ”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก ยังใช้เหตุผลนี้กันอยู่อีกหร
“เพียงแต่เราต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อน ท่านตามข้าได้ แต่ท่านห้ามเข้าเมืองหลวงพร้อมกับข้า เมื่อเข้าเขตเมืองหลวง ข้าจะให้ท่านไปพักในโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัย ถึงยามนั้นข้าจะเข้าไปเพียงลำพัง หากข้ากลับออกมาอย่างปลอดภัย ข้าค่อยพาท่านกลับเจดีย์หนิงกู่ เพื่อกราบขอโทษท่านอ๋องและพระชายา แต่หากข้าไม่กลับออกมา คนของข้าจะคุ้มกันท่านกลับบ้านอย่างปลอดภัย”มู่หรงฉางเล่อหลุดหัวเราะออกมา“เหอะ ๆ พูดไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย หมายความว่าอย่างไรไม่กลับออกมา? ไม่ว่าอย่างไรท่านต้องกลับออกมาเจ้าค่ะ”อวิ๋นมู่มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง ครั้งนี้เจ้าจะไม่ให้นางบิดพลิ้วง่าย ๆ อีก“ได้โปรดท่านหญิงจงรับปากข้า มิเช่นนั้นข้าจะเลี้ยวหัวกลับเดี๋ยวนี้ พาท่านกลับไปส่งเมืองซุ่ยโจว”มู่หรงฉางเล่อถอนหายใจ“ก็ได้ ๆ ข้ารับปากท่าน”ตอนนี้นางยอมรับปากส่งเดชไปก่อน แต่เมื่อถึงที่หมายแล้วจะทำอย่างไรนั้นก็ค่อยว่ากันกู้หว่านเยว่เดาออกว่าเรื่องของแม่นางตั่วไม่มีทางจบในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ในเช้าวันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น หลังจากที่เฉิงฮูหยินตื่นนอน ก็ส่งตัวแม่นางตั่วออกไปและโน้มน้าวไม่ให้เฉิงซินบอกเขาเดิมทีเ
เสียงนี้เป็นเสียงของผู้หญิงอย่างชัดเจน อวิ๋นมู่รู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบเปิดม่านและชะโงกหน้าออกไปดู“ท่าน...”คนของอวิ๋นมู่โง่เขลาไปชั่วขณะในตอนที่เขาโผล่หน้าออกมานั้น ก็เจอกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มหวานของคนผู้นั้นพอดีเจ้าของรอยยิ้มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมู่หรงฉางเล่อนั้นเอง“ท่านหญิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”อวิ๋นมู่รีบมองไปรอบ ๆ หน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพราย คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่กระทั่งเห็นว่าบนทางหลวงที่ค่อนข้างคับแคบแห่งนี้มีเพียงรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เพียงคันเดียวแต่มู่หรงฉางเล่อนั่งอยู่บนที่นั่งที่ประกอบด้วยไม้บริเวณด้านหน้าของรถม้า มือข้างหนึ่งจับเชือกบังเหียน แต่งกายเป็นคนขับรถม้าแล้วอวิ๋นมู่จะรู้ได้อย่างไร ว่าสตรีผู้นี้แต่งกายเป็นคนบังคับม้า และแอบขึ้นมาบนรถม้าของเขา ออกเดินทางไปเมืองซุ่ยโจวกับเขามาไกลถึงเพียงนี้!“คุณชายอวิ๋น ทำไมพอเจอข้าแล้วถึงนิ่งงันไปเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อเอียงคอคลี่ยิ้มนัยน์ตาของนางฉายแววเฉลียวฉลาดที่ชวนหลงใหลออกมา จากนั้นก็โยนเชือกบังเหียนไปให้กับคนบังคับม้าที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็
นางออกคำสั่งเป็นปกติ ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้างกายทำได้แต่เพียงฟังอย่างเงียบ ๆ ไม่คิดจะออกความคิดเห็นแต่อย่างใดเฉิงเหลียนรู้ว่านางเชื่อถือได้ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”ตอนจากไป นางย่างก้าวราวกับเหาะออกไปเลยทีเดียว“พระชายาช่างใจดียิ่งนัก” ชิงเหลียนอดทอดถอนใจไม่ได้แน่นอนว่าครั้นแม่นางเฉิงเหลียนได้รับความไม่ยุติธรรมจากตระกูลเฉิง นางจึงอยากพาอีกฝ่ายไปด้วย“นางสมควรได้รับ”กู้หว่านเยว่เห็นฝีมือและประสบการณ์ด้านการนำทัพของเฉิงเหลียนแล้ว นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งเพียงแต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี จึงได้รับข้อจำกัดทุกด้านแต่หากนางได้อยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องกังวลมากนักนางให้โอกาสเฉิงเหลียนได้แสดงความสามารถของตัวเองอย่างอิสระ“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ”หลังจากเสียเวลามาตลอดครึ่งเช้า ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปกินมื้อเที่ยงแล้วกู้หว่านเยว่จูงมือของซูจิ่งสิงกลับมาถึงจวน กระทั่งเห็นสาวใช้วิ่งออกมาอย่างกระวนกระวายใจ“ท่านอ๋อง พระชายา แย่แล้ว ท่านหญิงฉางเล่อหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”นี่คือสาวใช้ของมู่หรงฉางเล่อ ชื่อว่ากู๋อวี่กู๋อวี่ถือจดหมายฉบับหนึ่ง ด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้“ข้าน้อยไป