“ข้าออกไปข้างนอกแล้วพลาดล้มขาแพลง บังเอิญเจอพี่หญิงซวนลู่ของเจ้า นางเป็นคนแบกข้ากลับมา ซวนลู่ ลำบากเจ้าแล้ว”ทุกคนต่างดูออกว่านางหยางโปรดปรานซวนลู่มาก ซวนลู่ได้แต่คลี่ยิ้ม “ป้าหยางท่านก็เกรงใจเกินไป ข้าและจิ่งสิงเป็นพี่น้องเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในสนามรบ ท่านเป็นมารดาของจิ่งสิง ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้าเช่นกัน ข้าแบกท่าน ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”ช่างพูดช่างจานะ “ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้า”ซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อร์มองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยความรู้สึกบีบรัดในหัวใจ นางหยางไม่ได้สังเกตเห็น นางกำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ “เจ้า ตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราที่เจดีย์หนิงกู่ครั้งนี้ เราซาบซึ้งมาก”ซูจิ้งกล่าวถาม “ท่านพ่อสบายดีใช่หรือไม่?”“ท่านพ่อสบายดีเจ้าค่ะ หากเขารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน พวกเราสองตระกูลไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ท่านพ่อมักกล่าวเสมอว่าคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งก่อน”ซวนลู่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแทรกอย่างไร“อื้อ ข้าเองก็คิดถึงวันเวลาที่ได้ดื่มฉลองกับพ่อของเจ้าเช่นกัน ไว้วันไหนว่าง ๆ ข้าจะไปเยี่ยมพ่อของเจ้าที่ชายแด
กู้หว่านเยว่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำต่อกับซวนลู่ จึงปฏิเสธโดยตรง “จวนของเราไม่มีห้องว่างแล้วจริง ๆ หากท่านแม่ทัพซวนไม่มีที่พัก ข้าจัดให้เจ้าพักที่สถานีพักม้าได้นะ”“ในจวนไม่ได้มีห้องมากขนาดนั้นหรือ....”ซูจิ้งอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกนางหยางเหยียบเท้า จนเขาต้องรีบหุบปากครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ต่อให้ซวนลู่ไร้ยางอายแค่ไหน ก็คงหาข้ออ้างไม่ได้อีกแล้ว“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอเพียงนั้น หาโรงเตี๊ยมพักอ้างแรมเองได้”สีหน้าของนางดูแย่ลง ทำให้ซูจิ้งปวดใจยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรของสหายเก่า“จริงสิ พรุ่งนี้ข้าต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ พวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ”ซวนลู่เชิญชวน ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับซูจิ่งสิงหลุดลอยไปแต่อย่างใด “น้องหญิง เจ้าอยากไปหรือไม่?” ซูจิ่งสิงมองไปกู้หว่านเยว่ หากภรรยาไป เขาก็ไป ภรรยาไม่ไป เขาก็ขี้เกียจไป“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าหุบเขาราชาโอสถอยู่ในภูเขาฉางไป๋ นางนัดกับปรมาจารย์แพทย์ไปหายาที่หุบเขาราชาโอสถพอดี จะไปดูว่ามีสมุนไพรเก็บได้บ้าง“พระชายา อย่าไปเลยเจ้าค่ะ”ซวนลู่ไม่ได้จะชวนนาง จึงแสร้งทำเป็นหวังดี“ล่าสัตว์ต้องขี่ม้า ร่างกายของพระช
“ฮูหยิน ข้าเชื่อฟังท่าน”ซูจิ้งกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย นางหยางพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จ ก็ลงมือทำของว่างไปส่งให้ที่ห้องของกู้หว่านเยว่ ทำให้นางตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านเข้าครัวดึกเพียงนี้เลยหรือ?”“หว่านเยว่” นางหยางคว้ามือของกู้หว่านเยว่ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “แม่อยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความหมายของนางทันที จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”“ขอบคุณอะไร เจ้าเป็นบุตรที่ดีของแม่ เป็นเสมือนบุตรสาวของแม่ แม่ไม่มีทางให้คนอื่นมารังแกเจ้าได้”นางหยางวางของกินเล่นลง จากนั้นก็กำชับให้นางรีบพักผ่อน ก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไปหลังจากที่นางหยางไปแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ จึงเข้าไปเลือกธนูที่จับถนัดมือในห้วงมิติ ทั้งยังเลือกแส้หนังเล็กอีกหนึ่งเส้นด้วยเช้าวันรุ่งขึ้น นางเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาว แต่งกายด้วยชุดจิ้นจวงที่ดูทะมัดทะแมงโดยมีแส้หนังพันอยู่รอบเอว ส่วนธนูปล่อยให้ชิงเหลียนถือซูจิ่งสิงเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน เป็นสีเดียวกับนางพอดี เพียงแวบเดียวคนนอกก็ดู
“หากจะตกจากหลังม้า อาจจะบาดเจ็บถึงขั้นพิการได้เลยนะเจ้าคะ”สตรีผู้นี้ตั้งใจจะขู่นาง กู้หว่านเยว่ไม่มีทางตกใจกลัวแน่นอน ซูจิ่นเอ๋อร์จึงอดกล่าวไม่ได้“พี่หญิงซวนลู่ พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าไม่เพียงแต่ขี่ม้าเป็น ยังขี่ม้าได้ดีด้วยเจ้าค่ะ”“ใช่ ทักษะการขี่ม้าของพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเลย”ซูจื่อชิงเองก็ชมอีกหนึ่งเสียง ทำให้สีหน้าของซวนลู่เริ่มบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ“อย่างนั้นหรือ? ข้าไม่รู้มาก่อนว่าทักษะการขี่ม้าของพระชายาจะดีเพียงนี้ ลองทดสอบกันหน่อยหรือไหม?”ครั้งนี้ทุกคนมองนางราวกับมองคนโง่เขลาอย่างไรอย่างนั้น“พี่หญิงซวนลู่ ท่านแน่ใจใช่หรือไม่?” ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวเตือนด้วยความหวังดีหรือว่านางดูไม่ออก ว่าม้าที่พี่สะใภ้ใหญ่ขี่อยู่นั้นเป็นม้ากระต่ายแดง?คิดจะแข่งกับม้ากระต่ายแดง ประเมินตนเองสูงเกินไปแล้ว“วางใจเถอะ ข้าจะยั้งมือ”ซวนลู่คุยโวโอ้อวดอย่างไม่เกรงใจ แทนที่จะทะนงตน ไม่สู้บอกว่านางไม่เคยเห็นกู้หว่านเยว่ในสายตาเลยดีกว่านางไม่เชื่อว่าสตรีผู้อ่อนแอคนหนึ่งจะขี่ม้าได้ ทักษะม้าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว?สำหรับม้ากระต่ายแดง ม้าพันธุ์นี้มีราคามาก ซวนลู่เคยได้ยินผู้อื่นพูดก
ซูจิ่นเอ๋อร์ถอนหายใจแรง และกล่าวอย่างจนปัญญา“ว่าอย่างไรนะ กระต่ายแดง?!”นัยน์ตาของซวนลู่ฉายแววโกรธเคืองละคนอิจฉาอยู่ไม่น้อย“จิ่งสิง ท่านนำม้าที่ดีเพียงนี้ให้นางเชียวหรือ”นางเป็นเพียงหญิงแม่บ้านคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องออกศึกสงคราม ต้องใช้ม้าที่ดีขนาดนี้ไปทำไม เช่นนี้ก็เสียของดีแย่นะสินางยิ่งมั่นใจว่าซูจิ่งสิงช่วยนาง ซวนลู่ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวว่า“แม้ว่าข้าจะแพ้แล้ว แต่ท่านก็อย่าลำพองใจไป หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องยกม้าพันธุ์นี้ให้ท่าน ท่านไม่มีทางชนะข้าได้”กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะ ซูจิ่งสิงซ้ำเติมอย่างเงียบ ๆ “ม้าตัวนี้เป็นของหว่านเยว่”“เป็นไปไม่ได้!”ซวนลู่ไม่อยากเชื่อ“ม้าตัวนี้เป็นม้าที่หายากและมีราคาที่สุดในใต้หล้า เหตุใดถึงตกมาอยู่ในมือของนาง ท่านอ๋อง ท่านทำเพื่อนาง ไม่ต้องโป้ปดข้าหรอก”ซวนลู่ปวดใจมาก มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาโหดเหี้ยมแวบหนึ่งสตรีผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ก่อนหน้านั้นท่านอ๋องไม่เคยโป้ปดเลยสักครั้ง บัดนี้เพื่อปกป้องนาง เขายอมโป้ปดเช่นนี้“ข้าไม่ได้โป้ปด ม้าตัวนี้เป็นของนาง”สีหน้าของซูจิ่งสิงเคร่งขรึมลง สตรีผู้นี้ฟังไม่รู้ความนักใช่หรือไม่?ความหมดความอ
นางอยากเห็นกู้หว่านเยว่ลุกลี้ลุกลนอย่างร้อนใจ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมักจะสงบนิ่งทุกครั้ง ตรงกันข้ามกลับเป็นนางที่โกรธแทน“จื่อชิง เจ้าไปเก็บกระต่ายกลับมาเถอะ”ซวนลู่ออกคำสั่งกับซูจื่อชิง ทำให้เขาไม่พอใจ“พี่หญิงซวน ในภูเขาแห่งนี้มีกระต่ายอีกมากมาย ทำไมท่านต้องแย่งกระต่ายของพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย? เมื่อครู่กระต่ายตัวนั้นพี่สะใภ้เป็นฝ่ายเจอก่อน”ซูจื่อชิงเองก็ทนไม่ไหว เขาเป็นสหายกับซวนลู่ ถึงได้พูดตรงเช่นนี้“เขาไม่อยากให้พี่หญิงซวนลู่ทำผิดอีก“ก็แค่กระต่ายตัวเดียว จะอะไรกันนักหนา? ในสนามรบต้องแยกด้วยหรือไม่ว่าหัวไหนของเจ้า หัวไหนของข้า?”ซวนลู่หนี่ตาลงอย่างไม่สบายใจ “พวกเราทั้งสองคนสนิทกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่เหมือนกับคนอื่น เจ้าถามข้าเช่นนี้เพื่อนกู้หว่านเยว่หรือ?”“ข้าเปล่า”ซูจื่อชิงหมดคำพูด ได้แต่ทอดถอนใจ ช่างเถอะ โน้มน้าวไปก็เท่านั้น คงจะโน้มน้าวสตรีเอาแต่ใจผู้นี้ไม่ได้ เดินไปอย่างยอมรับชะตากรรม เก็บกระต่ายแล้วโยนเข้าไปในตะกร้าเขาคิดว่าทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำให้เรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีซวนลู่ที่อยู่ด้านนั้นยกยิ้มเย็นยะเยือก ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไร ถือคันธนูวิ่ง
“ครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุ ฝีมือของข้าดีมาก เมื่อครู่เป็นเพราะกวางลายจุดตัวนั้นมันตื่นตัวเกินไป”ซวนลู่มองไปทางซูจิ่งสิง แล้วกล่าวอธิบาย“ท่านอ๋อง ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่น่าทำให้มันตกใจจนหนีไปเลย รอจนกว่าจะเจอกวางลายจุดตัวอื่นแล้ว ข้าจะยิงให้เจ้าใหม่ดีหรือไม่?”ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเสียงพรึ่บดังขึ้นจากข้าง ๆต่อมา กวางลายจุดที่กำลังวิ่งหนีก็ล้มลงกับพื้น กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มสดใส “ข้ายิงโดนแล้ว!”ภาพตรงหน้าทำให้ซวนลู่แทบไม่อยากจะเชื่อ“เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงยิงธนูเป็น?”แต่ลูกธนูที่ปักอยู่บนตัวของกวางลายจุด เป็นลูกธนูที่ยิงออกมาจากมือของกู้หว่านเยว่จริง ๆ นางยังคงอยู่ในท่าง้างธนูเอาไว้“ท่านพี่ เราไปหยิบกัน”กู้หว่านเยว่ดูสดใสร่าเริง รีบขี่ม้าเข้าไปเก็บเกี่ยวผลงาน ส่วนซูจิ่งสิงก็ไล่ตามนางไปด้วยสีหน้าเอ็นดู“นายหญิง ริมลำธารทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีสิ่งที่น่าประหลาดใจขอรับ”เสียงของระบบดังขึ้น ดวงตาของกู้หว่านเยว่เป็นประกาย หลังจากเก็บกวางลายจุดตัวนั้นแล้ว ก็รีบวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทั้งสองคนหายวับไปต่อหน้าต่อตา เมื่อเห็นสามีภรรยาคู่นั้นจากไปไกลแล้ว บนใบหน้าของซวน
คำพูดนี้ช่างทิ่มแทงใจเสียจริง หางตาของซวนลู่กระตุกอย่างหนัก นางจะพลาดเป็นครั้งที่สองเพราะความลังเลไม่ได้“ข้าตกลง”ซวนลู่คว้ายาลูกกลอนมา หัวใจเต้นโครมคราม ข้าจะร่วมมือกับเจ้า”“หึ ๆ ” คนชุดดำหัวเราะอย่างชั่วร้าย “แบบนี้สิถูกต้องแล้ว”กู้หว่านเยว่เดินตามระบบมาจนถึงริมลำธาร “เจ้าระบบ เจ้าบอกว่าทางนี้มีสิ่งที่น่าประหลาดใจ ขอให้มีสิ่งที่น่าประหลาดใจจริง ๆ นะ!”“นายหญิงดูในลำธารเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ก้มศีรษะลง แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง “นี่มันคือ?”นางรีบร้อนเดินเข้าไปข้างหน้า จากนั้นก้มลงมองพืชน้ำต้นหนึ่งในลำธาร“นี่มันใช่ปลาหรือไม่?” ซูจิ่งสิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย สิ่งนี้มีสีขาวใส เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สามารถสะท้อนแสงสีรุ้งออกมาได้“ข้าช่วยเจ้าเอาขึ้นมาเอง” เขาดูออกว่ากู้หว่านเยว่ชอบสิ่งนี้มากไหนเลยจะรู้ว่ากู้หว่านเยว่จะรีบห้ามไว้ “อย่าเอามือไปแตะเด็ดขาด!”นางคว้ามือของซูจิ่งสิง แล้วกล่าวอธิบาย“นี่มิใช่ปลา แต่เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าแมงกะพรุนฝันสู่สวรรค์ของเหลวจากสมุนไพรชนิดนี้มีพิษหลอนประสาท หากสัมผัสโดนจะทำให้คนตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุข”ของแบบนี้พบเห
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก