“ข้าออกไปข้างนอกแล้วพลาดล้มขาแพลง บังเอิญเจอพี่หญิงซวนลู่ของเจ้า นางเป็นคนแบกข้ากลับมา ซวนลู่ ลำบากเจ้าแล้ว”ทุกคนต่างดูออกว่านางหยางโปรดปรานซวนลู่มาก ซวนลู่ได้แต่คลี่ยิ้ม “ป้าหยางท่านก็เกรงใจเกินไป ข้าและจิ่งสิงเป็นพี่น้องเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในสนามรบ ท่านเป็นมารดาของจิ่งสิง ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้าเช่นกัน ข้าแบกท่าน ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”ช่างพูดช่างจานะ “ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้า”ซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อร์มองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยความรู้สึกบีบรัดในหัวใจ นางหยางไม่ได้สังเกตเห็น นางกำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ “เจ้า ตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราที่เจดีย์หนิงกู่ครั้งนี้ เราซาบซึ้งมาก”ซูจิ้งกล่าวถาม “ท่านพ่อสบายดีใช่หรือไม่?”“ท่านพ่อสบายดีเจ้าค่ะ หากเขารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน พวกเราสองตระกูลไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ท่านพ่อมักกล่าวเสมอว่าคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งก่อน”ซวนลู่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแทรกอย่างไร“อื้อ ข้าเองก็คิดถึงวันเวลาที่ได้ดื่มฉลองกับพ่อของเจ้าเช่นกัน ไว้วันไหนว่าง ๆ ข้าจะไปเยี่ยมพ่อของเจ้าที่ชายแด
กู้หว่านเยว่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำต่อกับซวนลู่ จึงปฏิเสธโดยตรง “จวนของเราไม่มีห้องว่างแล้วจริง ๆ หากท่านแม่ทัพซวนไม่มีที่พัก ข้าจัดให้เจ้าพักที่สถานีพักม้าได้นะ”“ในจวนไม่ได้มีห้องมากขนาดนั้นหรือ....”ซูจิ้งอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกนางหยางเหยียบเท้า จนเขาต้องรีบหุบปากครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ต่อให้ซวนลู่ไร้ยางอายแค่ไหน ก็คงหาข้ออ้างไม่ได้อีกแล้ว“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอเพียงนั้น หาโรงเตี๊ยมพักอ้างแรมเองได้”สีหน้าของนางดูแย่ลง ทำให้ซูจิ้งปวดใจยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรของสหายเก่า“จริงสิ พรุ่งนี้ข้าต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ พวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ”ซวนลู่เชิญชวน ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับซูจิ่งสิงหลุดลอยไปแต่อย่างใด “น้องหญิง เจ้าอยากไปหรือไม่?” ซูจิ่งสิงมองไปกู้หว่านเยว่ หากภรรยาไป เขาก็ไป ภรรยาไม่ไป เขาก็ขี้เกียจไป“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าหุบเขาราชาโอสถอยู่ในภูเขาฉางไป๋ นางนัดกับปรมาจารย์แพทย์ไปหายาที่หุบเขาราชาโอสถพอดี จะไปดูว่ามีสมุนไพรเก็บได้บ้าง“พระชายา อย่าไปเลยเจ้าค่ะ”ซวนลู่ไม่ได้จะชวนนาง จึงแสร้งทำเป็นหวังดี“ล่าสัตว์ต้องขี่ม้า ร่างกายของพระช
“ฮูหยิน ข้าเชื่อฟังท่าน”ซูจิ้งกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย นางหยางพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จ ก็ลงมือทำของว่างไปส่งให้ที่ห้องของกู้หว่านเยว่ ทำให้นางตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านเข้าครัวดึกเพียงนี้เลยหรือ?”“หว่านเยว่” นางหยางคว้ามือของกู้หว่านเยว่ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “แม่อยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความหมายของนางทันที จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”“ขอบคุณอะไร เจ้าเป็นบุตรที่ดีของแม่ เป็นเสมือนบุตรสาวของแม่ แม่ไม่มีทางให้คนอื่นมารังแกเจ้าได้”นางหยางวางของกินเล่นลง จากนั้นก็กำชับให้นางรีบพักผ่อน ก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไปหลังจากที่นางหยางไปแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ จึงเข้าไปเลือกธนูที่จับถนัดมือในห้วงมิติ ทั้งยังเลือกแส้หนังเล็กอีกหนึ่งเส้นด้วยเช้าวันรุ่งขึ้น นางเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาว แต่งกายด้วยชุดจิ้นจวงที่ดูทะมัดทะแมงโดยมีแส้หนังพันอยู่รอบเอว ส่วนธนูปล่อยให้ชิงเหลียนถือซูจิ่งสิงเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน เป็นสีเดียวกับนางพอดี เพียงแวบเดียวคนนอกก็ดู
ร่างกายร้อนผ่าวอยู่บ้างกู้หว่านเยว่ลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง ข้างเตียงมีชายสวมชุดแต่งงานนั่งอยู่หนึ่งคนนี่คงฝันไปใช่ไหม แต่เหตุใดเหมือนจริงถึงเพียงนี้?นางเบือนหน้ามองฝ่ายชายฝ่ายชายผิวพรรณขาวดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลางดงาม มองแวบเดียวก็ทำให้คนจมดิ่งสู่ภวังค์อย่างยากจะหักห้ามใจ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป สุ้มเสียงเองก็ไร้อารมณ์เสียนี่กระไร“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า พระบรมราชโองการยากจะฝ่าฝืน หากเจ้าไม่ยินยอม...”“ข้ายินยอม ข้ายินยอม!”ชายหนุ่มรูปงามหาใครเทียบได้เช่นนี้ นางครองโสดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้พบพานมาก่อน ไฉนเลยจะไม่ยินยอมกันเล่า!กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของฝ่ายชาย ยื่นมือออกไปเกี่ยวเข็มขัดโผเข้าหาอ้อมอกของเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้า หอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นของชายหนุ่มรูปงามเห็นได้ชัดว่านี่คือครั้งแรกของฝ่ายชาย ทีแรกยังคิดปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงที่ดังออดอ้อนออเซาะขึ้นมาของนางได้ สติค่อยๆ เลือนรางไป ทว่า ครู่เดียวก็ทำเอากู้หว่านเยว่วิญญาณหลุดลอยทั้งสองเกี
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นภายในสมอง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจแทบแย่“เจ้าเป็นใคร?”“สวัสดีเจ้านาย ข้าเป็นผู้ดูแลระบบมิติ รับผิดชอบตอบปัญหาที่ท่านสงสัยโดยเฉพาะ”มิติคือพลังวิเศษที่นางมีตั้งแต่ชาติก่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ดูแลระบบอันใด“ก่อนนี้เจ้านายอยู่ในขั้นเริ่มต้น จึงไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันของระบบ แต่อิงตามการกักตุนสินค้าเต็มพื้นที่ของท่านในวันนี้ มิติได้เปิดใช้งานผู้ดูแลระบบและอาคารทางการแพทย์ให้ท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่หลับตาลง เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติได้แล้ว ดังคาด ภายในพื้นที่กักตุนสินค้า นอกจากสิ่งของที่นางเก็บมา ก็มีอาคารทางการแพทย์เครื่องมือล้ำสมัยหลังหนึ่งทว่า เหตุใดเป็นอาคารทางการแพทย์เล่า?“ซูจิ่งสิงต้องการอาคารทางการแพทย์ เจ้าก็เปิดการใช้งานอาคารทางการแพทย์ ตกลงเจ้าของร่างคือข้าหรือซูจิ่งสิงกันแน่?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์อย่างมากในใจ“...” ผู้ดูแลระบบแกล้งตายไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำเพียงสำรวจการเปลี่ยนแปลงภายในมิติ นอกจากอาคารทางการแพทย์ นางยังพบหน้าจอคล้ายศูนย์ควบคุมทำนองนั้นเพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างหนึ่ง ข้างบนเขียนการเปิดใช้งานอาคารใหม่หลากหลายแบบอ
มีนางเป็นตัวอย่าง ทุกคนล้มเลิกความคิดแล้ว แต่ละคนกัดฟันเดินไปข้างหน้าเดินออกมาอีกราวห้าลี้ กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางเหนื่อยจนคล้ายลาแก่ ต้องการขยับขึ้นไปช่วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ “หว่านเยว่ เจ้า เจ้าเหนื่อย ข้าเข็น...”“ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องถูกเนรเทศไปกับพวกเรา จะยังให้ท่านลำบากอีกได้เยี่ยงไร” ซูจื่อชิงรู้ความ เรียกซูจิ่นเอ๋อร์น้องสาวมาช่วยเข็นด้วยกันใครรู้ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเล็กแต่อารมณ์ร้าย ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ไม่พอใจ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว เข็นไม่ไหว ก็ควรให้กู้หว่านเยว่เข็น ใครให้นางเป็นดาวหายนะทำให้พวกเราต้องถูกเนรเทศกันเล่า”“น้องหญิง เจ้าพูดส่งเดชอันใด เรื่องนี้ตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้”ซูจื่อชิงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดน้องหญิงคิดเห็นเฉกเดียวกันกับบ้านเหล่านั้นได้เล่า?สีหน้าซูจิ่นเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปแล้ว รู้สึกเกลียดกู้หว่านเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วนอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่คร้านจะตามใจอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ “เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเอ็นดูเจ้าที่สุด บัดนี้เขาหมดสติยังไม่ฟื้น ปรากฏว่าแม้แต่เข็นเกวียนของเขาสักเล็กน้อยเจ้าก็ไม่ยินดี ช่างเอ็นดูอย่างเสียเปล่า
“ฮูหยิน ข้าเชื่อฟังท่าน”ซูจิ้งกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย นางหยางพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จ ก็ลงมือทำของว่างไปส่งให้ที่ห้องของกู้หว่านเยว่ ทำให้นางตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านเข้าครัวดึกเพียงนี้เลยหรือ?”“หว่านเยว่” นางหยางคว้ามือของกู้หว่านเยว่ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “แม่อยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความหมายของนางทันที จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”“ขอบคุณอะไร เจ้าเป็นบุตรที่ดีของแม่ เป็นเสมือนบุตรสาวของแม่ แม่ไม่มีทางให้คนอื่นมารังแกเจ้าได้”นางหยางวางของกินเล่นลง จากนั้นก็กำชับให้นางรีบพักผ่อน ก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไปหลังจากที่นางหยางไปแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ จึงเข้าไปเลือกธนูที่จับถนัดมือในห้วงมิติ ทั้งยังเลือกแส้หนังเล็กอีกหนึ่งเส้นด้วยเช้าวันรุ่งขึ้น นางเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาว แต่งกายด้วยชุดจิ้นจวงที่ดูทะมัดทะแมงโดยมีแส้หนังพันอยู่รอบเอว ส่วนธนูปล่อยให้ชิงเหลียนถือซูจิ่งสิงเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน เป็นสีเดียวกับนางพอดี เพียงแวบเดียวคนนอกก็ดู
กู้หว่านเยว่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำต่อกับซวนลู่ จึงปฏิเสธโดยตรง “จวนของเราไม่มีห้องว่างแล้วจริง ๆ หากท่านแม่ทัพซวนไม่มีที่พัก ข้าจัดให้เจ้าพักที่สถานีพักม้าได้นะ”“ในจวนไม่ได้มีห้องมากขนาดนั้นหรือ....”ซูจิ้งอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกนางหยางเหยียบเท้า จนเขาต้องรีบหุบปากครั้นกล่าวถึงตรงนี้ ต่อให้ซวนลู่ไร้ยางอายแค่ไหน ก็คงหาข้ออ้างไม่ได้อีกแล้ว“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอเพียงนั้น หาโรงเตี๊ยมพักอ้างแรมเองได้”สีหน้าของนางดูแย่ลง ทำให้ซูจิ้งปวดใจยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรของสหายเก่า“จริงสิ พรุ่งนี้ข้าต้องไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉางไป๋ พวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ”ซวนลู่เชิญชวน ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับซูจิ่งสิงหลุดลอยไปแต่อย่างใด “น้องหญิง เจ้าอยากไปหรือไม่?” ซูจิ่งสิงมองไปกู้หว่านเยว่ หากภรรยาไป เขาก็ไป ภรรยาไม่ไป เขาก็ขี้เกียจไป“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าหุบเขาราชาโอสถอยู่ในภูเขาฉางไป๋ นางนัดกับปรมาจารย์แพทย์ไปหายาที่หุบเขาราชาโอสถพอดี จะไปดูว่ามีสมุนไพรเก็บได้บ้าง“พระชายา อย่าไปเลยเจ้าค่ะ”ซวนลู่ไม่ได้จะชวนนาง จึงแสร้งทำเป็นหวังดี“ล่าสัตว์ต้องขี่ม้า ร่างกายของพระช
“ข้าออกไปข้างนอกแล้วพลาดล้มขาแพลง บังเอิญเจอพี่หญิงซวนลู่ของเจ้า นางเป็นคนแบกข้ากลับมา ซวนลู่ ลำบากเจ้าแล้ว”ทุกคนต่างดูออกว่านางหยางโปรดปรานซวนลู่มาก ซวนลู่ได้แต่คลี่ยิ้ม “ป้าหยางท่านก็เกรงใจเกินไป ข้าและจิ่งสิงเป็นพี่น้องเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในสนามรบ ท่านเป็นมารดาของจิ่งสิง ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้าเช่นกัน ข้าแบกท่าน ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”ช่างพูดช่างจานะ “ก็ถือว่าเป็นมารดาของข้า”ซูจื่อชิงและซูจิ่นเอ๋อร์มองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยความรู้สึกบีบรัดในหัวใจ นางหยางไม่ได้สังเกตเห็น นางกำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ “เจ้า ตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราที่เจดีย์หนิงกู่ครั้งนี้ เราซาบซึ้งมาก”ซูจิ้งกล่าวถาม “ท่านพ่อสบายดีใช่หรือไม่?”“ท่านพ่อสบายดีเจ้าค่ะ หากเขารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน พวกเราสองตระกูลไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ท่านพ่อมักกล่าวเสมอว่าคิดถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งก่อน”ซวนลู่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่กู้หว่านเยว่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแทรกอย่างไร“อื้อ ข้าเองก็คิดถึงวันเวลาที่ได้ดื่มฉลองกับพ่อของเจ้าเช่นกัน ไว้วันไหนว่าง ๆ ข้าจะไปเยี่ยมพ่อของเจ้าที่ชายแด
เจียงอวิ๋นจิ่นอยากไป แต่นางกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องผิดหวัง“ได้สิ เจ้าคิดดีแล้วก็ค่อยมาหาข้าที่จวนกู้”กู้หว่านเยว่ช่างพูดช่างจายิ่งนัก เจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มอย่างเขินอายไม่ได้ นางชอบกู้หว่านเยว่มาก การได้ทำงานภายใต้การปกครองของกู้หว่านเยว่ นางดีใจมากในตอนนี้เอง ซ่งเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”โจวเซิงรุดหน้าเข้าไปด้วยความเป็นห่วงที่ไม่อาจปิดบังได้ซ่งเสวี่ยส่ายหน้า สีหน้ายังดูอ่อนแออยู่เล็กน้อย “ไม่เป็นไร ดื่มน้ำขิงสักชามก็ดีขึ้นแล้ว”“ขอโทษนะ....”“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ คุณชายโจวก็จมน้ำเหมือนกับข้ามิใช่หรือ?”ซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้มพริ้ม ไม่ได้จะโทษเขาเลยสักนิด“คุณชายโจว ท่านรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”ซ่งเสวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงยืนรออยู่ในลานกว้างตลอด เพื่อดูว่านางปลอดภัยดีหรือไม่คนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก“ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” โจวเซิงเห็นว่านางไม่เป็นไร จึงกล้าจากไปอย่างวางใจหวังจื่อหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อครู่ข้าให้คนไปตรวจสอบเรือลำนั้นแล้ว เรือไม่มีปัญหา ไม่รู้ว่าทำไ
จากสำนักศึกษาถงซันมาถึงบ้านสกุลโจวยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งชั่วยาม หากปล่อยไว้เช่นนี้ มีหวังเจ้าตัวคงได้ป่วยระหว่างแน่นอนหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ ให้สักชุด เปลี่ยนให้นางก่อนแล้วค่อยว่ากัน“มี ๆ”เฉินจื่อหวังรีบกล่าว “อวิ๋นจิ่นอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปขอเสื้อผ้าจากนาง”กู้หว่านเยว่เคยเตือนก่อนหน้านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น เวลานี้เจียงอวิ๋นจิ่นพยายามจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเจียงอวิ๋นจิ่นเองก็เชื่อฟังมาก ย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา แทบจะไม่เคยปรากฏตัวเลยคนเหล่านั้นพากันไปหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจียงอวิ๋นจิ่นเห็นกู้หว่านเยว่พาคนเดินเข้ามา ก็รีบให้สาวใช้ไปชงชาให้พวกเขาทันทีเฉินจื่อหวังชี้ไปทางซ่งเสวี่ยและอธิบาย “อวิ๋นจิ่น สตรีผู้นี้คือฮูหยินน้อยโจว นางจมน้ำ เจ้ามีเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”“มี ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เจียงอวิ๋นจิ่นรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าหนึ่งชุดออกมา “รูปร่างของข้าไม่ได้สูงเท่าฮูหยินน้อยโจว เกรงว่าเสื้อผ้าของข้าอาจจะเล็กไปเล็กน้อย”“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ข้าใส่ได้” ซ่งเสวี่ยรับเสื้อผ้าไป จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องกับแม่นมฉ
ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยใบบัวสีเขียวจำนวนมากลอยอยู่บนผิวน้ำ มีปลาคาร์พสีแดงสดใสแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ทันทีที่กู้หว่านเยว่ขึ้นเรือมา ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างนางยังคิดอยู่เลยว่าเป็นเพราะตนคิดมากเกินไป ครั้นเห็นซ่งเสวี่ยยกยิ้มบาง ๆ ก็เลยเดินไปนั่งกับนาง“บนเรือมีอาหารปลาด้วยนะ พวกท่านให้อาหารปลาได้”โจวเซิงกล่าวอย่างใส่ใจ แล้วคลี่ยิ้มพลางพายเรือซ่งเสวี่ยหยิบอาหารปลาแล้วโปรยลงในน้ำ พริบตาเดียวก็ดึงดูดฝูงปลาคาร์พสีแดงเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก“ฤดูกาลนี้ หากมีดอกบัวก็คงจะดี” สายตาของซ่งเสวี่ยทอดมองไปด้านหน้า โจวเซิงจึงกล่าวต่อ “ดอกบัวในแม่น้ำจินงดงามที่สุด เป็นดอกบัวสิบลี้”“เจ้าเคยไปหรือ?” นัยน์ตาซ่งเสวี่ยเปล่งประกายเล็กน้อย ทั้งสองคนราวกับเจอคู่ขา“ใบบัวสีเขียวมรกตทอดยาวถึงปลายขอบฟ้า นี่คือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในโลกหล้า”ทั้งสองคนรู้สึกว่าพวกเขาเจอกันช้าไป ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ บรรยากาศค่อย ๆ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรักที่หอมหวาน กู้หว่านเยว่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายฉับพลัน ไม่นานก็เกิดเสียง ‘แกรก ๆ’ ดังขยายออกมาจากใต้เท้าของโจวเซิง เรือลำนี้กำลังรั่ว“ช่วยด้วย!”
“คุณชายโจวอย่าเข้าใจผิด ข้าเป็นแม่คนแล้ว ปากอาจจะไวไปเสียหน่อย ยิ่งเห็นจมูกเจ้าบาดเจ็บ ก็มักจะนึกถึงเด็ก ๆ ในบ้านที่ชอบชนโน้นชนนี้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงอดกล่าวบ้างไม่ได้”ไหนเลยโจวเซิงจะเข้าใจผิด เขาดีใจแทบไม่ทันต่างหาก ซ่งเสวี่ยเป็นห่วงเขาเช่นนี้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองไปทางซ่งเสวี่ยอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณฮูหยินน้อยที่เป็นห่วง เพียงแต่ในห้องของข้าไม่มียา แต่ข้าจำมันได้ขึ้นใจ ข้าจึงให้ผู้ติดตามออกไปซื้อให้แล้ว ประเดี๋ยวก็ค่อย ๆ ทำแผลที่จมูกไป”ครั้นซ่งเสวี่ยเห็นเขากล่าวกับตนจริงจังเช่นนี้ จึงคลี่ยิ้มพริ้มตั้งแต่สูญเสียสามีไป น้อยนักที่นางจะยิ้มต่อหน้าผู้อื่น อย่างมากก็แค่ยิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อตอนอยู่พูดคุยกับกู้หว่านเยว่เท่านั้น ส่วนใหญ่จะทำสีหน้าเย็นชา สีหน้าวิตกกังวลตลอดเวลายิ้มครั้งนี้คล้ายกับน้ำแข็งที่ละลายในสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ โจวเซิงนิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปเลยทีเดียวเขาจ้องเขม็งไปทางซ่งเสวี่ยครู่หนึ่ง ด้วยสติที่เหม่อลอยซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้ม กระทั่งพบถึงความผิดปกติโจวเซิงยังคงจ้องมองนางตลอดใบหน้าของนางร้อนผ่าวคล้ายไฟที่ลุกโชน จา
“วางใจเถอะ อยู่ในสำนักศึกษาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ เจ้าได้ดูแลเด็กเหล่านั้นให้ดีเถอะ”กู้หว่านเยว่ผลักซูจิ่งสิงออก แล้วคว้ามือซ่งเสวี่ยเดินไปด้านหลัง“เรากำลังจะไปไหน?”“ไปห้องด้านหลัง เมื่อครู่เฉินจื่อหวังบอกไม่ใช่หรือว่าโจวเซิงได้รับบาดเจ็บ เราไปดูเขาสักหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ นางจึงเห็นว่านัยน์ตาของซ่งเสวี่ยวูบไหว แสดงท่าทีกังวลใจ“เราไปเช่นนี้ ไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”“คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรต้องเสียหรือไม่เสียมารยาทกันเล่า อีกอย่างสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้ก็เป็นของข้า ต่อไปโจวเซิงก็ต้องมาเรียนตำราที่นี่ ถือว่าเป็นคนภายใต้การปกครองของข้า ข้าไปปลอบขวัญเขาก็สมควรแล้วนี่”เหตุผลของกู้หว่านเยว่นั้นไร้ข้อกังขา ประกอบกับที่ซ่งเสวี่ยนั้นมีความเป็นกังวล จึงพยักหน้าเห็นด้วยทั้งสองคนเดินมาถึงบริเวณด้านนอกของหอพักในสำนักศึกษา ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงอ่านตำราระลอกหนึ่งดังมาจากด้านในครั้นได้ยินว่าเป็นเสียงของโจวเซิง ซ่งเสวี่ยก็ยิ่งหักนิ้วเสียงดังเป๊าะอย่างเป็นกังวลกู้หว่านเยว่ยิ้มพลางมองนาง ก่อนหน้านั้นตอนที่พี่หญิงซ่งเสวี่ยและโจวเซ่ออยู่ด้วยกันก็ไม่เคย
“ข้า!”สีหน้าขอ’ซวนลู่ซีดเผือดลง ซูจิ่นเอ๋อร์อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “พี่หญิงซวนลู่ ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้? จากที่ท่านกล่าวมา คือสตรีไม่ควรออกนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ออกศึกลงสนามรบ อีกทั้งบัดนี้ข้าเองก็เปิดอาหาร พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสสตรีในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงต้องตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ด้วย?”“ซวนลู่....”ซูจื่อชิงอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกเมี่ยชิงหว่านดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสายตาตักเตือนไปทางเขาซวนลู่เองก็คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ช่วยนาง ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพหญิง ยังต้องรักษาหน้า จึงกัดฟันแล้ววิ่งหนีไป“ไปได้เสียที”กู้หว่านเยว่ยืดมือขจัดความเกียจคร้าน นางมิใช่พระแม่มารี ที่เจอคนไม่ชอบหน้าทำตัวน่ารำคาญอยู่ตรงหน้า ก็ยังต้องรักษาหน้าไว้พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์แลบลิ้นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าพี่หญิงซวนลู่จะกล่าวเช่นนี้ออกมา หากรู้ละก็ ข้าไม่มีทางพานางมาที่นี่อย่างแน่นอน”อีกอย่างนางเองก็ดูออกว่าซวนลู่นั้นพยายามหาเรื่องทะเลาะมาตลอดทาง ใจแคบกับพี่สะใภ้ใหญ่“เจ้านะเจ้า ถูกผู้อื่นหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”กู้หว่านเยว่ไ