นางเป็นห่วงเขามาก ไม่เช่นนั้นคงไม่เข้ามาเงียบ ๆ กลางดึกหรอกก็แค่จะยอมเสียหน้าไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้กู้หว่านเยว่พานางเข้ามาด้วยตัวเอง นางจึงไม่มีอะไรให้ต้องงอแงไร้เหตุผลอีกตอนแรกซูจื่อชิงกำลังจะพูดว่า “เจ็บมาก” แต่พอคำพูดออกมาจากปากก็กลับเปลี่ยนเป็นว่า“เจ้าไม่ต้องลำบากมาสนใจหรอก เจ้าไปสนใจเผยเสวียนเถอะ”เมี่ยชิงหว่านอึ้งไปทันที “ท่านหมายความว่ายังไง?”ซูจื่อชิงยิ้มเยาะกล่าวว่า “ข้าพูดไม่ถูกหรือ? เพื่อเขาแล้ว เจ้าไม่กลัวแม้แต่หมีด้วยซ้ำ สละชีวิตเพื่อช่วยเขา”เมื่อนึกถึงภาพที่เมี่ยชิงหว่านกระโจนเข้าไปปกป้องเผยเสวียน ซูจื่อชิงก็รู้สึกไม่สบายใจ“นึกไม่ถึงเลยว่า เจ้ากับเขาเพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วัน ความสัมพันธ์ก็ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้”ส่วนพวกเขาน่ะหรือ รู้จักกันมาเกือบปีแล้ว เมื่อก่อนทุกวันตัวติดกันเป็นดั่งเงา ไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทีร้อนรนกับนางเช่นนี้มาก่อน“ท่านกำลังพูดจาเหลวไหลอะไร?” เมี่ยชิงหว่านชักจะโมโหขึ้นมา “ที่ข้าเป็นห่วงเผยเสวียน เพราะเขาบอกว่าหมีถูกท่านล่อเข้ามา ข้ากังวลว่า...” กังวลว่าหากเผยเสวียนได้รับบาดเจ็บ คนสกุลเผยจะสร้างความลำบากให้ซูจื่อชิงใครจะไปรู้ว่าซ
แค่เรื่องของความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่คนอื่นจะเข้ามาก้าวก่าย ไม่พูดก็คือไม่พูดกู้หว่านเยว่กลับไปที่ห้องของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง บังเอิญเจอซูจิ่งสิงที่กลับมาแล้วพอดี“โมโหอะไรถึงเพียงนี้?”กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซูจิ่งสิงรู้สึกสงสารไปชั่วขณะ“เรื่องของพวกเขาสองคน เจ้าก็อย่าไปยุ่งอีกเลย ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ จะเหนื่อยกายเหนื่อยใจไม่ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ได้ยินซูจิ่งสิงพูดเคล้าเสียงหัวเราะ “เจ้าอยากได้แม่นมมาช่วยสองคนมิใช่หรือ? ข้าออกไปหาแม่นมมาให้เจ้าสองคนแล้ว”ซูจิ่งสิงปรบมือ หญิงสองคนเข้ามาจากด้านนอก“บ่าวขอคารวะฮูหยิน”“แม่นมสองคนนี้ข้าเลือกมาจากสตรีในเรือนองครักษ์ลับ สัญญาขายตัวทั้งหมดอยู่ในมือของเรา เป็นคนซื่อสัตย์และเชื่อถือได้” ซูจิ่งสิงกล่าวแนะนำกู้หว่านเยว่เหลือบมองใบหน้าของทั้งสอง แน่นอนว่าทั้งคู่ซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมดังนั้นจึงเรียกพวกนางเข้ามาหา แล้วกำชับข้อควรระวังเกี่ยวกับทารกน้อยหลายอย่าง“จ้านจ้านยังอยู่กับย่าของเขา อีกหนึ่งชั่วยามพวกเจ้าคอยอุ้มเขากลับมา ให้เขาอยู่กับย่าของเขาอีกสักพักก่อน”กู้หว่านเยว่เข้าใ
“เดี๋ยวข้าจะให้เจียงเฟิ่งพาพวกเจ้าไปยังที่ดิน ช่วงนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้เรื่องการปลูกดอกไม้ในที่ดิน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ข้าจะไปตรวจงาน”กู้หว่านเยว่หยิบตำราการดูแลจัดการพื้นที่การเกษตรสองเล่มออกมาวางไว้บนโต๊ะ“พวกเจ้ารู้หนังสือไหม?”“ข้าพอรู้บ้าง แต่แม่ของข้าไม่รู้”เหมยจื่อตาแดง พี่เจิ้งเป็นคนสอนหนังสือให้นาง“เช่นนั้นข้าขอมอบหนังสือสองเล่มนี้ให้เจ้า เจ้าว่างเมื่อไหร่ก็เปิดอ่านดู”การปลูกดอกไม้เป็นเรื่องรอง สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่ชาวสวนดอกไม้ แต่เป็นผู้ที่ดูแลจัดการพื้นที่การเกษตรได้ดี“เจ้าค่ะ บ่าวจะตั้งใจอ่านอย่างเต็มที่”เหมยจื่อรีบรับหนังสือมา สองแม่ลูกเดินตามเจียงเฟิ่งไปกู้หว่านเยว่หันไปมองจ้านจ้านอีกครั้ง เด็กคนนี้เป็นลูกน้อยเทวดา เดินตามชุนเหนียงและจิ่วเหนียงซึ่งเป็นแม่นมทั้งสองอย่างว่าง่าย ไม่ร้องไห้ไม่ส่งเสียงดัง กินอิ่มแล้วก็เข้านอน“พวกบ่าวไม่เคยเลี้ยงเด็กที่สบายใจเช่นนี้มาก่อนเลย”นี่ไม่ใช่คำเยินยอ ทั้งสองชื่นชอบคุณชายน้อยจากใจจริง“อุแว้ อุแว้...” เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือน้อยหย็อย ๆ อยากให้แม่อุ้มละมุนละไมจนหัวใจของกู้หว่านเยว่ละลายไปแล้ว รีบอุ้มจ้านจ้านขึ้นม
“ต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะเผยฮูหยิน ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำเดี๋ยวข้ากลับถึงจวนแล้ว จะให้สาวใช้นำอาหารบำรุงมาส่ง”“ไม่ ไม่ต้องหรอก”เผยฮูหยินรีบปฏิเสธ “คุณหนูฟู่ เจ้ารู้ว่าเสวียนเอ๋อร์ไม่ได้ขาดแคลนสมุนไพร หากเจ้าใช้เวลาอยู่กับเขามากกว่านี้ เขาจะยิ่งดีใจมาก”ว่าแล้วนางก็เช็ดน้ำตาที่หางตา ช่างมีหัวใจของผู้เป็นแม่ที่คิดถึงลูก ต้องการเพียงให้ลูกชายมีความสุขจริง ๆ“ถ้าคุณชายเผยอาการหนัก ก็เรียกหมอได้”ความชอบที่เผยเสวียนมีต่อนาง นางเข้าใจดี แต่นางไม่ได้ชอบอีกฝ่ายเลยเป็นเพื่อนกันได้ แต่หากต้องการการตอบรับ นางไม่สามารถให้ได้“คุณหนูฟู่...” เผยฮูหยินไล่ตามมาถึงประตูก็ยังรั้งเมี่ยชิงหว่านไว้ไม่อยู่ มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ไม่หันหลังกลับ พลางขมวดคิ้ว“คุณหนูฟู่ผู้นี้ใจร้ายมาก ข้าโน้มน้าวถึงขนาดนี้ นางยังไม่อยู่ต่อ”ถ้าเมี่ยชิงหว่านอยู่ที่นี่คงตกใจมาก เผยฮูหยินเปลี่ยนอากัปกิริยาจากแม่ผู้จนปัญญาเมื่อครู่ กลายเป็นเต็มไปด้วยความโกรธเคืองทันทีเผยเสวียนที่ยังนอนพูดจาเลอะเลือนอยู่บนเตียงเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน“ท่านแม่ระวังคำพูดด้วย หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”ที่แท้สองแม่ลูกคู่นี้เส
ทางสายนี้ เว้นเสียแต่ร้านดอกท้อที่มีกิจการเต็มทุกพื้นที่แล้ว ร้านอื่นสองสามแห่งล้วนลำบากมากกู้หว่านเยว่ดื่มชาหนึ่งอึก“กิจการร้านดอกท้อดีเพียงนี้ น่ากลัวว่าร้านขายชาดแห่งอื่นอีกหลายร้านจะต้องนั่งไม่ติดแน่”ชิงเหลียนและหงเจาลำพองใจมาก “พวกเขาร้อนใจไปก็ไม่ได้อะไร ชาดของร้านพวกเราใช้ได้ดีกว่าร้านอื่นมากนัก”ทั้งสองคนพูดไป จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังหน้าประตู“ทุกคนอย่าซื้อที่นี่เลย ร้านเพียวเซียงจวีข้างๆ ขายผงหยกนารี หนึ่งกล่องเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น”วันนี้มิใช่วันที่หนึ่ง และไม่ใช่วันที่สิบห้า ผงหยกนารีของร้านดอกท้อไม่ขายมีคนมากมายล่วงหน้ามาถามถึงผงหยกนารี กลับไม่ได้รับอะไร กำลังผิดหวังอยู่เชียว ก็ได้ยินว่าร้านเพียวเซียงจวีเองก็มีผงหยกนารี แต่ละคนหูตั้งตรง“หนึ่งตำลึง? ผงหยกนารีของร้านดอกท้อตั้งสิบตำลึงนะ”“ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้วกระมัง”“ล้วนเป็นขี้ผึ้งสีขาวเฉกเช่นเดียวกัน แม้แต่กล่องเหล็กก็เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว พวกเราลองไปซื้อดูดีหรือไม่?”ฮูหยินสองสามคนพูดไป จูงมือกันแยกย้ายออกจากร้านดอกท้อ ไปที่ร้านเพียวเซียงจวีทันใดนั้นคนภายในร้านดอกท้อถึงขั้นน้อยลงครึ่งหนึ่งรอยยิ้ม
ถึงตอนนั้น ทุกคนพบว่า ‘ผงหยกนารี’ ของร้านเพียวเซียงจวีเป็นเพียงของหลอกลวงลูกค้า จะต้องกระตุ้นกลุ่มคนอย่างแน่นอน ร้านเพียวเซียงจวีก็ทำได้เพียงยกหินทับเท้าของตนแล้ว“หวังว่าร้านเพียวเซียงจวีจะไม่แกล้งตาย”กู้หว่านเยว่โยน ‘ผงหยกนารี’ ไปที่ด้านข้าง ไม่มีเวลาแม้แต่ชายตาแล หมุนตัวเขียนแผนที่ดินศักดินาหลายวันมานี้ เวลาของนางเกือบถูกใช้ไปจนหมดหลังดอกไม้สดบนที่ดินศักดินาปลูกออกมาแล้ว นางวางแผนสอนคนงานสกัดน้ำมันหอมระเหย ทำน้ำหอมกู้หว่านเยว่นึกถึงภาพในอนาคตภายในสมอง เขียนไปเขียนไปก็หิวบ้างแล้ว ออกจากมิติ“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์วิ่งพรวดพราดเข้ามา“ภายในเมืองมีร้านอาหารเปิดใหม่แห่งหนึ่ง พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”สีหน้านางตื่นเต้น ดวงตาทอประกายระยับ เห็นได้ชัดว่ากำลังวางแผนบางอย่างกู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม “มีอะไรก็พูดโดยตรง”ซูจิ่นเอ๋อร์จิ้มนิ้วเข้าหากันอย่างเก้อกระดาก “ก็ได้ ร้านอาหารนั้นเป็นข้าเปิดเอง วันนี้ทำการค้าเป็นวันแรก ข้าอยากให้พี่สะใภ้ไปช่วยข้าดูๆ หน่อย...”ก่อนนี้ซูจิ่นเอ๋อร์เคยเอ่ยปากกับตนเรื่องอยากเปิดร้านอาหาร หลังแต่งงานก็ไม่ได้ทิ้งกิจการไป เตรียมการอย
อย่าโหดร้ายเพียงนี้ได้หรือไม่ นางเพิ่งเปิดกิจการวันแรก ร้านก็มีนักฆ่าแล้ว คงไม่คิดทำให้โต๊ะเก้าอี้ที่นางตกแต่งอย่างดีต้องพังลงหรอกกระมังซูจิ่นเอ๋อร์รีบตะโกนใส่บ่าวน้อย “รีบไปแจ้งทางการ”จากนั้นหันมองซ่งรั่วเจินอย่างตื่นเต้น “พี่สะใภ้ใหญ่ ใช่หรือไม่ว่านักฆ่าเหล่านี้โจมตีมาที่ท่าน?”“มองดูแล้วไม่เป็นเช่นนั้น”หากโจมตีมาที่นางจริง ไฉนเลยพวกเขาจะยังมีเวลาเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ต้องบุกเข้ามาฆ่าโดยตรงแล้วอย่างแน่นอน“หงเจา เจ้าคุ้มกันจิ่นเอ๋อร์ให้ดี ชิงเหลียนพวกเราออกไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่พาชิงเหลียนออกไป ปรากฏว่าคนชุดดำภายนอกบุกเข้าหาคนภายใน ส่วนคนภายในกลับเป็นคนรู้จักคนหนึ่ง“ชิงหว่าน?”คนชุดดำเหล่านี้ถึงขั้นโจมตีเมี่ยชิงหว่าน“ฮูหยิน จะทำเยี่ยงไร?” ชิงเหลียนเอ่ยถามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไปภายใน “พวกเราไปช่วยเถอะ”ในเมื่อเป็นคนรู้จัก ย่อมไม่สามารถเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยได้ “ฮูหยิน ท่านยืนที่ฝั่งหนึ่งก็พอ ยกให้เป็นหน้าที่บ่าวเองเจ้าค่ะ” แม้กู้หว่านเยว่เดินทางไปทุกหนแห่ง แต่เพิ่งคลอดลูก เรื่องต่อสู้ทำนองนี้ทำร้ายลมปราณ ชิงเหลียนไม่อยากให้นางลงมือ“อืม”กู้หว่านเยว่มองออกว่าค
นางหยิบยาลูกกลอนห้ามเลือดออกมาหนึ่งเม็ด “กินลงไป”“ขอบคุณมากขอรับ”ดวงตาเผยเสวียนทอประกาย กินยาลูกกลอนลงไป เพียงแต่ครู่ต่อมา เขากระอักเลือดออกมาแล้ว แม้แต่ยาลูกกลอนเองก็อาเจียนออกมาด้วยกู้หว่านเยว่ “....”เมี่ยชิงหว่านตำหนิอย่างอดไม่ได้ “ยาลูกกลอนห้ามเลือดนี้เป็นพี่หญิงหว่านเยว่คิดค้นด้วยตนเอง ล้วนให้ท่านห้ามเลือด เหตุใดอาเจียนยาลูกกลอนออกมาแล้วเล่า?”“ขออภัยซูฮูหยิน ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ...”เผยเสวียนมีท่าทางอ่อนแอ ล้มลงหมดสติภายในอ้อมกอดของเมี่ยชิงหว่านเมี่ยชิงหว่านพูดอะไรไม่ออกอีก รับมือไม่ทันอยู่บ้างบ่าวน้อยข้างกายเขารีบพูด “คุณชายได้รับบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ยังพาคนไปส่งที่โรงหมอเถอะ ข้ารู้ว่าละแวกใกล้เคียงนี้มีโรงหมอแห่งหนึ่ง”“เจ้านำทางเถอะ”เมี่ยชิงหว่านรีบสั่งให้คนแบกเผยเสวียน เร่งตามออกไปแล้ว“ซูฮูหยิน บ่าวเองก็ตามคุณหนูไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเซียงค้อมตัวกู้หว่านเยว่กลับเรียกนางไว้แล้ว “เสี่ยวเซียง เหตุใดวันนี้คุณหนูของเจ้ามากินข้าวที่จินโหลวได้เล่า?”“อ้อ ก็เพราะคุณชายเผยท่านนั้น พูดว่าขอบคุณคุณหนูของพวกเราที่ช่วยเขาไว้ในภูเขาหิมะ อยากเลี้ยงข้าวคุณหนูให้ได้ คุณ
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก
สองคนกลับมาหาเสี่ยวถ่านแล้ว พร้อมกับ แจ้งข่าวการตายของเหยลวี่เจิงให้กับทุกคน “เหยลวี่เจิงตายแล้ว?!” เยียนสือซานตกตะลึงไม่สิ้นสุด เขาไม่คิดเลยว่า ระยะเวลาเพียงไม่นาน สองคนสามีภรรยาก็สามารถลงมือสังหารเหยลวี่เจิงได้จริง ๆ “หากเหยลวี่เจิงตายไปแล้ว เกรงว่าทูเจวี๋ยจะต้องเกิดเหตุจลาจลใหญ่หลวงขึ้นแน่?” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ “พวกข้ามาคราวนี้ ก็ด้วยเรื่องของทูเจวี๋ย” สายตาของนางทิ้งมองบนตัวเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน เจ้าเคยบอกว่าเจ้าอยากจะกลับเข้าวังไปหาเสด็จพ่อของเจ้า และทวงความยุติธรรมกลับมามิใช่หรือ? บัดนี้ข้าจะพาเจ้ากลับเข้าวัง” เสี่ยวถ่านยืนอยู่ด้านข้าง ครั้นได้ยินข่าวการตายของเหยลวี่เจิง ก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งตอนที่กู้หว่านเยว่ทิ้งสายตามองบนตัวนาง และบอกกับนางว่าจะพานางกลับเข้าไปในวังหลวง นางก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว “พี่หญิงกู้ ท่านพูดจริงหรือ ท่านมีหนทางจะพาข้ากลับเข้าวังจริงหรือ?” “แน่นอน” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ บอกให้ซูจิ่งสิงแบกเสี่ยวถ่านขึ้นหลัง และสองคนก็จากไปอีกครั้ง ต่างจากตอนที่พวกเขาออกไป กระทั่งพวกเขาย่างเท้าเข้าไปในเมืองอูถ่
ความจริงจะกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขากับซูจิ่งสิงต่อสู้โรมรันกันในสนามรบเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเช่นนี้ ครั้งนั้นที่เจดีย์หนิงกู่ เขาใส่ผงพิษเพื่อลอบทำร้ายเอาไว้ก่อน ถึงทำให้ซูจิ่งสิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าหนนี้กลับมีกู้หว่านเยว่จับตามองอยู่ด้านข้าง แม้ว่าเขาจะอยากลอบใช้อาวุธลับผงพิษอะไร ก็ทำไม่ได้ “ซูจิ่งสิง ข้าจะสังหารเจ้า!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยม สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดในเมืองอูถ่าน ถูกซูจิ่งสิงกระทืบต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมากเช่นนี้ เขารับไม่ไหวแล้วจริง ๆ พยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แต่ผลสุดท้ายซูจิ่งสิงก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เจ้าอยากสังหารข้านักหรือ?” ซูจิ่งสิงประชิดเข้าไปข้างใบหูของเขา ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นออกมา “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่มีวันมอบโอกาสนี้ให้กับเจ้าอีกแล้ว” กู้หว่านเยว่พุ่งมาข้างตัวซูจิ่งสิง “ท่านพี่พลทหารใกล้จะมาถึงแล้ว รีบสังหารเขาเถิด” ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก กู้หว่านเยว่เห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง จึงเตือนสติซูจิ่งสิงอย่ามัวแต่พล่ามอาร
เขานึกเหิมเกริมในใจ คิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองอูถ่าน สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายเขาได้แน่ ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ไว้ ปลายเท้าย่องบนหลังคาไปตลอดทาง ไม่นานนักก็พากู้หว่านเยว่หนีออกไปไกลจากจวนแม่ทัพแล้ว เหยลวี่เจิงไล่ตามหลังพวกเขามาอย่างไม่ลดละ วิชาตัวเบาของเขาก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เพียงครู่เดียว สามคนก็ทิ้งห่างพลทหารด้านหลังแล้ว ผ่านไปไม่นานทั้งสามคน ก็มาอยู่เหนือหอสุราที่คึกคักที่สุดในเมืองอูถ่านแล้ว ตอนนั้นเอง ชาวบ้านที่อยู่ใต้หอสุราก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงเอะอะด้านนอก และพากันชะโงกหน้ายื่นศีรษะออกมาดูเหตุการณ์ เหยลวี่เจิงเห็นซูจิ่งสิงหยุดชะงัก ก็คิดว่าเขาหมดหนทางหนีแล้ว หัวเราะเสียงดังสนั่นพลางกระโจนเข้ามา “ซูจิ่งสิงเอยซูจิ่งสิง ต่อให้น้องสาวเจ้าจะไม่อยู่ในมือข้า บัดนี้ข้าก็ล่อเจ้ามาที่เมืองอูถ่านสำเร็จแล้ว ข้าอยากรู้นัก ว่าคนอย่างเจ้าจะหนีไปที่ใดพ้น” ซูจิ่งสิงปล่อยกู้หว่านเยว่ลง ก่อนจะดึงกระบี่อาทิตย์คำรามออกมาจากเอว พลางจ้องมองเหยลวี่เจิงอย่างเยือกเย็น “เหตุใดข้าจะต้องหนีด้วย หนี้แค้นในอดีตของข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวต้องสะสางให้จบสิ้นแล้ว” “โอหังนัก!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงด
แม้จะแต่งกายไม่คล้ายสตรี ทว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ “ข้าน่ะหรือ ก็คือกู้หว่านเยว่พระชายาอ๋องเจิ้นเป่ย” กู้หว่านเยว่เปิดเผยตัวตนออกมาโดยไม่ขลาดกลัว ถึงอย่างไร วันนี้ นางจะทำให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนได้เห็นประจักษ์ว่า เหยลวี่เจิงจะต้องถูกนางสังหารโหดอย่างไร “กู้หว่านเยว่?” เหยลวี่เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาจำได้ว่าคนสอดแนมที่ถูกส่งตัวเข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่เคยกลับมารายงานว่า ซูจิ่งสิงมีภรรยาที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งอยู่หนึ่งคน ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ แต่ยังมีความคิดล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าซูจิ่งสิงแม้แต่เสี้ยวเดียว เห็นความยุ่งเหยิงอลหม่านของจวนแม่ทัพแล้ว เขาเดือดดาลจนเส้นผมแทบจะตั้งตรงขึ้นมา “พวกเจ้าเผาจวนแม่ทัพของข้าหรือ?” “ไม่ผิด เป็นฝีมือพวกข้าเอง ความจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วมิใช่หรือ เหตุใดท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงถึงยังต้องถามซ้ำอีก?” กู้หว่านเยว่แบมือท่าทางไม่แยแส ต่อให้โกรธจนตายก็ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ปนเอ็นดู เหยลวี่เจิงหน้าเ
บนถนนเมืองอูถ่าน เหยลวี่เจิงดึงสีหน้าเข้มงวด นำกำลังคนไล่บุกค้นบ้านเรือนทีละหลัง หาอยู่นานมากแล้วแต่ยังไม่เจอตัวคน ทำให้สีหน้าของเขาไม่น่ามองอย่างยิ่ง มืดครึ้มดำคล้ำจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำ ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมความกล้าเข้ามาเตือนสติ “ท่านแม่ทัพ เป็นไปได้ว่าพวกเขาหนีไปได้แล้วขอรับ” เขาไม่กล้ายอมรับว่าใช่ พวกซูจิ่งสิงมีวิหคยักษ์ หากว่าวิหคตัวนั้นพาพวกเขาบินหนีออกจากเมืองอูถ่านไปแล้ว ที่พวกเขามั่วค้นหาเหมือนแมลงวันไม่มีหัวอยู่แบบนี้ มิใช่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ? “หุบปาก!” เหยลวี่เจิงตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกมันไม่มีทางหนีไปได้เด็ดขาด” อีกอย่าง ซูจิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ในมือของเขา ตราบใดที่ซูจิ่งสิงไม่อยากให้น้องสาวตาย มันไม่มีทางหนีไปเด็ดขาด แน่นอนว่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เหยลวี่เจิงไม่อยากยอมรับว่าซูจิ่งสิงจะหนีไปแล้ว เขาวางแผนเพื่อวันนี้มายาวนาน จะไม่มีวันปล่อยให้เขาหนีไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด “ค้นหาต่อ!” เหยลวี่เจิงคำรามเสียงดัง ผู้ใต้บังคับบัญชาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ มิใช่ว่าเขาจะเชิดชูความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของผู้อื่นและทำลายฮึกเหิมน่าเกรงขามของตนเอง แ
“ข้าจะบอกเจ้าไว้หนึ่งประโยค หากคิดจะใกล้ชิดกับคนที่เจ้าชมชอบมากขึ้นกว่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพยายามเปลี่ยนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะสามารถไปยืนอยู่เคียงข้างนาง ต่อให้จะเป็นฐานะของสหายคนหนึ่งก็ตาม” เยียนสือซานเติมพลังใจให้เขา เพียงหนึ่งประโยคนั้นสั่นสะเทือนไปถึงหัวใจของเยียนอวิ๋นชู ความปรารถนาอันแรงกล้าผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่เคยคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต “พี่ใหญ่ท่านพูดถูกต้อง ข้าจะต้องขยันตั้งใจ ฟื้นฟูขาคู่นี้ให้กลับมาใช้งานได้ในเร็ววันแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เข็นตัวนี้ให้ได้” “เช่นนี้สิถึงจะเป็นน้องชายของข้า เอาแต่โศกเศร้าแบบนั้นไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” เยียนสือซานหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่เยียนอวิ๋นชูหนัก ๆ ไปหนึ่งที ความพยายามต่อสู้ดิ้นรนภายในใจของเยียนอวิ๋นชู กู้หว่านเยว่ไม่มีทางรับรู้ ถึงอย่างไรกู้หว่านเยว่ก็มองเขาเป็นสหายที่หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันนั้นเอง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงบัดนี้ขี่จูเชวี่ยบินไปยังกลางเมืองอูถ่านแล้ว ความเร็วของจูเชวี่ยว่องไวยิ่งนัก ไม่นานสองคนก็มาถึงเจดีย์เก้าชั้นแล้ว เจดี
เหยลวี่เจิงหลอกเขามาที่ทูเจวี๋ย จากนั้นก็ใช้อำนาจข่มขู่คุกคามเขา เล่นงานน้องชายของเขา แล้วเล่นงานเขาอีก คิดหรือว่าคนอย่างเยียนสือซานจะเป็นก้อนแป้งนุ่ม ๆ ที่คิดจะบีบอย่างไร ก็บีบได้? ถึงเยียนสือซานจะดูเป็นคนไม่เอาไหนอะไร แต่ความเป็นจริงเขาสามารถไปถึงตำแหน่งมือสังหารอันดับหนึ่งบนทะเบียนฟ้าได้ ด้วยประโยชน์จากความทะเยอทะยาน ความกล้าหาญที่จะก้าวรุดไปข้างหน้าโดยไม่กลัวอุปสรรค และความเด็ดเดี่ยวรอบคอบของเขา “เจ้าคนระยำนั่น ข้าจะต้องล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้จงได้” กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้าสบสายตากัน อย่าว่าแต่เยียนสือซานต้องการล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้ได้เลย พวกเขาสองคนเองก็ไม่มีวันปล่อยเหยลวี่เจิงไปเช่นกัน “พี่ใหญ่เยียน บัดนี้บาดแผลท่านยังสาหัสน่าเป็นห่วงนัก ไม่สู้เข้าไปพักผ่อนในรถม้าสักพักก่อนเห็นจะดีกว่า รอบรถม้ามีองครักษ์จันทราของข้าดูแล พวกเขาจะปกป้องท่าน ส่วนเรื่องล้างแค้น ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านพี่ของข้าเถิด” กู้หว่านเยว่เสนอความเห็นให้อีกฝ่ายก่อน มุมปากประดับรอยยิ้มบาง ๆ ทุกคนต่างคิดว่า นางจะขี่วิหคจูเชวี่ยหลบหนีไปก็เท่านั้น? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง! คนที่จะ
ระหว่างที่พูดคุยกัน จูเชวี่ยบินเข้าใกล้ป่าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานจากนั้นก็ร่อนลงสู่ป่าเรียบร้อย คนบนนั้นกระโดดลงจากหลังวิหคทันใด “โฮก!” จูเชวี่ยมองเยียนสือซานด้วยความโกรธเกรี้ยว เจ้าตัวยักษ์นี่ คนเดียวตัวหนักเท่าสามคน มันแทบจะหมดแรงตายอยู่แล้ว “สหายตัวน้อย ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” ต่อหน้าสองคน กู้หว่านเยว่เองก็ไม่สะดวก ที่จะเก็บจูเชวี่ยเข้ามิติโดยตรง ทำได้เพียงบอกให้มันไปพักผ่อนอยู่ที่ตรงนั้นก่อนสักระยะเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ระยะนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่านับวันจูเชวี่ยยิ่งนิสัยคล้ายมนุษย์ เพียงมองสายตาของจูเชวี่ย นางก็รู้ทันทีว่ามันกำลังคิดอะไร หากว่าสักวันหนึ่งพลันมีเสียงของจูเชวี่ยดังขึ้นในหัว นางก็คงจะไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว “โฮกโฮก” จูเชวี่ยเข้าใจคำพูดของกู้หว่านเยว่ มันถูไถตัวของมันเองเบา ๆ จากนั้นก็เดินไปหลังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะฟุบลงพักผ่อน กลุ่มคนเหล่านั้นรอเพียงไม่นานนัก ชิงเหลียนก็เคลื่อนรถม้ามาถึงแล้ว “ฮูหยินนายท่าน พวกท่านปลอดภัยดีนะเจ้าคะ?” “พี่รองกู้ พวกท่านปลอดภัยดีนะขอรับ?” ชิงเหลียนและเสี่ยวถ่านกระโดดลงจากรถม้าพร้อมกัน และเดินไปหาคนเหล่านั้