ทางสายนี้ เว้นเสียแต่ร้านดอกท้อที่มีกิจการเต็มทุกพื้นที่แล้ว ร้านอื่นสองสามแห่งล้วนลำบากมากกู้หว่านเยว่ดื่มชาหนึ่งอึก“กิจการร้านดอกท้อดีเพียงนี้ น่ากลัวว่าร้านขายชาดแห่งอื่นอีกหลายร้านจะต้องนั่งไม่ติดแน่”ชิงเหลียนและหงเจาลำพองใจมาก “พวกเขาร้อนใจไปก็ไม่ได้อะไร ชาดของร้านพวกเราใช้ได้ดีกว่าร้านอื่นมากนัก”ทั้งสองคนพูดไป จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังหน้าประตู“ทุกคนอย่าซื้อที่นี่เลย ร้านเพียวเซียงจวีข้างๆ ขายผงหยกนารี หนึ่งกล่องเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น”วันนี้มิใช่วันที่หนึ่ง และไม่ใช่วันที่สิบห้า ผงหยกนารีของร้านดอกท้อไม่ขายมีคนมากมายล่วงหน้ามาถามถึงผงหยกนารี กลับไม่ได้รับอะไร กำลังผิดหวังอยู่เชียว ก็ได้ยินว่าร้านเพียวเซียงจวีเองก็มีผงหยกนารี แต่ละคนหูตั้งตรง“หนึ่งตำลึง? ผงหยกนารีของร้านดอกท้อตั้งสิบตำลึงนะ”“ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้วกระมัง”“ล้วนเป็นขี้ผึ้งสีขาวเฉกเช่นเดียวกัน แม้แต่กล่องเหล็กก็เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว พวกเราลองไปซื้อดูดีหรือไม่?”ฮูหยินสองสามคนพูดไป จูงมือกันแยกย้ายออกจากร้านดอกท้อ ไปที่ร้านเพียวเซียงจวีทันใดนั้นคนภายในร้านดอกท้อถึงขั้นน้อยลงครึ่งหนึ่งรอยยิ้ม
ถึงตอนนั้น ทุกคนพบว่า ‘ผงหยกนารี’ ของร้านเพียวเซียงจวีเป็นเพียงของหลอกลวงลูกค้า จะต้องกระตุ้นกลุ่มคนอย่างแน่นอน ร้านเพียวเซียงจวีก็ทำได้เพียงยกหินทับเท้าของตนแล้ว“หวังว่าร้านเพียวเซียงจวีจะไม่แกล้งตาย”กู้หว่านเยว่โยน ‘ผงหยกนารี’ ไปที่ด้านข้าง ไม่มีเวลาแม้แต่ชายตาแล หมุนตัวเขียนแผนที่ดินศักดินาหลายวันมานี้ เวลาของนางเกือบถูกใช้ไปจนหมดหลังดอกไม้สดบนที่ดินศักดินาปลูกออกมาแล้ว นางวางแผนสอนคนงานสกัดน้ำมันหอมระเหย ทำน้ำหอมกู้หว่านเยว่นึกถึงภาพในอนาคตภายในสมอง เขียนไปเขียนไปก็หิวบ้างแล้ว ออกจากมิติ“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์วิ่งพรวดพราดเข้ามา“ภายในเมืองมีร้านอาหารเปิดใหม่แห่งหนึ่ง พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”สีหน้านางตื่นเต้น ดวงตาทอประกายระยับ เห็นได้ชัดว่ากำลังวางแผนบางอย่างกู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม “มีอะไรก็พูดโดยตรง”ซูจิ่นเอ๋อร์จิ้มนิ้วเข้าหากันอย่างเก้อกระดาก “ก็ได้ ร้านอาหารนั้นเป็นข้าเปิดเอง วันนี้ทำการค้าเป็นวันแรก ข้าอยากให้พี่สะใภ้ไปช่วยข้าดูๆ หน่อย...”ก่อนนี้ซูจิ่นเอ๋อร์เคยเอ่ยปากกับตนเรื่องอยากเปิดร้านอาหาร หลังแต่งงานก็ไม่ได้ทิ้งกิจการไป เตรียมการอย
อย่าโหดร้ายเพียงนี้ได้หรือไม่ นางเพิ่งเปิดกิจการวันแรก ร้านก็มีนักฆ่าแล้ว คงไม่คิดทำให้โต๊ะเก้าอี้ที่นางตกแต่งอย่างดีต้องพังลงหรอกกระมังซูจิ่นเอ๋อร์รีบตะโกนใส่บ่าวน้อย “รีบไปแจ้งทางการ”จากนั้นหันมองซ่งรั่วเจินอย่างตื่นเต้น “พี่สะใภ้ใหญ่ ใช่หรือไม่ว่านักฆ่าเหล่านี้โจมตีมาที่ท่าน?”“มองดูแล้วไม่เป็นเช่นนั้น”หากโจมตีมาที่นางจริง ไฉนเลยพวกเขาจะยังมีเวลาเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ต้องบุกเข้ามาฆ่าโดยตรงแล้วอย่างแน่นอน“หงเจา เจ้าคุ้มกันจิ่นเอ๋อร์ให้ดี ชิงเหลียนพวกเราออกไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่พาชิงเหลียนออกไป ปรากฏว่าคนชุดดำภายนอกบุกเข้าหาคนภายใน ส่วนคนภายในกลับเป็นคนรู้จักคนหนึ่ง“ชิงหว่าน?”คนชุดดำเหล่านี้ถึงขั้นโจมตีเมี่ยชิงหว่าน“ฮูหยิน จะทำเยี่ยงไร?” ชิงเหลียนเอ่ยถามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไปภายใน “พวกเราไปช่วยเถอะ”ในเมื่อเป็นคนรู้จัก ย่อมไม่สามารถเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยได้ “ฮูหยิน ท่านยืนที่ฝั่งหนึ่งก็พอ ยกให้เป็นหน้าที่บ่าวเองเจ้าค่ะ” แม้กู้หว่านเยว่เดินทางไปทุกหนแห่ง แต่เพิ่งคลอดลูก เรื่องต่อสู้ทำนองนี้ทำร้ายลมปราณ ชิงเหลียนไม่อยากให้นางลงมือ“อืม”กู้หว่านเยว่มองออกว่าค
นางหยิบยาลูกกลอนห้ามเลือดออกมาหนึ่งเม็ด “กินลงไป”“ขอบคุณมากขอรับ”ดวงตาเผยเสวียนทอประกาย กินยาลูกกลอนลงไป เพียงแต่ครู่ต่อมา เขากระอักเลือดออกมาแล้ว แม้แต่ยาลูกกลอนเองก็อาเจียนออกมาด้วยกู้หว่านเยว่ “....”เมี่ยชิงหว่านตำหนิอย่างอดไม่ได้ “ยาลูกกลอนห้ามเลือดนี้เป็นพี่หญิงหว่านเยว่คิดค้นด้วยตนเอง ล้วนให้ท่านห้ามเลือด เหตุใดอาเจียนยาลูกกลอนออกมาแล้วเล่า?”“ขออภัยซูฮูหยิน ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ...”เผยเสวียนมีท่าทางอ่อนแอ ล้มลงหมดสติภายในอ้อมกอดของเมี่ยชิงหว่านเมี่ยชิงหว่านพูดอะไรไม่ออกอีก รับมือไม่ทันอยู่บ้างบ่าวน้อยข้างกายเขารีบพูด “คุณชายได้รับบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ยังพาคนไปส่งที่โรงหมอเถอะ ข้ารู้ว่าละแวกใกล้เคียงนี้มีโรงหมอแห่งหนึ่ง”“เจ้านำทางเถอะ”เมี่ยชิงหว่านรีบสั่งให้คนแบกเผยเสวียน เร่งตามออกไปแล้ว“ซูฮูหยิน บ่าวเองก็ตามคุณหนูไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเซียงค้อมตัวกู้หว่านเยว่กลับเรียกนางไว้แล้ว “เสี่ยวเซียง เหตุใดวันนี้คุณหนูของเจ้ามากินข้าวที่จินโหลวได้เล่า?”“อ้อ ก็เพราะคุณชายเผยท่านนั้น พูดว่าขอบคุณคุณหนูของพวกเราที่ช่วยเขาไว้ในภูเขาหิมะ อยากเลี้ยงข้าวคุณหนูให้ได้ คุณ
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง? นักฆ่าเหล่านั้นทำร้ายเจ้าหรือไม่ ให้ข้าดูเร็วเข้า”ท่าทางนั้นของซูจิ่งสิง ร้อนใจจนเกือบดึงกู้หว่านเยว่ขึ้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หัวเราะ มองเหงื่อเม็ดโตเต็มศีรษะซูจิ่งสิง หยิบผ้าเช็ดหน้าช่วยเขาเช็ด“มีองครักษ์จันทราอยู่ ท่านกังวลอะไรข้ากันเล่า?”สีหน้าซูจิ่งสิงแดงเรื่อ“ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ว้าวุ่นไปชั่วขณะ”วันนี้เขาอยู่ในค่ายทหารตลอดเวลา เพิ่งกลับถึงบ้าน บ่าวรับใช้ก็รายงานข่าวนี้แก่เขา“ข้าให้ห้องครัวเล็กเตรียมของกินให้ท่านสักหน่อย”กู้หว่านเยว่เดาว่าเขาเพิ่งกลับมาถึง จะต้องยังไม่ได้กินมื้อเย็น“ซูจิ่นเอ๋อร์เด็กคนนี้ อยู่ดีๆ ก็เรียกเจ้าไปกินข้าวที่ร้านอาหารเสียได้”ซูจิ่งสิงยังกังวลเรื่องนักฆ่า ทำให้กู้หว่านเยว่ช่วยพูดแทนจิ่นเอ๋อร์สองประโยค“ร้านอาหารนั้นเป็นจิ่นเอ๋อร์แอบเปิด นางเชิญข้าไปช่วยดู ก็โชคร้ายจริง เพิ่งเปิดกิจการเพียงวันเดียวก็พบนักฆ่าแล้ว”“นางเล่นอะไร?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว ไม่แปลกที่เขาคิดเช่นนี้ ก่อนนี้ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่น่าเชื่อถือมากเกินไปจู่ๆ ก็โตขึ้น ทำให้คนไม่คุ้นชิน“ข้าจะให้คนสืบเรื่องนักฆ่าเหล่านั้นดีๆ”ซูจิ่งสิงเ
ก่อนนี้พวกเขาล้วนอาศัยหลี่เฉินอันมาควบคุมเจดีย์หนิงกู่ บัดนี้เจดีย์หนิงกู่สามารถตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาได้ ให้เขาเป็นคนควบคุมดูแล ก็ย่อมสะดวกไม่น้อย“ใช่แล้ว อาการบาดเจ็บของจื่อชิงเป็นเช่นไร?”ซูจิ่งสิงยุ่งอยู่กับงาน ห่วงใยอาการบาดเจ็บของน้องชายตนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้สองวันมานี้เขามิได้ไปเยี่ยมอีกฝ่ายที่เรือนด้านข้าง มิใช่เพราะไม่ห่วงใยอีกฝ่าย เพียงแต่กังวลหากได้เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของอีกฝ่ายอีกครั้ง จะโมโหขึ้นมา“บาดแผลกลับดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เดิมทีก็ไม่ได้บาดเจ็บลึกถึงกระดูกเส้นเอ็น ใส่ยาแล้วระดับเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติก็ดีขึ้นไม่น้อย ต่อจากนี้ก็รอเพียงเวลารักษาให้หายดี”กู้หว่านเยว่เงียบลงครู่หนึ่ง“แต่บาดแผลภายนอกเป็นเรื่องเล็ก ข้าเห็นเขาเจ็บปวดภายในใจอย่างแท้จริง ท่านเองก็รู้เรื่องของเขา...”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าและเจ้าสามารถจัดการได้ หากเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ก็สมควรไปบอกความในใจของตนต่อฝ่ายหญิง ในเมื่อเขาไม่กล้าไป เช่นนั้นตอนนี้จะเป็นจะตายก็สมควรแล้ว ใครให้เขาอดกลั้นไว้เองเล่า”กู้หว่านเยว่ได้ยินถ้อยคำนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดระงับ แม้คำพูดหยาบกระด้างเ
“เสี่ยวจ้านจ้าน ย่าไปเลี้ยงหมูแล้ว ภายภาคหน้าจะทำหมูหันให้เจ้ากิน”นางหยางอุ้มจ้านจ้านหอมแล้วหอมอีก นางมิอาจหักใจออกห่างจากจ้านจ้าน เลี้ยงหมูก็หมายความว่าไม่มีเวลาเลี้ยงเด็กอีก“อืม?”เสี่ยวจ้านจ้านได้ยินว่าหมูหัน ดวงตาทอประกายแต่เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้เป็นคนหน้าตายคล้ายบิดาเขา อารมณ์บนใบหน้ายังไม่เปลี่ยนไปหมูหันๆๆ...ดีที่สุดคือโรยผงยี่หร่าลงไป เขาชอบกินหมูหันที่ท่านแม่ทำที่สุดเลย! ในอดีต“หว่านเยว่ รอฟาร์มหมูเปิดแล้ว เจ้ารับกำไรหกส่วน”นางหยางพูดอย่างกะทันหัน ทำเสียจนกู้หว่านเยว่แปลกใจ“ท่านแม่ ท่านและท่านพ่อเป็นคนเลี้ยงหมู ข้าจะรับได้อย่างไร?”นางเองก็ไม่ขาดเงินเลี้ยงหมูแค่นี้เสียหน่อย ไม่จำเป็นเลยจริงๆ“เรื่องนี้แม่ตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องใส่ใจ”สายตานางหยางหนักแน่นก่อนนี้นางก็ปรึกษากับซูจิ้ง รอเลี้ยงหมูได้เงิน แบ่งครึ่งหนึ่งให้กู้หว่านเยว่ครอบครัวของพวกเขาสามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ ทั้งหมดล้วนพึ่งพาสะใภ้หากต้องคำนวณดูจริงๆ พวกเขาทั้งครอบครัวติดหนี้บุญคุณหว่านเยว่ ชดใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดยิ่งไปกว่านั้นหว่านเยว่ยังคลอดลูกตัวอ้วนใหญ่ออกมาให้จิ่งสิง หากองค์รัชทายาทและพระช
“ข้า ข้า...” เห็นได้ชัดว่าสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซูคล้ายไม่ดีใจ“ท่านแม่?”ซูจิ้งขมวดคิ้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ชอบเขามาโดยตลอด“เจ้าสาม เจ้ายังเหม่ออะไร ท่านแม่จะต้องอาการกำเริบอย่างแน่นอนเจ้ารีบยกท่านแม่เข้าไป เชิญหมอมา”ซูหัวหยางวางอำนาจของพี่ชายคนโต ทำเสียจนกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว“ใช่แล้ว เตรียมอาหารหนึ่งโต๊ะ เตรียมสุราให้ข้าสักหน่อย พวกเราไม่ได้กินข้าวหลายวันแล้ว”“ท่านพี่ อย่าสนใจพวกเขา”นางหยางกระซิบเสียงค่อย กังวลซูจิ่งสิงจะโมโหสรุปคือถูกซูหัวหยางสบถด่า “น้องสะใภ้สาม เจ้าไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว นี่คือท่านแม่ของพวกเรา มีเจ้าหญิงพรรค์นี้ ถึงสั่งสอนจิ่งสิงจนเหลวไหล ข้าจะให้เจ้าสามหย่ากับเจ้า”“ท่าน...”นางหยางอึดอัดใจตาแดงแล้ว สำคัญคือกลัวซูจิ้งจะเชื่อคำพูดของสกุลซู หย่านางเพียงซูจิ้งได้ยินว่าให้หย่าภรรยาสีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมาเขียน“พวกท่านไปเถอะ ข้าไม่สนใจ”“เจ้าสาม เจ้าถึงขั้นไม่สนใจ? นี่คือแม่แท้ๆ ของเจ้านะ เจ้าใจดำอำมหิตเกินไปแล้ว!”ซูหัวหยางกระทืบเท้า สบถด่า“จิ่งสิงเด็กคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุก ที่แท้ก็เหมือนเจ้านี่เอง!”เขานั่งลงหน้าปร
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช