นางหยิบยาลูกกลอนห้ามเลือดออกมาหนึ่งเม็ด “กินลงไป”“ขอบคุณมากขอรับ”ดวงตาเผยเสวียนทอประกาย กินยาลูกกลอนลงไป เพียงแต่ครู่ต่อมา เขากระอักเลือดออกมาแล้ว แม้แต่ยาลูกกลอนเองก็อาเจียนออกมาด้วยกู้หว่านเยว่ “....”เมี่ยชิงหว่านตำหนิอย่างอดไม่ได้ “ยาลูกกลอนห้ามเลือดนี้เป็นพี่หญิงหว่านเยว่คิดค้นด้วยตนเอง ล้วนให้ท่านห้ามเลือด เหตุใดอาเจียนยาลูกกลอนออกมาแล้วเล่า?”“ขออภัยซูฮูหยิน ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ...”เผยเสวียนมีท่าทางอ่อนแอ ล้มลงหมดสติภายในอ้อมกอดของเมี่ยชิงหว่านเมี่ยชิงหว่านพูดอะไรไม่ออกอีก รับมือไม่ทันอยู่บ้างบ่าวน้อยข้างกายเขารีบพูด “คุณชายได้รับบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ยังพาคนไปส่งที่โรงหมอเถอะ ข้ารู้ว่าละแวกใกล้เคียงนี้มีโรงหมอแห่งหนึ่ง”“เจ้านำทางเถอะ”เมี่ยชิงหว่านรีบสั่งให้คนแบกเผยเสวียน เร่งตามออกไปแล้ว“ซูฮูหยิน บ่าวเองก็ตามคุณหนูไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเซียงค้อมตัวกู้หว่านเยว่กลับเรียกนางไว้แล้ว “เสี่ยวเซียง เหตุใดวันนี้คุณหนูของเจ้ามากินข้าวที่จินโหลวได้เล่า?”“อ้อ ก็เพราะคุณชายเผยท่านนั้น พูดว่าขอบคุณคุณหนูของพวกเราที่ช่วยเขาไว้ในภูเขาหิมะ อยากเลี้ยงข้าวคุณหนูให้ได้ คุณ
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง? นักฆ่าเหล่านั้นทำร้ายเจ้าหรือไม่ ให้ข้าดูเร็วเข้า”ท่าทางนั้นของซูจิ่งสิง ร้อนใจจนเกือบดึงกู้หว่านเยว่ขึ้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หัวเราะ มองเหงื่อเม็ดโตเต็มศีรษะซูจิ่งสิง หยิบผ้าเช็ดหน้าช่วยเขาเช็ด“มีองครักษ์จันทราอยู่ ท่านกังวลอะไรข้ากันเล่า?”สีหน้าซูจิ่งสิงแดงเรื่อ“ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ว้าวุ่นไปชั่วขณะ”วันนี้เขาอยู่ในค่ายทหารตลอดเวลา เพิ่งกลับถึงบ้าน บ่าวรับใช้ก็รายงานข่าวนี้แก่เขา“ข้าให้ห้องครัวเล็กเตรียมของกินให้ท่านสักหน่อย”กู้หว่านเยว่เดาว่าเขาเพิ่งกลับมาถึง จะต้องยังไม่ได้กินมื้อเย็น“ซูจิ่นเอ๋อร์เด็กคนนี้ อยู่ดีๆ ก็เรียกเจ้าไปกินข้าวที่ร้านอาหารเสียได้”ซูจิ่งสิงยังกังวลเรื่องนักฆ่า ทำให้กู้หว่านเยว่ช่วยพูดแทนจิ่นเอ๋อร์สองประโยค“ร้านอาหารนั้นเป็นจิ่นเอ๋อร์แอบเปิด นางเชิญข้าไปช่วยดู ก็โชคร้ายจริง เพิ่งเปิดกิจการเพียงวันเดียวก็พบนักฆ่าแล้ว”“นางเล่นอะไร?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว ไม่แปลกที่เขาคิดเช่นนี้ ก่อนนี้ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่น่าเชื่อถือมากเกินไปจู่ๆ ก็โตขึ้น ทำให้คนไม่คุ้นชิน“ข้าจะให้คนสืบเรื่องนักฆ่าเหล่านั้นดีๆ”ซูจิ่งสิงเ
ก่อนนี้พวกเขาล้วนอาศัยหลี่เฉินอันมาควบคุมเจดีย์หนิงกู่ บัดนี้เจดีย์หนิงกู่สามารถตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาได้ ให้เขาเป็นคนควบคุมดูแล ก็ย่อมสะดวกไม่น้อย“ใช่แล้ว อาการบาดเจ็บของจื่อชิงเป็นเช่นไร?”ซูจิ่งสิงยุ่งอยู่กับงาน ห่วงใยอาการบาดเจ็บของน้องชายตนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้สองวันมานี้เขามิได้ไปเยี่ยมอีกฝ่ายที่เรือนด้านข้าง มิใช่เพราะไม่ห่วงใยอีกฝ่าย เพียงแต่กังวลหากได้เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของอีกฝ่ายอีกครั้ง จะโมโหขึ้นมา“บาดแผลกลับดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เดิมทีก็ไม่ได้บาดเจ็บลึกถึงกระดูกเส้นเอ็น ใส่ยาแล้วระดับเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติก็ดีขึ้นไม่น้อย ต่อจากนี้ก็รอเพียงเวลารักษาให้หายดี”กู้หว่านเยว่เงียบลงครู่หนึ่ง“แต่บาดแผลภายนอกเป็นเรื่องเล็ก ข้าเห็นเขาเจ็บปวดภายในใจอย่างแท้จริง ท่านเองก็รู้เรื่องของเขา...”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าและเจ้าสามารถจัดการได้ หากเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ก็สมควรไปบอกความในใจของตนต่อฝ่ายหญิง ในเมื่อเขาไม่กล้าไป เช่นนั้นตอนนี้จะเป็นจะตายก็สมควรแล้ว ใครให้เขาอดกลั้นไว้เองเล่า”กู้หว่านเยว่ได้ยินถ้อยคำนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดระงับ แม้คำพูดหยาบกระด้างเ
“เสี่ยวจ้านจ้าน ย่าไปเลี้ยงหมูแล้ว ภายภาคหน้าจะทำหมูหันให้เจ้ากิน”นางหยางอุ้มจ้านจ้านหอมแล้วหอมอีก นางมิอาจหักใจออกห่างจากจ้านจ้าน เลี้ยงหมูก็หมายความว่าไม่มีเวลาเลี้ยงเด็กอีก“อืม?”เสี่ยวจ้านจ้านได้ยินว่าหมูหัน ดวงตาทอประกายแต่เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้เป็นคนหน้าตายคล้ายบิดาเขา อารมณ์บนใบหน้ายังไม่เปลี่ยนไปหมูหันๆๆ...ดีที่สุดคือโรยผงยี่หร่าลงไป เขาชอบกินหมูหันที่ท่านแม่ทำที่สุดเลย! ในอดีต“หว่านเยว่ รอฟาร์มหมูเปิดแล้ว เจ้ารับกำไรหกส่วน”นางหยางพูดอย่างกะทันหัน ทำเสียจนกู้หว่านเยว่แปลกใจ“ท่านแม่ ท่านและท่านพ่อเป็นคนเลี้ยงหมู ข้าจะรับได้อย่างไร?”นางเองก็ไม่ขาดเงินเลี้ยงหมูแค่นี้เสียหน่อย ไม่จำเป็นเลยจริงๆ“เรื่องนี้แม่ตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องใส่ใจ”สายตานางหยางหนักแน่นก่อนนี้นางก็ปรึกษากับซูจิ้ง รอเลี้ยงหมูได้เงิน แบ่งครึ่งหนึ่งให้กู้หว่านเยว่ครอบครัวของพวกเขาสามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ ทั้งหมดล้วนพึ่งพาสะใภ้หากต้องคำนวณดูจริงๆ พวกเขาทั้งครอบครัวติดหนี้บุญคุณหว่านเยว่ ชดใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดยิ่งไปกว่านั้นหว่านเยว่ยังคลอดลูกตัวอ้วนใหญ่ออกมาให้จิ่งสิง หากองค์รัชทายาทและพระช
“ข้า ข้า...” เห็นได้ชัดว่าสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าซูคล้ายไม่ดีใจ“ท่านแม่?”ซูจิ้งขมวดคิ้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ชอบเขามาโดยตลอด“เจ้าสาม เจ้ายังเหม่ออะไร ท่านแม่จะต้องอาการกำเริบอย่างแน่นอนเจ้ารีบยกท่านแม่เข้าไป เชิญหมอมา”ซูหัวหยางวางอำนาจของพี่ชายคนโต ทำเสียจนกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว“ใช่แล้ว เตรียมอาหารหนึ่งโต๊ะ เตรียมสุราให้ข้าสักหน่อย พวกเราไม่ได้กินข้าวหลายวันแล้ว”“ท่านพี่ อย่าสนใจพวกเขา”นางหยางกระซิบเสียงค่อย กังวลซูจิ่งสิงจะโมโหสรุปคือถูกซูหัวหยางสบถด่า “น้องสะใภ้สาม เจ้าไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว นี่คือท่านแม่ของพวกเรา มีเจ้าหญิงพรรค์นี้ ถึงสั่งสอนจิ่งสิงจนเหลวไหล ข้าจะให้เจ้าสามหย่ากับเจ้า”“ท่าน...”นางหยางอึดอัดใจตาแดงแล้ว สำคัญคือกลัวซูจิ้งจะเชื่อคำพูดของสกุลซู หย่านางเพียงซูจิ้งได้ยินว่าให้หย่าภรรยาสีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมาเขียน“พวกท่านไปเถอะ ข้าไม่สนใจ”“เจ้าสาม เจ้าถึงขั้นไม่สนใจ? นี่คือแม่แท้ๆ ของเจ้านะ เจ้าใจดำอำมหิตเกินไปแล้ว!”ซูหัวหยางกระทืบเท้า สบถด่า“จิ่งสิงเด็กคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุก ที่แท้ก็เหมือนเจ้านี่เอง!”เขานั่งลงหน้าปร
“เจ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ไม่ใช่แม่แท้ๆ อะไร ข้าก็คือแม่แท้ๆ ของเจ้าสาม”ฮูหยินผู้เฒ่าซูที่กำลังป่วยเกินเยียวยามีแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทว่าเสียงนั้น ฟังอย่างไรก็คล้ายกำลังร้อนตัวเดิมทีซูจิ้งคิดว่าลูกสะใภ้พูดเหลวไหล หันมองทางฮูหยินผู้เฒ่าซูอย่างอดไม่ได้“ท่านแม่ ท่านไม่ใช่แม่แท้ๆ ของข้าจริงหรือ?”“ท่านพ่อ ตอนท่านยังเด็กใช่หรือไม่ว่ามีแม่นมท่านหนึ่ง?”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่มั่นใจมาก แต่จำได้ว่าภายในหนังสือมีบทนี้จริง“มีแม่นมท่านหนึ่งจริง แต่ว่า...” ซูจิ้งย้อนคิด เรื่องตอนเด็ก ตอนนี้เขาจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว“ตอนข้าสามขวบ นางก็กลับบ้านเดิมไปแต่งงานแล้ว”ตอนนั้นซูจิ้งเสียใจมากเพราะนับตั้งแต่เขาคลอดออกมา ก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากฮูหยินผู้เฒ่าซู ปกติก็โยนเขาให้แม่นมชนิดที่ว่าสิบวันจนถึงครึ่งเดือนก็ล้วนไม่สนใจเขาดังนั้นตอนซูจิ้งยังเด็ก เกือบเป็นแม่นมท่านนั้นเลี้ยงจนโตเขาจำได้ ตอนนั้นหลังแม่นมกลับบ้านไปแต่งงาน เขายังร้องไห้ระยะหนึ่งสรุปคือฮูหยินผู้เฒ่าซูสั่งคนตีเขาหนึ่งยก เรื่องนี้ถึงผ่านไป“แต่งงาน? ตอนนี้นางอาจยังอยู่ในบ่อน้ำที่สวนดอกไม้ด้านหลังเรือนสกุลซู...”ภายในหนังสือ ฮูห
“สวะ?”ซูจิ้งสัมผัสได้ ยามฮูหยินผู้เฒ่าซูพูดว่าสวะ สายตาทอดมองมาที่ตนข้อสันนิษฐานภายในใจแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น ความคิดเหลือจะเชื่อผุดออกมา“สวะคนนั้นที่ท่านพูดถึง คือข้า?”ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ อย่างไรเสียนับตั้งแต่เขาคลอดออกมาก็มิได้ทำอะไร แต่กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าซูเกลียดทั้งๆ ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูคลอดลูกชายออกมามากเพียงนั้น แต่นางดีต่อลูกคนอื่นมาก เว้นเสียแต่เขา ทุกครั้งแม้แต่สบตากันสักครั้งก็เป็นเรื่องยากซูจิ้งจำได้ ตอนเขายังเด็กก็เคยเสียใจเพราะเรื่องนี้มาก่อนต่อมาเขาโตแล้ว ค่อยๆ ปลอบตนเอง เป็นเพราะพี่น้องภายในบ้านมีมากเกินไป ดังนั้นท่านแม่เมินข้ามก็เป็นเรื่องปกติตอนนี้เห็นทีมิใช่ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่ลูกชายของฮูหยินผู้เฒ่าซูตั้งแต่แรก“ไม่ เจ้าเป็นลูกชายของข้า...” ฮูหยินผู้เฒ่าซูลนลาน ไม่กล้ายอมรับฉู่เฟิงได้รับสายตาจากซูจิ่งสิง รีบขยับขึ้นไป จับฮูหยินผู้เฒ่าซูกดลงพื้น บิดแขนนางแรงๆ“เจ็บ เจ็บเหลือเกิน!”น้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่าซูไหลออกมา รีบร้องอ้อนวอน“พูด ไม่พูดข้าจะทำให้ท่านอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ตายก็ตายไม่ได้”เสียงเยียบเย็นของซูจ
กู้หว่านเยว่กลับไม่เห็นใจ นี่คือผลจากการรนหาที่ของนาง เพียงสงสารนางหลี่“หลังนายท่านตื่นขึ้นมา ก็ต้องการรับนางหลี่เป็นอนุ ข้าโวยวายยกใหญ่ ขัดขวางไว้แล้ว”ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มเย็นยังดีคืนวันนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว นายท่านผู้เฒ่าซูไม่พบว่า คืนก่อนหน้านั้นเขาถูกวางยาจึงปล่อยใจไปเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซูอาศัยโอกาสนี้บังคับเขา ห้ามมิให้รับนางหลี่เข้ามา“ใครรู้ ท้องของนางแพศยาคนนั้นกลับบากบั่น ตั้งครรภ์เด็กแล้วนายท่านรู้ว่านางมีลูก ไม่สนใจคำคัดค้านของข้าจะรับนางเป็นอนุให้ได้ เหตุผลคือไม่สามารถปล่อยให้เด็กคลอดออกมาแล้วไม่มีฐานะชัดเจนได้ข้าทำได้เพียงใช้ความตายมาบีบคั้น เสนอว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว สามารถใช้ชื่อของข้าได้สำหรับนางหลี่คนนั้น มอบเงินให้นางหนึ่งก้อนก็ไล่นางไป”ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มเย็น ซูจิ้งนึกถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของกู้หว่านเยว่ สันหลังเย็นวาบ“ในเมื่อท่านพูดว่าจะปล่อยนางไป เหตุใดท่านต้องฆ่านางด้วย?”“ข้ากลัว สายตาของนายท่านค่อยๆ หยุดที่นางแพศยาคนนั้น ข้าไม่ฆ่านางไม่ได้”ฮูหยินผู้เฒ่าซูจับจ้องซูจิ้งอย่างเย็นชา ในเมื่อพูดเรื่องในอดีตออกมาทั้งหมดแล้ว ตอนนี้นางก็ไม่กลัวอีก“เจ้ารู้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง
“ท่านอาเทพธิดา” เว่ยเสียวฉู่ก้มหน้ามองกู้หว่านเยว่ด้วยความชื่นชอบ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยหลังจากให้กำเนิดบุตรชาย กู้หว่านเยว่ไม่อาจต้านทานเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารักได้อีก กระทั่งโน้มตัวลงไปบีบแก้มของนาง“สวัสดี เว่ยเสียวฉู่”“ท่านอาเทพธิดา ท้องละเจ้าคะ?” เว่ยเสียวฉู่ชี้ไปที่ท้องของนางด้วยความอยากรู้ กู้หว่านเยว่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “เด็กในท้องคลอดออกมาแล้ว เป็นน้องชายตัวน้อย”นัยน์ตาของเว่ยเสียวฉู่เปล่งประกายระยิบ นางไม่มีเพื่อนเล่นเลยตั้งแต่ที่มาถึงเจดีย์หนิงกู่“ข้าขอไปเล่นกับน้องชายได้หรือไม่เจ้าคะ?”“เสี่ยวฉู่” เจียงหรงอุ้มเด็กน้อยพลางกล่าว “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ พระชายา นางยังเด็กยังไม่รู้ความ”สำหรับนางแล้ว องค์ชายน้อยจากราชวงศ์ไม่ใช่ใครที่จะเล่นกับเขาได้นะ?กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ข้าชอบเด็กอย่างเสี่ยวฉู่ หากมีเวลาว่าง ไว้ข้าจะพานางไปเล่นในจวน” เด็กคนนี้ดูมีความจริงใจ หลังเติบโตไปเด็กคนนี้จะได้เป็นท่านแม่ทัพหญิงที่องอาจผึ่งผาย กู้หว่านเยว่จึงชอบมาก“ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ”เจียงหรงคลี่ยิ้ม นางเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ากู้หว่านเยว่ไม่ชอบให้ท
“ข้าคิดดีแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากอยู่เจดีย์หนิงกู่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่กับเจ้า ถึงตอนนั้นข้าคงหางานเขียนและวาดรูปมาเลี้ยงเจ้า”“ท่านพี่วั่ง” ดวงตาของเจียงอวิ๋นจิ่นแดงก่ำ ซาบซึ้งใจยิ่งนักครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินแผนการของทั้งสองคนแล้ว ตัดสินใจว่าจะอยู่เจดีย์หนิงกู่ จึงกล่าวออกไปตรง ๆ ว่า“เทียบกับเรื่องงานเขียนและวาดภาพ ไม่สู้เจ้ามาเป็นผู้อำนวยการให้กับสำนักศึกษาถงซันดีกว่า”“ผู้อำนวยการ?” เฉินจื่อวั่งยังไม่ได้สติชิงเหลียนจึงคลี่ยิ้มและอธิบายว่า “สำนักถงซันเป็นสำนักที่ฮูหยินของเราสร้างขึ้น ตอนนี้กำลังขาดบุคลากรอย่างผู้อำนวยการหนึ่งคนและอาจารย์สอนอีกจำนวนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่หยิบแผนที่ใบหนึ่งออกมา “นี่คือที่อยู่ของสำนักศึกษาถงซัน ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการสร้าง หากเจ้ามีเวลาแวะไปเยี่ยมชมได้”เฉินจื่อวั่งรับแผนที่มาอย่างตะลึงงัน และเงียบไปชั่วครึ่งยามชิงเหลียนกล่าวถามด้วยใบหน้าดุดัน “ทำไม เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ? ในตอนที่เจ้าอ้อนวอนให้ฮูหยินของเราช่วยแม่นางเจียง ไม่ใช่บอกว่าจะทำตามคำสั่งของฮูหยินหรอกหรือ!”เฉินจื่อวั่งไม่เห็นด้วยที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตกใจอย่างมาก“ข้า ข้าเป็นผู้อำนว
“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนไม่ได้ที่อยู่ ๆ ก็มีคนคุกเข่าโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ “ขอรับ”เจียงอวิ๋นจิ่นเชื่อฟังคำสั่งของกู้หว่านเยว่มาก บอกให้นางลุกขึ้น นางก็ลุกขึ้นอย่างว่าง่ายทันทีดวงตาที่งดงามคู่นั้นเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตา “พระชายา ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไร”นางกินยาแกล้งตาย หลับไปสามวันเต็ม เพิ่งจะฟื้นเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว และได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสามวันนี้จากเฉินจื่อวั่ง“วินาทีที่นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเจดีย์หนิงกู่ ข้าคิดว่าชีวิตที่เหลือหลังจากนี้จบสิ้นเสียแล้ว”เจียงอวิ๋นจิ่นเตรียมยาพิษเอาไว้เรียบร้อยแล้วเหตุผลที่ไม่ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายระหว่างทางเป็นเพราะนางกังวลว่าข่าวการตายของนางจะแพร่กระจายไปถึงเมืองหลวงแล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของนาง“สาเหตุที่อวิ๋นจิ่นยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งหมดเป็นความกรุณาธิคุณของพระชายาที่ทรงช่วยเหลือไว้”“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก นั่งลงเถิด”ไม่รู้เป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นโดนทำร้ายมาตั้งแต่วัยเยาว์หรือไม่ ร่างกายถึงได้อ่อนแอมากเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จับชีพจรให้นางแล้วพบว่านางมีสภาวะอ่อนแอขั้นรุนแรงมิน่าล่ะท่าทางการเดินที่ไร้
ครั้นกลับถึงบ้านช่วงค่ำ ในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นนางก็ได้พูดคุยกับซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าตั้งใจจะสร้างสำนักศึกที่แตกต่างจากที่อื่นสักแห่งเจ้าค่ะ สำนักศึกษาของต้าฉีในสมัยก่อนมีเพียงบุรุษเท่านั้นที่เข้าเรียนได้ สำนักศึกษาเจดีย์หนิงกู่ของเราแห่งนี้ ข้าอยากให้สตรีมีโอกาสเข้าไปเรียนด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงพยักหน้า สนับสนุนความคิดนี้ของนาง “บุรุษและสตรีใต้หล้านี้ไม่มีแบ่งแยก สติปัญญาก็ไม่แตกต่างกัน ในเมื่อบุรุษเรียนหนังสือได้ สตรีก็ย่อมเรียนได้เช่นกัน”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มหวานหยดย้อย สายตาที่เปล่งประกายคู่นั้นจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเขินอาย“ทำไมมองข้าเช่นนี้ หน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่อย่างนั้นหรือ?”“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าสามีของข้าช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก”ไม่ว่าเมื่อไหร่ พวกเขาสองคนสามารถคุยเรื่องแบบนี้ได้ โดยไม่มีช่องว่างระหว่างวัยคนหนึ่งมาจากยุคโบราณ อีกคนมาจากยุคปัจจุบัน ความคิดค่อนข้างมีอิทธิพลมากแต่บางครั้งนางก็พบว่าความคิดของซูจิ่งสิงก็ทันยุคทันสมัยมากเช่นกันซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าคือภรรยาของข้า ต่อให้บางความคิดข้าจะไม่เข้าใจ ข้าก็เต็มใจสนับสน