“เจ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ไม่ใช่แม่แท้ๆ อะไร ข้าก็คือแม่แท้ๆ ของเจ้าสาม”ฮูหยินผู้เฒ่าซูที่กำลังป่วยเกินเยียวยามีแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทว่าเสียงนั้น ฟังอย่างไรก็คล้ายกำลังร้อนตัวเดิมทีซูจิ้งคิดว่าลูกสะใภ้พูดเหลวไหล หันมองทางฮูหยินผู้เฒ่าซูอย่างอดไม่ได้“ท่านแม่ ท่านไม่ใช่แม่แท้ๆ ของข้าจริงหรือ?”“ท่านพ่อ ตอนท่านยังเด็กใช่หรือไม่ว่ามีแม่นมท่านหนึ่ง?”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่มั่นใจมาก แต่จำได้ว่าภายในหนังสือมีบทนี้จริง“มีแม่นมท่านหนึ่งจริง แต่ว่า...” ซูจิ้งย้อนคิด เรื่องตอนเด็ก ตอนนี้เขาจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว“ตอนข้าสามขวบ นางก็กลับบ้านเดิมไปแต่งงานแล้ว”ตอนนั้นซูจิ้งเสียใจมากเพราะนับตั้งแต่เขาคลอดออกมา ก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากฮูหยินผู้เฒ่าซู ปกติก็โยนเขาให้แม่นมชนิดที่ว่าสิบวันจนถึงครึ่งเดือนก็ล้วนไม่สนใจเขาดังนั้นตอนซูจิ้งยังเด็ก เกือบเป็นแม่นมท่านนั้นเลี้ยงจนโตเขาจำได้ ตอนนั้นหลังแม่นมกลับบ้านไปแต่งงาน เขายังร้องไห้ระยะหนึ่งสรุปคือฮูหยินผู้เฒ่าซูสั่งคนตีเขาหนึ่งยก เรื่องนี้ถึงผ่านไป“แต่งงาน? ตอนนี้นางอาจยังอยู่ในบ่อน้ำที่สวนดอกไม้ด้านหลังเรือนสกุลซู...”ภายในหนังสือ ฮูห
“สวะ?”ซูจิ้งสัมผัสได้ ยามฮูหยินผู้เฒ่าซูพูดว่าสวะ สายตาทอดมองมาที่ตนข้อสันนิษฐานภายในใจแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น ความคิดเหลือจะเชื่อผุดออกมา“สวะคนนั้นที่ท่านพูดถึง คือข้า?”ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ อย่างไรเสียนับตั้งแต่เขาคลอดออกมาก็มิได้ทำอะไร แต่กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าซูเกลียดทั้งๆ ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูคลอดลูกชายออกมามากเพียงนั้น แต่นางดีต่อลูกคนอื่นมาก เว้นเสียแต่เขา ทุกครั้งแม้แต่สบตากันสักครั้งก็เป็นเรื่องยากซูจิ้งจำได้ ตอนเขายังเด็กก็เคยเสียใจเพราะเรื่องนี้มาก่อนต่อมาเขาโตแล้ว ค่อยๆ ปลอบตนเอง เป็นเพราะพี่น้องภายในบ้านมีมากเกินไป ดังนั้นท่านแม่เมินข้ามก็เป็นเรื่องปกติตอนนี้เห็นทีมิใช่ฮูหยินผู้เฒ่าซูไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่ลูกชายของฮูหยินผู้เฒ่าซูตั้งแต่แรก“ไม่ เจ้าเป็นลูกชายของข้า...” ฮูหยินผู้เฒ่าซูลนลาน ไม่กล้ายอมรับฉู่เฟิงได้รับสายตาจากซูจิ่งสิง รีบขยับขึ้นไป จับฮูหยินผู้เฒ่าซูกดลงพื้น บิดแขนนางแรงๆ“เจ็บ เจ็บเหลือเกิน!”น้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่าซูไหลออกมา รีบร้องอ้อนวอน“พูด ไม่พูดข้าจะทำให้ท่านอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ตายก็ตายไม่ได้”เสียงเยียบเย็นของซูจ
กู้หว่านเยว่กลับไม่เห็นใจ นี่คือผลจากการรนหาที่ของนาง เพียงสงสารนางหลี่“หลังนายท่านตื่นขึ้นมา ก็ต้องการรับนางหลี่เป็นอนุ ข้าโวยวายยกใหญ่ ขัดขวางไว้แล้ว”ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มเย็นยังดีคืนวันนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว นายท่านผู้เฒ่าซูไม่พบว่า คืนก่อนหน้านั้นเขาถูกวางยาจึงปล่อยใจไปเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าซูอาศัยโอกาสนี้บังคับเขา ห้ามมิให้รับนางหลี่เข้ามา“ใครรู้ ท้องของนางแพศยาคนนั้นกลับบากบั่น ตั้งครรภ์เด็กแล้วนายท่านรู้ว่านางมีลูก ไม่สนใจคำคัดค้านของข้าจะรับนางเป็นอนุให้ได้ เหตุผลคือไม่สามารถปล่อยให้เด็กคลอดออกมาแล้วไม่มีฐานะชัดเจนได้ข้าทำได้เพียงใช้ความตายมาบีบคั้น เสนอว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว สามารถใช้ชื่อของข้าได้สำหรับนางหลี่คนนั้น มอบเงินให้นางหนึ่งก้อนก็ไล่นางไป”ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มเย็น ซูจิ้งนึกถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของกู้หว่านเยว่ สันหลังเย็นวาบ“ในเมื่อท่านพูดว่าจะปล่อยนางไป เหตุใดท่านต้องฆ่านางด้วย?”“ข้ากลัว สายตาของนายท่านค่อยๆ หยุดที่นางแพศยาคนนั้น ข้าไม่ฆ่านางไม่ได้”ฮูหยินผู้เฒ่าซูจับจ้องซูจิ้งอย่างเย็นชา ในเมื่อพูดเรื่องในอดีตออกมาทั้งหมดแล้ว ตอนนี้นางก็ไม่กลัวอีก“เจ้ารู้
“เจ้า เจ้าหมายความว่ากระไร?” ซูหัวหยางตกตะลึง“แม่ท่านทำความผิดมากมายนัก กระตุ้นตนเองตายไป ส่วนเพราะเหตุใดนางป่วย ยังมิใช่เพราะท่านลูกชายคนนี้ไร้ความสามารถอีกหรือ”กู้หว่านเยว่ดูเบาครอบครัวนี้ ตั้งแต่อดีตตอนจวนเจิ้นเป่ยอ๋องยังอยู่ พวกเขาก็สูบเลือดสูบเนื้อบ้านสามทั้งครอบครัวรอจนจวนอ๋องถูกลงโทษเนรเทศ พวกเขาก็เตะส่งบ้านสามอย่างไร้เมตตากู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ในทันใด เหตุใดซูจิ้งและซูจิ่นเอ๋อร์ซูจื่อชิงพวกเขาล้วนเป็นคนดีอาจเพราะบนตัวพวกเขาไม่มีเลือดของฮูหยินผู้เฒ่าซูกระมัง“เจ้าพูดเหลวไหล ก็คือพวกเจ้าทำร้ายแม่ข้าจนตาย”ซูหัวหยางส่ายหน้า ถลึงตาใส่พวกเขาแรงๆ“เป็นพวกเจ้าเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย ทำให้ท่านแม่ข้าถูกกระตุ้นจนตายไป”“ท่านโวยวายต่อเถอะ ฉู่เฟิง ไปแจ้งทางการ”สุ้มเสียงซูจิ่งสิงเย็นชา ก่อนนี้เขาเห็นแก่ฐานะของซูจิ้ง ถึงไม่ฆ่าครอบครัวนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีเหตุผลให้เก็บไว้แล้วองครักษ์จวนกู้มาอย่างว่องไว ลากคนเหล่านั้นออกไป“ท่านอาสาม ท่านอาสามช่วยข้าด้วย...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า”ซูเช่อร้องตะโกน ซูจิ้งกลับไม่สนใจเขา“ฮูหยิน ภายในใจข้าทรมานมาก” ซูจิ้งถอนหายใจ “แม่ข้าในปรโล
“ดูเหมือนนางจะเอ่ยถึงเรื่องพ่อสามี ข้าก็เลยยืนฟังอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง”กู้หว่านเยว่ยกมือแสดงท่าทีจนปัญญาและกล่าวว่า“แต่นางพูดคลุมเครือมาก ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ วันนี้ข้าก็นึกขึ้นได้ก็เลยยกเรื่องนี้มาระเบิดใส่นาง โดยคิดไม่ถึงว่านางจะทำมันเสียเอง”นี่คือความจริง“เห็น ๆ อยู่ว่านางมีใจคิดไม่ซื่อ” ซูจิ่นเอ๋อร์แลบลิ้นและทอดถอนใจ“ข้าเรียกว่าท่านยายมาหลายปี กลับกลายเป็นศัตรูอย่างไม่น่าเชื่อ ในใจข้ารู้สึกหดหู่ยิ่งนัก”ในใจของท่านพ่อเสียใจยิ่งกว่าแน่นอนกู้หว่านเยว่กลับกล่าวว่า “ข้ากลับคิดว่านี้เป็นเรื่องดี ดีกว่าต้องมานั่งสับสนงุนงงกับเรื่องที่ไม่เคยรู้เลย”อีกทั้งยายเฒ่าซูก็ไม่ใช่คนดีนัก เห็นธาตุแท้ของพวกเขาได้เร็ว ดีกว่านึกจินตนาการเองอยู่ในใจ“เจ้าพูดถูก”ซูจิ่งสิงพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วยกับคำพูดของกู้หว่านเยว่“ยายเฒ่าซูสิ้นใจแล้ว ก็ถือว่าได้ชดใช้ให้นางหลี่แล้ว”ครั้นพูดไปพูดมา คนที่ไร้เดียงสาที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือสาวใช้ตัวน้อยอย่างนางหลี่นางทำอะไรผิดนะหรือ?เพียงเพราะรูปโฉมที่งดงาม ต้องตาต้องใจน้องชายของยายเฒ่าซู จึงถูกวางยาจนเสียความบริสุทธิ์เดิมที
หลี่ชิวเตี๋ยส่ายหน้า “ไม่สิ”แม้ว่าเพียวเซียงจูจะเลียนแบบชาดทาปากและแป้งน้ำของเรา แต่คุณภาพกลับแตกต่างจากของเขาโดยสิ้นเชิงลูกค้าไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าจะถูกเพียวเซียงจูหลอกล่อเข้ามา แต่โดยพื้นฐานแล้วล้วนแต่เป็นคนที่เห็นแก่ของถูกทั้งนั้น “แล้วไม่ดีหรือ เราควรขอบคุณเพียวเซียงจูนะ ที่ช่วยเราคัดกรองกลุ่มลูกค้าที่มีไม่ตรงตามมาตรฐานของเราออกไป”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มบาง ๆ ซึ่งนั้นทำให้หลี่ชิวเตี๋ยเข้าใจในทันทีนางยังฉุนเฉียวอยู่เล็กน้อย “แต่การที่พวกเขาเลียนแบบสินค้าของเราอย่างหน้าตาเฉย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”เพราะเรื่องนี้หลี่ชิวเตี๋ยถึงกับกินข้าวไม่ลงกู้หว่านเยว่ถูกเจ้าของร้านเสิ่นยั่วโมโหจนโกรธฉุนเฉียว“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ร้านดอกท้อของเราจะใช้ระบบสมาชิก”กู้หว่านเยว่กำชับว่า “แต่ลูกค้าที่มาซื้อชาดทาปากและแป้งน้ำของร้านดอกท้อจะได้รับบัตรสมาชิกหนึ่งใบ ต่อไปพวกเขาจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของร้านดอกท้อ”“ข้าเข้าใจแล้ว”หลี่ชิวเตี๋ยพยักหน้า ความหมายของกู้หว่านเยว่คืออยากคัดกรองลูกค้า“โชคดีที่นายหญิงยังใจเย็น หากเป็นข้าคงฆ่าทิ้งไปแล้ว”หลี่ชิวเตี๋ยจำสิ่งที่กู้หว่านเยว่กำชับได้ขึ้นใจ
กู้หว่านเยว่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร นางถึงกับหมดคำพูด“อยากถามถึงชิงหว่านก็พูดมาตรง ๆ”“ข้าเปล่า”ซูจื่อชิงโต้แย้งเสียงเบา แต่นัยน์ตาฉายแววประหม่าชิวจู๋เข้ามาเปลี่ยนยาให้เขาพอดี จึงกล่าวพึมพำว่า “เห็น ๆ อยู่ว่าคุณชายรองคิดถึงคุณหนูชิงหว่านมาก อยากให้นางมาเยี่ยมท่าน ทำไมไม่ยอมรับล่ะเจ้าคะ?”“ชิวจู๋!”ซูจื่อชิงหูแดงเถือก ครั้นเสียงดังฉับพลันชิวจู๋จึงรีบคุกเข่าทันที“ข้าน้อยเสียมารยาทเองเจ้าค่ะ”“ข้าไม่ได้จะโทษเจ้า เจ้าลุกขึ้นเถิด ต่อไปอย่าพูดเช่นนี้อีก”ซูจื่อชิงยกมือปิดหน้า จริง ๆ แล้วเขาอยากถามว่าชิงหว่านมาเยี่ยมเขาบ้างไหม แต่ก็กลัวเสียหน้า ลำบากใจยิ่งนัก“ตั้งแต่วันนั้น นางก็ไม่เคยมาหาอีกเลย คงยังโกรธข้าสินะ”ซูจื่อชิงยิ้มอย่างขมขื่น นางอาจจะอยู่กับเผยเสวียนก็ได้บุรุษร่างกายกำยำทำท่ากระบิดกระบวน กู้หว่านเยว่เห็นแล้วรู้สึกขัดตายิ่งนัก“หลายวันก่อนข้าเจอชิงหว่านในร้านอาหาร”ซูจื่อชิงหูผึ่งทันที วินาทีต่อจากนั้น คำกล่าวของพี่สะใภ้ก็ทำให้เขาตะลึงงัน“นายโดนชายชุดดำไล่ฆ่า”“ดังนั้นสิ่งที่เจ้าควรสนใจในตอนนี้คือนางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ไม่ใช่เอาแต่โศกเศร้าน้อยใจอยู่ตรงนี้ พร่ำ
“พี่ชายรอง ท่านมายืนทำอะไรอยู่ข้างนอกเจ้าคะ?”ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเขามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ซูจื่อชิงส่งเสียงจิ๊จ๊ะหนึ่งเสียง ก่อนจะเตะกระถางดอกไม้และวิ่งหนีไปซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน จึงด่าทอออกมาอย่างอดไม่ได้“พี่ชายรอง ท่านบ้าไปแล้ว กระถางมันอยู่ของมันดี ๆ ท่านไปเตะมันทำไม ดอกไห่ถังงดงามขนาดนี้ ท่านหงุดหงิดมันได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่วิ่งไล่ตามออกไป “หยุดพูดได้แล้ว ชิงหว่านหมั้นแล้ว”“อะไรนะ?”ซูจิ่นเอ๋อร์ปิดปากเงียบนางเพิ่งกลับมาจากจินโหลว ยังไม่ได้กลับจวนมิเช่นนั้นคงจะได้เห็นเทียบเชิญอยู่ในจวนแล้ว“พี่หญิงชิงหว่านหมั้นกับเผยเสวียนแล้วหรือ?” นางถึงกับพูดไม่ออก“แล้วพี่ชายรองของข้าจะทำอย่างไร?”มิน่าล่ะเมื่อครู่พี่ชายรองถึงได้ดูร้อนรนเช่นนั้น กู้หว่านเยว่รู้สึกหดหู่ใจแทนซูจื่อชิงครั้นอดีตโอกาสนั้นเคยปรากฏตรงหน้าของเขาแล้ว แต่เขาไม่ทะนุถนอมเอง จะโทษใครได้?ซูจื่อชิงไม่กลับมาทานอาหารเที่ยงในจวน ส่วนซูจิ่นเอ๋อร์กลับมาพร้อมกับอาหารทะเล แต่ทุกคนกลับกินกันไม่ลง“พี่สะใภ้ใหญ่ เราไปเยี่ยมพี่หญิงชิงหว่านกันเถอะเจ้าค่ะ?”ที่ซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยเช่นนี้ ความจริงแล
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก