ตอนกลางคืนเมื่อซูจิ่งสิงกลับมา กู้หว่านเยว่ก็พูดเรื่องนี้กับเขา“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”กู้หว่านเยว่จึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก แล้วถามถึงเรื่องแม่น้ำมู่ตัน“หลังจากวันนั้น ทหารห้าหมื่นนายก็พากันยอมแพ้ ส่วนคนที่เหลือที่ไม่ยอมแพ้ ก็ไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้แล้ว”พวกที่หนีก็หนี พวกที่ตายก็ตาย ใช้เวลาแค่สองวันก็จัดการเรียบร้อยแล้วกู้หว่านเยว่พูดอย่างภาคภูมิใจ “หากเรื่องนี้แพร่สะพัดกลับไปถึงเมืองหลวง คนคนนั้นคงนอนไม่หลับแน่”เมืองหลวงจดหมายที่ส่งด้วยนกพิราบส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ เพิ่งจะส่งถึงมือมู่หรงถิง ฮ่องเต้ชั่ว เมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย มู่หรงถิงก็เงียบไปพักใหญ่ สีหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อในท้องพระโรง ขุนนางส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารนี้แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว“ดี ดีมาก ซูจิ่งสิง!”มู่หรงถิงโกรธจนนิ้วมือชา “มหาราชครูหายตัวไป เจียงเต๋อจื้อถูกทับตาย กองทัพห้าหมื่นนาย ยอมแพ้ทั้งหมด”เขาหน้ามืด ต้องจับเก้าอี้มังกรไว้จึงไม่ล้มลงไป“ซูจิ่งสิง เขากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไร?”มู่หรงถิงรู้สึกว่าซูจิ่งสิงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาอยากจะจัดการซูจิ
อ๋องหกปกติชอบพาสุนัขไปเดินเล่น เล่นกับแมว ไม่ค่อยสนใจเรื่องราชการจู่ ๆ ถูกเรียกชื่อ ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น“เสด็จพี่ ข้าไม่ได้ไปเที่ยวหอนางโลม เอ่อ เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้ไปนอนบนเตียงของแม่นางหานเยียน...”“ข้าถามเรื่องพวกนี้เมื่อไรกัน?” ฮ่องเต้พูดไม่ออก“ข้าถามเจ้าว่า มีวิธีไหนที่จะทำให้ซูจิ่งสิงและนางกู้แตกคอกัน?”“อ๊ะ ท่านถามข้าหรือ?”อ๋องหกยังคงดูซื่อบื้อ ๆ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในสายตาของมู่หรงถิงจางหายไปไม่น้อย“อืม ถามเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”“เรื่องนี้ สมองของข้าคิดไม่ทัน...” อ๋องหกเกาหัว ทำท่าทางลำบากใจอย่างมาก ครุ่นคิดอยู่นาน จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง“เจ้าหัวเราะอะไร?” ฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงว่าอ๋องหกมักจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้เสมอ เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไร“จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนข้ามีอนุภรรยาหลายคนในจวน เวลาที่พวกนางแย่งชิงความโปรดปรานกัน สีหน้าก็จะดูน่าเกลียดมาก ข้าก็เลยไม่ชอบพวกนางแล้ว”ดวงตาของมู่หรงถิงหรี่ลง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถูกต้อง พูดถูกต้อง”นางกู้คนนั้นช่วยซูจิ่งสิง เช่นนั้นเขาก็จะส่งของขวั
หลายคนในโถงรับแขกเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทันทีที่เห็นกู้หว่านเยว่ พวกนางก็ยิ้มออกมาจนใบหน้าแทบจะเป็นรอยจีบ“ซูฮูหยิน ยินดีด้วยที่ได้ลูกชาย”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ยินดีด้วยซูฮูหยิน ยินดีด้วยนายท่านซู”เมื่อเห็นแต่ละคนตรงหน้าทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้ กู้หว่านเยว่ก็ไม่รู้สึกว่าพวกนางมาเพื่อแสดงความยินดีที่นางคลอดลูกถ้าจะมาแสดงความยินดีจริง ๆ รอให้ครบหนึ่งเดือนก็ยังไม่สาย เหตุใดต้องแห่กันมาเยี่ยมตอนนี้ด้วย?นางหยางพูดอยู่ข้าง ๆ “วันนี้พวกนางมากันตั้งแต่เช้า”นางหยางก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเช่นกัน กลัวว่าจะทำให้กู้หว่านเยว่เสียเวลา จึงให้สาวใช้เชิญพวกนางเข้ามา ต้อนรับด้วยขนมและน้ำชา“ท่านแม่ พวกท่านพาจ้านจ้านไปที่ห้องอบอุ่นก่อน”สัญชาตญาณของกู้หว่านเยว่บอกว่าพวกนางไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีเฉย ๆ เท่านั้น จึงส่งลูกให้กับนางหยาง หลังจากนางหยางเดินออกไปแล้ว นางก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย พลางถามหลี่ชิวเตี๋ยว่า“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”หลี่ชิวเตี๋ยรีบเข้ามาดึงนางไว้ “ฮูหยิน คราวที่แล้วเจ้านำผงไข่มุกหยกนารีมาให้สวี่ฮูหยินมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางจำเรื่องนี้ได้ตอน
“แค่สามสิบกล่องเท่านั้น...”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย “สินค้าดีต้องรอหน่อย เป็นเพราะว่าผงหยกนารีคือของดี การพัฒนาและผลิตสักขวดจึงต้องใช้เวลานานมาก ดังนั้นจึงสามารถผลิตได้เพียงหกสิบกล่องต่อเดือนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาเหมาซื้อทั้งหมดในคราวเดียว ทางร้านจึงจำกัดการซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีคนได้ใช้มากขึ้น”“ที่พูดมาก็ถูก พวกข้าซื้อผงหยกนารีเพราะเห็นแก่ประสิทธิภาพของมัน ให้รอก็ไม่กลัว อีกสามวันก็วันที่ 15 แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้บ่าวรับใช้มาเข้าแถวแต่เช้าเลย”“ข้าก็จะส่งคนมารอตั้งแต่เช้าเหมือนกัน”เมื่อฮูหยินทั้งหลายได้รู้ช่องทางในการซื้อผงหยกนารีก็เลิกตอแยกัน ต่างคนต่างกลับไปอย่างพึงพอใจหลี่ชิวเตี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่เถ้าแก่เนี้ยยังหาทางได้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะรับมือยังไง”ทุกวันนี้ นางคุ้นเคยกับการเรียกกู้หว่านเยว่ว่าเถ้าแก่เนี้ยแล้ว“เจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนเอาผงหยกนารีสามสิบกล่องไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของหลี่ชิวเตี๋ย กว่าจะทำร้านขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอยากไขว่คว้าโอกาสไว้แน่“ตกลง ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย”
“พี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายตัวน้อยกลับมาแล้ว แต่ไม่ออกมาต้อนรับ ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย!” ซูจิ่นเอ๋อร์เท้าเอว กำลังจะไปตามซูจื่อชิงมานางหยางคว้าตัวนางไว้ “พี่รองของเจ้าไปล่าสัตว์ในภูเขาหิมะเมื่อหลายวันก่อน ยังไม่กลับมาเลย”“ล่าสัตว์ เขาไปล่าสัตว์อะไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดูประหลาดใจเช่นกันฝีมือแย่ ๆ ของซูจื่อชิง กระต่ายตัวเดียวยังยิงแทบไม่ถูกเลย ยังจะวิ่งไปล่าสัตว์ในภูเขาหิมะอีกหรือ?“พี่รองชอบอ่านหนังสือและเขียนตัวอักษรมาตลอด จะไปล่าสัตว์ได้ยังไง ได้ยินว่ามีหมีซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหิมะด้วย”ขณะที่ซูจิ่นเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น ชิงเหลียนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นนางหยางและซูจิ้งอยู่ที่นี่ ก็รีบหุบปากทันที สายตามองไปทางกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงเป็นประกาย “ท่านแม่ พวกท่านพาจ้านจ้านออกไปเล่นก่อนเถอะ”“ได้สิ แม่จะไปเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัว”นางหยางคิดว่าเป็นเรื่องงานราชการ อุ้มจ้านจ้านลงไปอย่างยิ้มแย้มปรากฏว่าทันทีที่นางออกไป ชิงเหลียนก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น “เรียนฮูหยิน คุณชายรองเกิด
ซื่อสี่รีบหุบปาก ในขณะที่ซูจื่อชิงพูดว่า “มันเป็นความประมาทของข้าเอง เลยไปเจอหมีเข้า ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถ้าพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่อยากโทษก็โทษข้าเถอะ”ว่าแล้วก็หลับตาลง ดูหมดอาลัยตายอยาก ส่งผลให้ซูจิ่งสิงสีหน้าบึ้งตึง“ถ้าเจ้าอยากตายก็ไม่มีใครห้ามเจ้าได้ เป็นลูกผู้ชายแต่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาให้ใครดู?”“พี่สะใภ้ใหญ่ถามไถ่รายละเอียดของเรื่องราวด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ซื่อสี่พูด ทำไมหรือ เห็นพวกข้าเป็นคนนอกแล้วหรือ?”ซูจื่อชิงยังคงนิ่งเงียบ หลับตาอันแดงก่ำ ขนตาสั่นไหวเบา ๆ“ท่านพี่!”กู้หว่านเยว่ดึงเขาออกมา นางเข้าใจความเป็นห่วงเป็นใยของซูจิ่งสิงที่มีต่อน้องชาย“จื่อชิงอาจจะไปพบเจออะไรบางอย่าง ท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์”“อาการบาดเจ็บของเขาเป็นยังไงบ้าง?”ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ใจเย็นลง เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรจริงจัง แค่ทนเห็นน้องหญิงต้องคับข้องใจไม่ได้ รวมถึงสภาพของน้องชายที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย“ข้าเพิ่งดูคร่าว ๆ ไม่เป็นอะไรมาก ทั้งหมดเป็นบาดแผลภายนอก ถึงจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บไปถึงกล้ามเนื้อและกระดูก แค่ดูแลให้ดีก็พอ แต่บนขาต้องมีรอยแผลเป็นแน่นอน”สำหรั
“หงเจา พรุ่งนี้เจ้าเอาผงหยกนารีนี้ไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่กังวลว่าตัวเองจะลืม จึงมอบผงหยกนารีให้หงเจาก่อนเห็นเด็กสาวคนนี้รับผงหยกนารีไปแล้วแต่ก็ยังลังเลที่จะพูด จึงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เลย”“ฮูหยิน”หงเจามีอะไรจะถามจริง ๆ แต่มันค่อนข้างยากที่จะเอ่ยปากนางรวบรวมความกล้า “ท่านไปที่กระโจมของศัตรู ได้พบกับคุณชายหร่านแล้วหรือยัง?”“ฮูหยินโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง...ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง...”เสียงของหงเจาเบาลงเรื่อย ๆ ก้มศีรษะต่ำลงเรื่อย ๆกู้หว่านเยว่ชะงักไป เด็กสาวคนนี้ยังไม่ลืมหร่านถิงอีกหรือ? หรือว่าเป็นเพราะยังเด็กเกินไป?“เขายังไม่ตาย”กู้หว่านเยว่สังเกตอารมณ์ของหงเจา เมื่อนางได้ยินว่าหร่านถิงยังไม่ตาย ความเบิกบานก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า พลางถอนหายใจโล่งอก“หงเจา เจ้าชอบหร่านถิงหรือ?”“ไม่ใช่อยู่แล้ว เหตุใดฮูหยินถึงถามเช่นนี้? เขาเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายมากรัก บ่าวเองก็รู้ดี จะไปชอบเขาได้ยังไง บ่าวรังเกียจคนแบบนี้ที่สุด”เสียงของหงเจาค่อนข้างวิตกกังวล ไม่รู้เลยว่าจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร“หงเจา เจ้ายังเด็กนัก อายุแค่สิบ
ที่แท้เผยเสวียนได้รับบาดเจ็บจากหมี แต่เมี่ยชิงหว่านมาพบเข้าพอดี“คุณชายเผยใส่ร้ายว่าคุณชายรองจงใจทำร้ายเขา แม่นางชิงหว่านปกป้องคุณชายเผย คุณชายรองต้องการปกป้องแม่นางชิงหว่าน ผลปรากฏว่าตัวเองถูกหมีตัวนั้นกัด”ในที่สุดกู้หว่านเยว่ก็รู้เรื่องราวกระจ่างที่แท้เผยเสวียนชอบเมี่ยชิงหว่าน จึงจงใจวางกับดักซูจื่อชิง แต่กลับถูกซูจื่อชิงออกอุบายใส่ จนตัวเองได้รับบาดเจ็บจากหมีและเผยเสวียนยังเป็นพวกทำตัวใสซื่อ เกลี้ยกล่อมให้เมี่ยชิงหว่านเชื่อเขา ซูจื่อชิงต้องการปกป้องเมี่ยชิงหว่าน จึงได้รับบาดเจ็บจากหมีตัวนั้นเช่นกันประเด็นคือบาดเจ็บภายนอกเป็นเรื่องเล็กน้อย บาดเจ็บภายในใจต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่เขาคิดว่าเมี่ยชิงหว่านไม่เชื่อเขา“คุณหนูชิงหว่านบอกว่าคุณชายรองมีเจตนาร้าย คุณชายรองโกรธมากจนสะดุดล้ม ถึงถูกหมีทำร้ายบาดเจ็บ”ซื่อสี่ไม่กล้าปิดบัง เปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบและซูจื่อชิงก็นึกถึงความทรงจำในตอนนั้น ดวงตาแดงเรื่อกู้หว่านเยว่กล่าวอย่างไตร่ตรอง “เจ้าเคยอธิบายให้เมี่ยชิงหว่านฟังไหม?”ซูจื่อชิงยิ้มเยาะ “ในเมื่อนางเชื่อเผยเสวียน ก็ให้นางเชื่อไปเถอะ ทำไมข้าต้องอธิบายด้วย”
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช