“คนไหนกล้ายอมแพ้ ข้าจะฆ่าคนนั้น!”เจียงเต๋อจื้อโมโหจนชักดาบยาวออกมาเหล่าทหารต่างพากันตกใจกลัว ถอยหลังและวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย“ข้าดูสิว่าใครกล้าพูดว่ายอมแพ้ พูดมาคนหนึ่ง ข้าจะฟันคนหนึ่ง”เขาแกว่งดาบอย่างรุนแรง ฟันทหารสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดจนได้รับบาดเจ็บเจียงเต๋อจื้อคลั่งไปแล้วเขาไม่ยอมให้ใครยอมแพ้ทั้งนั้น หากยอมแพ้ขึ้นมาจริง ๆ นแรกที่จะต้องตายก็คือเขาดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ มองไปรอบ ๆ แล้วจ้องมองไปทีละคนใครกล้าส่งเสียง ก็ฆ่าคนนั้นเหล่าทหารพากันถอยหลัง แต่ในใจยังคงไม่ยอมรับทันใดนั้น ก็มีแสงไฟพาดผ่านท้องฟ้า ตามมาด้วยลูกไฟขนาดมหึมาที่พุ่งตกลงมาจากฟากฟ้าเสียง “ตูม” ดังสนั่น ตกลงมาตรงตำแหน่งที่เจียงเต๋อจื้ออยู่เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ ก็ถูกหินทับลงไปในดิน ถูกไฟที่ลุกไหม้บนหินเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านทุกคนต่างตกตะลึง ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น“ท่านแม่ทัพตายแล้ว!”“ท่านแม่ทัพถูกไฟสวรรค์ทับตายแล้ว!”“ยอมแพ้เถอะ พวกเรายอมแพ้กันเถอะ”“...”บนท้องฟ้า ซูจิ่งสิงขับเฮลิคอปเตอร์ไปยังลานโล่ง จากนั้นก็ให้กู้หว่านเยว่เก็บเฮลิคอปเตอร์กลับ
ตอนกลางคืนเมื่อซูจิ่งสิงกลับมา กู้หว่านเยว่ก็พูดเรื่องนี้กับเขา“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”กู้หว่านเยว่จึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก แล้วถามถึงเรื่องแม่น้ำมู่ตัน“หลังจากวันนั้น ทหารห้าหมื่นนายก็พากันยอมแพ้ ส่วนคนที่เหลือที่ไม่ยอมแพ้ ก็ไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้แล้ว”พวกที่หนีก็หนี พวกที่ตายก็ตาย ใช้เวลาแค่สองวันก็จัดการเรียบร้อยแล้วกู้หว่านเยว่พูดอย่างภาคภูมิใจ “หากเรื่องนี้แพร่สะพัดกลับไปถึงเมืองหลวง คนคนนั้นคงนอนไม่หลับแน่”เมืองหลวงจดหมายที่ส่งด้วยนกพิราบส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ เพิ่งจะส่งถึงมือมู่หรงถิง ฮ่องเต้ชั่ว เมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย มู่หรงถิงก็เงียบไปพักใหญ่ สีหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อในท้องพระโรง ขุนนางส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารนี้แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว“ดี ดีมาก ซูจิ่งสิง!”มู่หรงถิงโกรธจนนิ้วมือชา “มหาราชครูหายตัวไป เจียงเต๋อจื้อถูกทับตาย กองทัพห้าหมื่นนาย ยอมแพ้ทั้งหมด”เขาหน้ามืด ต้องจับเก้าอี้มังกรไว้จึงไม่ล้มลงไป“ซูจิ่งสิง เขากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไร?”มู่หรงถิงรู้สึกว่าซูจิ่งสิงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาอยากจะจัดการซูจิ
อ๋องหกปกติชอบพาสุนัขไปเดินเล่น เล่นกับแมว ไม่ค่อยสนใจเรื่องราชการจู่ ๆ ถูกเรียกชื่อ ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น“เสด็จพี่ ข้าไม่ได้ไปเที่ยวหอนางโลม เอ่อ เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้ไปนอนบนเตียงของแม่นางหานเยียน...”“ข้าถามเรื่องพวกนี้เมื่อไรกัน?” ฮ่องเต้พูดไม่ออก“ข้าถามเจ้าว่า มีวิธีไหนที่จะทำให้ซูจิ่งสิงและนางกู้แตกคอกัน?”“อ๊ะ ท่านถามข้าหรือ?”อ๋องหกยังคงดูซื่อบื้อ ๆ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในสายตาของมู่หรงถิงจางหายไปไม่น้อย“อืม ถามเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”“เรื่องนี้ สมองของข้าคิดไม่ทัน...” อ๋องหกเกาหัว ทำท่าทางลำบากใจอย่างมาก ครุ่นคิดอยู่นาน จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง“เจ้าหัวเราะอะไร?” ฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงว่าอ๋องหกมักจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้เสมอ เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไร“จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนข้ามีอนุภรรยาหลายคนในจวน เวลาที่พวกนางแย่งชิงความโปรดปรานกัน สีหน้าก็จะดูน่าเกลียดมาก ข้าก็เลยไม่ชอบพวกนางแล้ว”ดวงตาของมู่หรงถิงหรี่ลง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถูกต้อง พูดถูกต้อง”นางกู้คนนั้นช่วยซูจิ่งสิง เช่นนั้นเขาก็จะส่งของขวั
หลายคนในโถงรับแขกเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทันทีที่เห็นกู้หว่านเยว่ พวกนางก็ยิ้มออกมาจนใบหน้าแทบจะเป็นรอยจีบ“ซูฮูหยิน ยินดีด้วยที่ได้ลูกชาย”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ยินดีด้วยซูฮูหยิน ยินดีด้วยนายท่านซู”เมื่อเห็นแต่ละคนตรงหน้าทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้ กู้หว่านเยว่ก็ไม่รู้สึกว่าพวกนางมาเพื่อแสดงความยินดีที่นางคลอดลูกถ้าจะมาแสดงความยินดีจริง ๆ รอให้ครบหนึ่งเดือนก็ยังไม่สาย เหตุใดต้องแห่กันมาเยี่ยมตอนนี้ด้วย?นางหยางพูดอยู่ข้าง ๆ “วันนี้พวกนางมากันตั้งแต่เช้า”นางหยางก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเช่นกัน กลัวว่าจะทำให้กู้หว่านเยว่เสียเวลา จึงให้สาวใช้เชิญพวกนางเข้ามา ต้อนรับด้วยขนมและน้ำชา“ท่านแม่ พวกท่านพาจ้านจ้านไปที่ห้องอบอุ่นก่อน”สัญชาตญาณของกู้หว่านเยว่บอกว่าพวกนางไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีเฉย ๆ เท่านั้น จึงส่งลูกให้กับนางหยาง หลังจากนางหยางเดินออกไปแล้ว นางก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย พลางถามหลี่ชิวเตี๋ยว่า“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”หลี่ชิวเตี๋ยรีบเข้ามาดึงนางไว้ “ฮูหยิน คราวที่แล้วเจ้านำผงไข่มุกหยกนารีมาให้สวี่ฮูหยินมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางจำเรื่องนี้ได้ตอน
“แค่สามสิบกล่องเท่านั้น...”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย “สินค้าดีต้องรอหน่อย เป็นเพราะว่าผงหยกนารีคือของดี การพัฒนาและผลิตสักขวดจึงต้องใช้เวลานานมาก ดังนั้นจึงสามารถผลิตได้เพียงหกสิบกล่องต่อเดือนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาเหมาซื้อทั้งหมดในคราวเดียว ทางร้านจึงจำกัดการซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีคนได้ใช้มากขึ้น”“ที่พูดมาก็ถูก พวกข้าซื้อผงหยกนารีเพราะเห็นแก่ประสิทธิภาพของมัน ให้รอก็ไม่กลัว อีกสามวันก็วันที่ 15 แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้บ่าวรับใช้มาเข้าแถวแต่เช้าเลย”“ข้าก็จะส่งคนมารอตั้งแต่เช้าเหมือนกัน”เมื่อฮูหยินทั้งหลายได้รู้ช่องทางในการซื้อผงหยกนารีก็เลิกตอแยกัน ต่างคนต่างกลับไปอย่างพึงพอใจหลี่ชิวเตี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่เถ้าแก่เนี้ยยังหาทางได้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะรับมือยังไง”ทุกวันนี้ นางคุ้นเคยกับการเรียกกู้หว่านเยว่ว่าเถ้าแก่เนี้ยแล้ว“เจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนเอาผงหยกนารีสามสิบกล่องไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของหลี่ชิวเตี๋ย กว่าจะทำร้านขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอยากไขว่คว้าโอกาสไว้แน่“ตกลง ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย”
“พี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายตัวน้อยกลับมาแล้ว แต่ไม่ออกมาต้อนรับ ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย!” ซูจิ่นเอ๋อร์เท้าเอว กำลังจะไปตามซูจื่อชิงมานางหยางคว้าตัวนางไว้ “พี่รองของเจ้าไปล่าสัตว์ในภูเขาหิมะเมื่อหลายวันก่อน ยังไม่กลับมาเลย”“ล่าสัตว์ เขาไปล่าสัตว์อะไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดูประหลาดใจเช่นกันฝีมือแย่ ๆ ของซูจื่อชิง กระต่ายตัวเดียวยังยิงแทบไม่ถูกเลย ยังจะวิ่งไปล่าสัตว์ในภูเขาหิมะอีกหรือ?“พี่รองชอบอ่านหนังสือและเขียนตัวอักษรมาตลอด จะไปล่าสัตว์ได้ยังไง ได้ยินว่ามีหมีซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหิมะด้วย”ขณะที่ซูจิ่นเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น ชิงเหลียนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นนางหยางและซูจิ้งอยู่ที่นี่ ก็รีบหุบปากทันที สายตามองไปทางกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงเป็นประกาย “ท่านแม่ พวกท่านพาจ้านจ้านออกไปเล่นก่อนเถอะ”“ได้สิ แม่จะไปเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัว”นางหยางคิดว่าเป็นเรื่องงานราชการ อุ้มจ้านจ้านลงไปอย่างยิ้มแย้มปรากฏว่าทันทีที่นางออกไป ชิงเหลียนก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น “เรียนฮูหยิน คุณชายรองเกิด
ซื่อสี่รีบหุบปาก ในขณะที่ซูจื่อชิงพูดว่า “มันเป็นความประมาทของข้าเอง เลยไปเจอหมีเข้า ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถ้าพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่อยากโทษก็โทษข้าเถอะ”ว่าแล้วก็หลับตาลง ดูหมดอาลัยตายอยาก ส่งผลให้ซูจิ่งสิงสีหน้าบึ้งตึง“ถ้าเจ้าอยากตายก็ไม่มีใครห้ามเจ้าได้ เป็นลูกผู้ชายแต่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาให้ใครดู?”“พี่สะใภ้ใหญ่ถามไถ่รายละเอียดของเรื่องราวด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ซื่อสี่พูด ทำไมหรือ เห็นพวกข้าเป็นคนนอกแล้วหรือ?”ซูจื่อชิงยังคงนิ่งเงียบ หลับตาอันแดงก่ำ ขนตาสั่นไหวเบา ๆ“ท่านพี่!”กู้หว่านเยว่ดึงเขาออกมา นางเข้าใจความเป็นห่วงเป็นใยของซูจิ่งสิงที่มีต่อน้องชาย“จื่อชิงอาจจะไปพบเจออะไรบางอย่าง ท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์”“อาการบาดเจ็บของเขาเป็นยังไงบ้าง?”ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ใจเย็นลง เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรจริงจัง แค่ทนเห็นน้องหญิงต้องคับข้องใจไม่ได้ รวมถึงสภาพของน้องชายที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย“ข้าเพิ่งดูคร่าว ๆ ไม่เป็นอะไรมาก ทั้งหมดเป็นบาดแผลภายนอก ถึงจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บไปถึงกล้ามเนื้อและกระดูก แค่ดูแลให้ดีก็พอ แต่บนขาต้องมีรอยแผลเป็นแน่นอน”สำหรั
“หงเจา พรุ่งนี้เจ้าเอาผงหยกนารีนี้ไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่กังวลว่าตัวเองจะลืม จึงมอบผงหยกนารีให้หงเจาก่อนเห็นเด็กสาวคนนี้รับผงหยกนารีไปแล้วแต่ก็ยังลังเลที่จะพูด จึงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เลย”“ฮูหยิน”หงเจามีอะไรจะถามจริง ๆ แต่มันค่อนข้างยากที่จะเอ่ยปากนางรวบรวมความกล้า “ท่านไปที่กระโจมของศัตรู ได้พบกับคุณชายหร่านแล้วหรือยัง?”“ฮูหยินโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง...ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง...”เสียงของหงเจาเบาลงเรื่อย ๆ ก้มศีรษะต่ำลงเรื่อย ๆกู้หว่านเยว่ชะงักไป เด็กสาวคนนี้ยังไม่ลืมหร่านถิงอีกหรือ? หรือว่าเป็นเพราะยังเด็กเกินไป?“เขายังไม่ตาย”กู้หว่านเยว่สังเกตอารมณ์ของหงเจา เมื่อนางได้ยินว่าหร่านถิงยังไม่ตาย ความเบิกบานก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า พลางถอนหายใจโล่งอก“หงเจา เจ้าชอบหร่านถิงหรือ?”“ไม่ใช่อยู่แล้ว เหตุใดฮูหยินถึงถามเช่นนี้? เขาเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายมากรัก บ่าวเองก็รู้ดี จะไปชอบเขาได้ยังไง บ่าวรังเกียจคนแบบนี้ที่สุด”เสียงของหงเจาค่อนข้างวิตกกังวล ไม่รู้เลยว่าจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร“หงเจา เจ้ายังเด็กนัก อายุแค่สิบ
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง