“คนไหนกล้ายอมแพ้ ข้าจะฆ่าคนนั้น!”เจียงเต๋อจื้อโมโหจนชักดาบยาวออกมาเหล่าทหารต่างพากันตกใจกลัว ถอยหลังและวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย“ข้าดูสิว่าใครกล้าพูดว่ายอมแพ้ พูดมาคนหนึ่ง ข้าจะฟันคนหนึ่ง”เขาแกว่งดาบอย่างรุนแรง ฟันทหารสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดจนได้รับบาดเจ็บเจียงเต๋อจื้อคลั่งไปแล้วเขาไม่ยอมให้ใครยอมแพ้ทั้งนั้น หากยอมแพ้ขึ้นมาจริง ๆ นแรกที่จะต้องตายก็คือเขาดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ มองไปรอบ ๆ แล้วจ้องมองไปทีละคนใครกล้าส่งเสียง ก็ฆ่าคนนั้นเหล่าทหารพากันถอยหลัง แต่ในใจยังคงไม่ยอมรับทันใดนั้น ก็มีแสงไฟพาดผ่านท้องฟ้า ตามมาด้วยลูกไฟขนาดมหึมาที่พุ่งตกลงมาจากฟากฟ้าเสียง “ตูม” ดังสนั่น ตกลงมาตรงตำแหน่งที่เจียงเต๋อจื้ออยู่เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ ก็ถูกหินทับลงไปในดิน ถูกไฟที่ลุกไหม้บนหินเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านทุกคนต่างตกตะลึง ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น“ท่านแม่ทัพตายแล้ว!”“ท่านแม่ทัพถูกไฟสวรรค์ทับตายแล้ว!”“ยอมแพ้เถอะ พวกเรายอมแพ้กันเถอะ”“...”บนท้องฟ้า ซูจิ่งสิงขับเฮลิคอปเตอร์ไปยังลานโล่ง จากนั้นก็ให้กู้หว่านเยว่เก็บเฮลิคอปเตอร์กลับ
ตอนกลางคืนเมื่อซูจิ่งสิงกลับมา กู้หว่านเยว่ก็พูดเรื่องนี้กับเขา“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”กู้หว่านเยว่จึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก แล้วถามถึงเรื่องแม่น้ำมู่ตัน“หลังจากวันนั้น ทหารห้าหมื่นนายก็พากันยอมแพ้ ส่วนคนที่เหลือที่ไม่ยอมแพ้ ก็ไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้แล้ว”พวกที่หนีก็หนี พวกที่ตายก็ตาย ใช้เวลาแค่สองวันก็จัดการเรียบร้อยแล้วกู้หว่านเยว่พูดอย่างภาคภูมิใจ “หากเรื่องนี้แพร่สะพัดกลับไปถึงเมืองหลวง คนคนนั้นคงนอนไม่หลับแน่”เมืองหลวงจดหมายที่ส่งด้วยนกพิราบส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ เพิ่งจะส่งถึงมือมู่หรงถิง ฮ่องเต้ชั่ว เมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย มู่หรงถิงก็เงียบไปพักใหญ่ สีหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อในท้องพระโรง ขุนนางส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารนี้แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว“ดี ดีมาก ซูจิ่งสิง!”มู่หรงถิงโกรธจนนิ้วมือชา “มหาราชครูหายตัวไป เจียงเต๋อจื้อถูกทับตาย กองทัพห้าหมื่นนาย ยอมแพ้ทั้งหมด”เขาหน้ามืด ต้องจับเก้าอี้มังกรไว้จึงไม่ล้มลงไป“ซูจิ่งสิง เขากล้าดีอย่างไร กล้าดีอย่างไร?”มู่หรงถิงรู้สึกว่าซูจิ่งสิงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาอยากจะจัดการซูจิ
อ๋องหกปกติชอบพาสุนัขไปเดินเล่น เล่นกับแมว ไม่ค่อยสนใจเรื่องราชการจู่ ๆ ถูกเรียกชื่อ ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น“เสด็จพี่ ข้าไม่ได้ไปเที่ยวหอนางโลม เอ่อ เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้ไปนอนบนเตียงของแม่นางหานเยียน...”“ข้าถามเรื่องพวกนี้เมื่อไรกัน?” ฮ่องเต้พูดไม่ออก“ข้าถามเจ้าว่า มีวิธีไหนที่จะทำให้ซูจิ่งสิงและนางกู้แตกคอกัน?”“อ๊ะ ท่านถามข้าหรือ?”อ๋องหกยังคงดูซื่อบื้อ ๆ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในสายตาของมู่หรงถิงจางหายไปไม่น้อย“อืม ถามเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”“เรื่องนี้ สมองของข้าคิดไม่ทัน...” อ๋องหกเกาหัว ทำท่าทางลำบากใจอย่างมาก ครุ่นคิดอยู่นาน จู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง“เจ้าหัวเราะอะไร?” ฮ่องเต้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงว่าอ๋องหกมักจะทำตัวเหลวไหลแบบนี้เสมอ เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไร“จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนข้ามีอนุภรรยาหลายคนในจวน เวลาที่พวกนางแย่งชิงความโปรดปรานกัน สีหน้าก็จะดูน่าเกลียดมาก ข้าก็เลยไม่ชอบพวกนางแล้ว”ดวงตาของมู่หรงถิงหรี่ลง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถูกต้อง พูดถูกต้อง”นางกู้คนนั้นช่วยซูจิ่งสิง เช่นนั้นเขาก็จะส่งของขวั
หลายคนในโถงรับแขกเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทันทีที่เห็นกู้หว่านเยว่ พวกนางก็ยิ้มออกมาจนใบหน้าแทบจะเป็นรอยจีบ“ซูฮูหยิน ยินดีด้วยที่ได้ลูกชาย”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ยินดีด้วยซูฮูหยิน ยินดีด้วยนายท่านซู”เมื่อเห็นแต่ละคนตรงหน้าทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งไว้ กู้หว่านเยว่ก็ไม่รู้สึกว่าพวกนางมาเพื่อแสดงความยินดีที่นางคลอดลูกถ้าจะมาแสดงความยินดีจริง ๆ รอให้ครบหนึ่งเดือนก็ยังไม่สาย เหตุใดต้องแห่กันมาเยี่ยมตอนนี้ด้วย?นางหยางพูดอยู่ข้าง ๆ “วันนี้พวกนางมากันตั้งแต่เช้า”นางหยางก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเช่นกัน กลัวว่าจะทำให้กู้หว่านเยว่เสียเวลา จึงให้สาวใช้เชิญพวกนางเข้ามา ต้อนรับด้วยขนมและน้ำชา“ท่านแม่ พวกท่านพาจ้านจ้านไปที่ห้องอบอุ่นก่อน”สัญชาตญาณของกู้หว่านเยว่บอกว่าพวกนางไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีเฉย ๆ เท่านั้น จึงส่งลูกให้กับนางหยาง หลังจากนางหยางเดินออกไปแล้ว นางก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย พลางถามหลี่ชิวเตี๋ยว่า“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”หลี่ชิวเตี๋ยรีบเข้ามาดึงนางไว้ “ฮูหยิน คราวที่แล้วเจ้านำผงไข่มุกหยกนารีมาให้สวี่ฮูหยินมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางจำเรื่องนี้ได้ตอน
“แค่สามสิบกล่องเท่านั้น...”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย “สินค้าดีต้องรอหน่อย เป็นเพราะว่าผงหยกนารีคือของดี การพัฒนาและผลิตสักขวดจึงต้องใช้เวลานานมาก ดังนั้นจึงสามารถผลิตได้เพียงหกสิบกล่องต่อเดือนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาเหมาซื้อทั้งหมดในคราวเดียว ทางร้านจึงจำกัดการซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีคนได้ใช้มากขึ้น”“ที่พูดมาก็ถูก พวกข้าซื้อผงหยกนารีเพราะเห็นแก่ประสิทธิภาพของมัน ให้รอก็ไม่กลัว อีกสามวันก็วันที่ 15 แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้บ่าวรับใช้มาเข้าแถวแต่เช้าเลย”“ข้าก็จะส่งคนมารอตั้งแต่เช้าเหมือนกัน”เมื่อฮูหยินทั้งหลายได้รู้ช่องทางในการซื้อผงหยกนารีก็เลิกตอแยกัน ต่างคนต่างกลับไปอย่างพึงพอใจหลี่ชิวเตี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่เถ้าแก่เนี้ยยังหาทางได้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะรับมือยังไง”ทุกวันนี้ นางคุ้นเคยกับการเรียกกู้หว่านเยว่ว่าเถ้าแก่เนี้ยแล้ว“เจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนเอาผงหยกนารีสามสิบกล่องไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของหลี่ชิวเตี๋ย กว่าจะทำร้านขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอยากไขว่คว้าโอกาสไว้แน่“ตกลง ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย”
“พี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายตัวน้อยกลับมาแล้ว แต่ไม่ออกมาต้อนรับ ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย!” ซูจิ่นเอ๋อร์เท้าเอว กำลังจะไปตามซูจื่อชิงมานางหยางคว้าตัวนางไว้ “พี่รองของเจ้าไปล่าสัตว์ในภูเขาหิมะเมื่อหลายวันก่อน ยังไม่กลับมาเลย”“ล่าสัตว์ เขาไปล่าสัตว์อะไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดูประหลาดใจเช่นกันฝีมือแย่ ๆ ของซูจื่อชิง กระต่ายตัวเดียวยังยิงแทบไม่ถูกเลย ยังจะวิ่งไปล่าสัตว์ในภูเขาหิมะอีกหรือ?“พี่รองชอบอ่านหนังสือและเขียนตัวอักษรมาตลอด จะไปล่าสัตว์ได้ยังไง ได้ยินว่ามีหมีซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหิมะด้วย”ขณะที่ซูจิ่นเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น ชิงเหลียนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้การแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นนางหยางและซูจิ้งอยู่ที่นี่ ก็รีบหุบปากทันที สายตามองไปทางกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงเป็นประกาย “ท่านแม่ พวกท่านพาจ้านจ้านออกไปเล่นก่อนเถอะ”“ได้สิ แม่จะไปเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัว”นางหยางคิดว่าเป็นเรื่องงานราชการ อุ้มจ้านจ้านลงไปอย่างยิ้มแย้มปรากฏว่าทันทีที่นางออกไป ชิงเหลียนก็รีบคุกเข่าลงบนพื้น “เรียนฮูหยิน คุณชายรองเกิด
ซื่อสี่รีบหุบปาก ในขณะที่ซูจื่อชิงพูดว่า “มันเป็นความประมาทของข้าเอง เลยไปเจอหมีเข้า ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถ้าพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่อยากโทษก็โทษข้าเถอะ”ว่าแล้วก็หลับตาลง ดูหมดอาลัยตายอยาก ส่งผลให้ซูจิ่งสิงสีหน้าบึ้งตึง“ถ้าเจ้าอยากตายก็ไม่มีใครห้ามเจ้าได้ เป็นลูกผู้ชายแต่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาให้ใครดู?”“พี่สะใภ้ใหญ่ถามไถ่รายละเอียดของเรื่องราวด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ซื่อสี่พูด ทำไมหรือ เห็นพวกข้าเป็นคนนอกแล้วหรือ?”ซูจื่อชิงยังคงนิ่งเงียบ หลับตาอันแดงก่ำ ขนตาสั่นไหวเบา ๆ“ท่านพี่!”กู้หว่านเยว่ดึงเขาออกมา นางเข้าใจความเป็นห่วงเป็นใยของซูจิ่งสิงที่มีต่อน้องชาย“จื่อชิงอาจจะไปพบเจออะไรบางอย่าง ท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์”“อาการบาดเจ็บของเขาเป็นยังไงบ้าง?”ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ใจเย็นลง เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรจริงจัง แค่ทนเห็นน้องหญิงต้องคับข้องใจไม่ได้ รวมถึงสภาพของน้องชายที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย“ข้าเพิ่งดูคร่าว ๆ ไม่เป็นอะไรมาก ทั้งหมดเป็นบาดแผลภายนอก ถึงจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บไปถึงกล้ามเนื้อและกระดูก แค่ดูแลให้ดีก็พอ แต่บนขาต้องมีรอยแผลเป็นแน่นอน”สำหรั
“หงเจา พรุ่งนี้เจ้าเอาผงหยกนารีนี้ไปส่งที่ร้านดอกท้อ”กู้หว่านเยว่กังวลว่าตัวเองจะลืม จึงมอบผงหยกนารีให้หงเจาก่อนเห็นเด็กสาวคนนี้รับผงหยกนารีไปแล้วแต่ก็ยังลังเลที่จะพูด จึงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เลย”“ฮูหยิน”หงเจามีอะไรจะถามจริง ๆ แต่มันค่อนข้างยากที่จะเอ่ยปากนางรวบรวมความกล้า “ท่านไปที่กระโจมของศัตรู ได้พบกับคุณชายหร่านแล้วหรือยัง?”“ฮูหยินโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง...ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง...”เสียงของหงเจาเบาลงเรื่อย ๆ ก้มศีรษะต่ำลงเรื่อย ๆกู้หว่านเยว่ชะงักไป เด็กสาวคนนี้ยังไม่ลืมหร่านถิงอีกหรือ? หรือว่าเป็นเพราะยังเด็กเกินไป?“เขายังไม่ตาย”กู้หว่านเยว่สังเกตอารมณ์ของหงเจา เมื่อนางได้ยินว่าหร่านถิงยังไม่ตาย ความเบิกบานก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า พลางถอนหายใจโล่งอก“หงเจา เจ้าชอบหร่านถิงหรือ?”“ไม่ใช่อยู่แล้ว เหตุใดฮูหยินถึงถามเช่นนี้? เขาเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายมากรัก บ่าวเองก็รู้ดี จะไปชอบเขาได้ยังไง บ่าวรังเกียจคนแบบนี้ที่สุด”เสียงของหงเจาค่อนข้างวิตกกังวล ไม่รู้เลยว่าจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร“หงเจา เจ้ายังเด็กนัก อายุแค่สิบ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก