การที่คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณแม่ลูกคู่นี้จริง ๆ “ฮูหยิน” เหมยจื่อและเหมยจื่อเหนียงเดินเข้ามากู้หว่านเยว่มองไปทางพวกเขา ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสองคนมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อข้าและลูก เป็นพวกเจ้าที่ช่วยชีวิตลูกของข้าไว้”ว่ากันตามจริง พวกนางก็เป็นแค่แม่ลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะอยู่ช่วยเหลือนางในยามคับขันเช่นนี้ความใจดีนี้ ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ่งยกย่องทั้งสองคนมากขึ้นยายเฉินรีบเอ่ยขึ้น “ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ หากเปลี่ยนเป็นใคร ๆ ก็ต้องทำเช่นนี้กันทั้งนั้น พวกเราจะทนดูชีวิตทั้งสองชีวิตตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก”เหมยจื่อก็เผยรอยยิ้มใสซื่อ “ใช่แล้ว การช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก”กู้หว่านเยว่ส่ายหัวพลางยิ้ม แม่ลูกคู่นี้ช่างจริงใจเสียจริง “ข้าพักฟื้นจนเกือบหายดีแล้ว อีกไม่นานก็จะจากไป พวกเจ้าสองแม่ลูกมีอะไรอยากได้ก็บอกมาได้เลย”กู้หว่านเยว่คิดว่า แม่ลูกคู่นี้ช่วยเหลือนางไว้มาก นางต้องตอบแทนบุญคุณแน่นอนแต่ในชั่วขณะหนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกเขาด้วยอะไรดีให้เงินหรือ หากให้มากเกินไปก็อาจเป็นการนำ
เฉินลิ่วด่าทอด้วยความโมโห เมื่อเห็นเหมยจื่อเถียง ดวงตาที่เบิกโพลงของเขาก็จ้องเขม็งใส่นาง“เจ้ามันนางเด็กตัวซวยที่ทำให้ครอบครัวสามีตาย กล้าดีอย่างไรมาเถียงข้า พรุ่งนี้ข้าจะเอาเจ้าไปขายที่หอนางโลม”เหมยจื่อไม่กล้าส่งเสียง แต่ดวงตาของนางกลับจ้องมองเฉินลิ่วด้วยความเคียดแค้นเป็นอย่างมากเฉินลิ่วก็ไม่สนใจนาง เขาเรอออกมาเป็นกลิ่นเหล้า“เอาเงินมาให้ข้า”เขาแบมือออก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ขอเงิน “ข้าจะไปซื้อเหล้ากิน”“ในบ้านมีเงินที่ไหนกัน...” สีหน้าของยายเฉินดูตื่นตระหนกเล็กน้อยเฉินลิ่วแสยะยิ้มทันที ไม่ได้พูดอะไร ก็ถีบยายเฉินจนล้มลงกับพื้น“ไม่มีเงิน? ไม่มีเงินแล้วเจ้าไปซื้อแม่ไก่แก่มาทำไม ตอนข้าไม่อยู่บ้าน ก็แอบกินของอร่อย ๆ ใช่หรือไม่?”หมัดรัวราวกับสายฝนกระหน่ำลงบนตัวของยายเฉิน จนเกือบจะเอาชีวิตนางแล้ว“แม่ไก่แก่นั่นซื้อให้เจ้านาย ไม่ได้กินเอง...โอ๊ย หยุดตีได้แล้ว เจ็บนะ ตีอีกข้าตายแน่”ยายเฉินส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด พลางหดตัวเข้าไปในห้องไหนเลยจะรู้ว่าเฉินลิ่วได้ยินคำพูดนี้ ยิ่งโกรธมากขึ้น “มีเจ้านาย ยังกล้าบอกว่าไม่มีเงิน ยายแก่กล้าหลอกข้า รีบเอาเงินออกมา ไม่เช่นนั
“เหมยจื่อ”ยายเฉินตามมา แล้วจับมือของนางไว้ “อย่าพูดเช่นนี้ ถึงเขาจะไม่ดีแค่ไหน เขาก็เป็นพ่อของเจ้า”“เขาเป็นพ่อแบบไหนกัน?”เหมยจื่อเคียดแค้นที่สุด“ตั้งแต่เล็กจนโต เขารู้จักแต่ทุบตีข้า พูดไม่เข้าหูก็ถีบข้าจนกระอักเลือด”นางกอดศีรษะตัวเองไว้ แล้วร้องไห้โฮ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาติดหนี้พนัน พี่เจิ้งก็คงไม่โดนคนทุบตีตาย”“สามีของข้า ในวันแต่งงานวันแรก ฮ่า ๆ ๆ... ข้ายังไม่ทันได้รอให้เขามารับ เขาก็ถูกคนทุบตีจนตายระหว่างทางเสียแล้ว”“ข้ารอเขาอยู่ที่บ้านเพื่อให้เขามารับตัว แต่สุดท้ายสิ่งที่รออยู่กลับเป็นโลงศพของเขา”“ข้ากับพี่เจิ้งเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงเพราะเขาต้องการเงินสิบตำลึงเป็นค่าสินสอด พี่เจิ้งจึงทำงานเป็นช่างไม้ในเมืองทั้งวันทั้งคืน เพื่อเก็บเงินมาแต่งงานกับข้า กว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันมันยากลำบากมาก”“ทั้งหมด ทั้งหมดนี้ถูกเขาทำลาย! ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดเขามากแค่ไหน ข้าอยากให้เขาตายไปเสีย”เหมยจื่อคุกเข่าลงกับพื้น และร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด“เหมยจื่อ...”ยายเฉินนั่งลงบนพื้นด้วยความตกตะลึงนางคิดมาตลอดว่าให้เหมยจื่อได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ นางต้องอดทนบ้างก็ไม่
เฉินลิ่วด่าทอเสียงดังลั่น “เจ้าบ้าไปแล้ว นางเด็กบ้านี่ ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ เจ้ากล้าตีข้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว”เหมยจื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยิ้มเยาะ “เจ้าก็คู่ควรเป็นพ่อของข้าหรือ ไอ้ขี้เมาติดการพนันอย่างเจ้า สมควรตายอยู่ในท่อระบายน้ำเน่า ๆ เสียมากกว่า!”คำพูดนี้ นางอยากจะพูดออกมาตั้งนานแล้ว พอได้ระบายออกมา ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเจียงเฟิ่งจับเฉินลิ่วไว้แน่น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่เหมยจื่อ ไม่ต้องกลัว ข้าจับเขาไว้แล้ว มีอะไรอยากพูด มีแค้นอะไร ก็ระบายออกมาเลย”เหมยจื่อมองเฉินลิ่วที่กำลังทำหน้าเหี้ยมเกรียมแล้วส่ายหัว“ข้าแค่อยากพาท่านแม่ไปให้ไกลจากเขา”ความคับแค้นใจของนาง พูดเท่าไรก็คงไม่หมดถึงจะพูดออกไป เฉินลิ่วจะเข้าใจหรือ? เสียเวลาเปล่า“เจียงเฟิ่ง เจ้าลากคนไปจัดการที” กู้หว่านเยว่โบกมือผู้ชายใช้ความรุนแรงในครอบครัวแบบนี้ นางกลัวว่าตนเองจะอดใจไม่ไหวฆ่าเขาตายเสียก่อน“ฮูหยินวางใจ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าจะจัดการเอง”เจียงเฟิ่งรีบลากตัวเฉินลิ่วเข้าไปในห้องเก็บฟืนข้าง ๆ ไม่นานนัก เสียงร้องโหยหวนของเฉินลิ่วก็ดังออกมาจากห้องเก็บฟืนเหมยจื่อกับยายเฉินจับมือกัน ฟังเสียงร้องโหยหวนนั้น
องครักษ์จันทราหลายคนขยี้ตา“สวรรค์ ข้าน้อยมีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี เพิ่งเคยเห็นนกกางเขนเอารังนกมาให้แบบนี้เป็นครั้งแรก”เจียงเฟิ่งกล่าวด้วยความตกตะลึง “นกกางเขนพวกนี้คงรู้ว่าฮูหยินเพิ่งคลอดคุณชายน้อย จึงนำของบำรุงมาให้สินะ?”คนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังกลับเก็บไปคิดกู้หว่านเยว่เปิดม่านรถม้า กลับเห็นของที่วางอยู่บนรถม้าล้วนเป็นรังนก โสมแดง สิ่งของที่เหมาะสำหรับบำรุงเลือดลมหลังคลอดบุตรทั้งนั้นพวกมันมาส่งมอบความห่วงใยหรือ?“เป็นของบำรุงทั้งนั้นเลย หาถุงผ้ามาใส่เก็บไว้เถอะ”สมุนไพรพวกนี้จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้“ขอรับ”องครักษ์จันทราหลายคนรีบหยิบถุงผ้า เก็บรังนกและโสมแดงบนรถม้าจนหมดเกลี้ยงนกกางเขนพวกนั้นก็ฉลาดเหมือนกัน เห็นว่าพวกเขาเอาถุงผ้ามาแล้ว ก็เลยไม่โยนลงบนรถม้าอีก แต่โยนสมุนไพรลงในถุงผ้าแทนถุงหลายใบถูกใส่เอาไว้จนเต็มนกกางเขนบินวนรอบกู้หว่านเยว่รอบหนึ่ง แล้วก็จากไป“อุแว้อุแว้...”ดวงตาของจ้านจ้านน้อยเป็นประกาย สีหน้าดูพึงพอใจ ไม่ต้องพูดเลยว่ามีความสุขแค่ไหนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวเล็กนี่อย่างแน่นอน
เหมยจื่อกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง“ก่อนหน้านี้ ข้าราชการที่นำเสบียงมาให้พวกเรา บอกว่าซูฮูหยินเป็นคนสั่งให้พวกเขานำอาหารมาแจกจ่ายชาวบ้านที่ประสบภัย”ที่แท้ซูฮูหยินก็ช่วยพวกนางไว้ตั้งนานแล้วยายเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง “ต่อไปนี้ พวกเราต้องจงรักภักดีต่อฮูหยิน”“ท่านแม่วางใจ ต่อไปฮูหยินก็คือนายของข้า ข้าจะไม่มีวันทรยศท่านอย่างแน่นอน”สีหน้าของเหมยจื่อจริงจังกู้หว่านเยว่หลังคลอดร่างกายยังอ่อนแอ ไม่ควรยืนนาน จึงรีบนอนลงบนเก้าอี้ยาว“ปิดม่านเต็นท์ลง อย่าให้ลมเข้ามา”ซูจิ่งสิงกำชับ ภรรยาของเขาเพิ่งคลอด ไม่สามารถโดนลมได้หากกล่าวจริงจังแล้วนางยังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังคลอด แต่กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงดี แถมยังมีระบบช่วยฟื้นฟู นางจึงลุกจากเตียงแล้วเดินไปเดินมา ซูจิ่งสิงก็ทำอะไรนางไม่ได้“บังเอิญจริง ๆ พวกเจ้าสองคนมาได้ถูกเวลาพอดี เจียงเต๋อจื้อกำลังจะยกทัพมาโจมตีพวกเราแล้ว”ที่แท้ก็เป็นเพราะเจียงเต๋อจื้อเห็นว่าเถาเอ๋อร์หายไปนานไม่กลับมา เสบียงในค่ายก็ถูกขโมยไป กลัวว่าฮ่องเต้จะตำหนิ จึงตัดสินใจบุกเจดีย์หนิงกู่ก่อนเขาคิดว่าถ้าประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถไถ่โทษได้“อีก
ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด แต่ยังยึดครองเจดีย์หนิงกู่ พลิกสถานการณ์กลับมาได้เจียงเต๋อจื้อรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าซูจิ่งสิงจะมีวันนี้ ตอนนั้นเขาคงไม่ไปวางอำนาจที่จวนซูตั้งแต่แรกแล้วแต่ตอนนี้ พูดอะไรก็สายไปแล้ว“ลากศพออกไป ตรวจนับกำลังพลทั้งสามกองทัพ พอฟ้ามืด ก็บุกโจมตีเจดีย์หนิงกู่”เจียงเต๋อจื้อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากท้องฟ้า ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน“แย่แล้ว แย่แล้ว ไฟสวรรค์ เป็นไฟสวรรค์!”ทหารทั้งสามกองทัพต่างร้องเสียงหลง กุมหัววิ่งหนีกันอย่างอลหม่านไฟสวรรค์ก็คืออุกกาบาตจากท้องฟ้าที่ตกลงมายังพื้นดิน แต่คนโบราณไม่เข้าใจ พวกเขาจึงมองว่าไฟสวรรค์เป็นการลงโทษจากเทพเจ้าเจียงเต๋อจื้อได้ยินว่ามีไฟสวรรค์ ก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกทันทีพร้อมกับเอามือกุมแผลไว้เมื่อมองออกไปนอกค่ายทหารประมาณหนึ่งลี้ ก็เห็นอุกกาบาตที่ลุกเป็นไฟตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นระยะ ๆ ตกลงสู่พื้นดิน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เกือบทำให้คนตกใจตายเหล่าทหารเห็นภาพนี้ ต่างตื่นตระหนกกันไปหมด แม้ว่าไฟสวรรค์จะไม่ได้ตกลงมาในค่ายของพวกเขา แต่ดูเหมือนระยะทางจะใกล้เข้ามาเรื
“คนไหนกล้ายอมแพ้ ข้าจะฆ่าคนนั้น!”เจียงเต๋อจื้อโมโหจนชักดาบยาวออกมาเหล่าทหารต่างพากันตกใจกลัว ถอยหลังและวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย“ข้าดูสิว่าใครกล้าพูดว่ายอมแพ้ พูดมาคนหนึ่ง ข้าจะฟันคนหนึ่ง”เขาแกว่งดาบอย่างรุนแรง ฟันทหารสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดจนได้รับบาดเจ็บเจียงเต๋อจื้อคลั่งไปแล้วเขาไม่ยอมให้ใครยอมแพ้ทั้งนั้น หากยอมแพ้ขึ้นมาจริง ๆ นแรกที่จะต้องตายก็คือเขาดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ มองไปรอบ ๆ แล้วจ้องมองไปทีละคนใครกล้าส่งเสียง ก็ฆ่าคนนั้นเหล่าทหารพากันถอยหลัง แต่ในใจยังคงไม่ยอมรับทันใดนั้น ก็มีแสงไฟพาดผ่านท้องฟ้า ตามมาด้วยลูกไฟขนาดมหึมาที่พุ่งตกลงมาจากฟากฟ้าเสียง “ตูม” ดังสนั่น ตกลงมาตรงตำแหน่งที่เจียงเต๋อจื้ออยู่เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ ก็ถูกหินทับลงไปในดิน ถูกไฟที่ลุกไหม้บนหินเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านทุกคนต่างตกตะลึง ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงตามด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น“ท่านแม่ทัพตายแล้ว!”“ท่านแม่ทัพถูกไฟสวรรค์ทับตายแล้ว!”“ยอมแพ้เถอะ พวกเรายอมแพ้กันเถอะ”“...”บนท้องฟ้า ซูจิ่งสิงขับเฮลิคอปเตอร์ไปยังลานโล่ง จากนั้นก็ให้กู้หว่านเยว่เก็บเฮลิคอปเตอร์กลับ
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง