ชายคนหนึ่งกำลังดึงเสื้อคลุมยาวของปรมาจารย์แพทย์ “ชดใช้ ชดใช้ค่าเสียหาย!”ข้างกายเขามีหญิงสูงอายุวัยสี่สิบนอนอยู่ กำลังกุมท้องที่อ้วนกลม“โอ๊ย โอ๊ย ถูกตัดลำไส้ ปวดท้องมาก ๆ”ฝูงชนที่รายล้อมชะโงกหน้าเข้ามามุงดูเรื่องคนอื่นปรมาจารย์แพทย์โมโหจนทนไม่ไหวแล้ว “ลำไส้ส่วนนั้นของท่านเน่าแล้ว ควรตัดทิ้งไป ถ้าไม่ตัดออกจะเกิดการอักเสบ ข้าตัดออกให้ท่านคือการช่วยชีวิตท่าน ต้องชดใช้ค่าเสียหายอะไร?”ครอบครัวนี้ควรจะดีใจที่บังเอิญโชคดี เขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจัดยาให้ชุดใหญ่แล้ว“ร่างกายของเราได้รับจากพ่อแม่ ตัดลำไส้ทิ้งแล้ว ในอนาคตหากเกิดอะไรผิดพลาดส่งผลกระทบต่อชีวิตแล้วจะทำเช่นไร? ท่านบอกว่าท่านกำลังช่วยชีวิตแม่ของข้า แต่ความจริงแล้วท่านเป็นหมอเถื่อน จงใจทำร้ายแม่ของข้า!” ชายหนุ่มกลอกตาพูดปรมาจารย์แพทย์โกรธจัด “ได้รับจากพ่อแม่อะไร ก่อนตัดทิ้ง ข้าก็ถามหญิงสูงอายุผู้นี้แล้วไม่ใช่หรือ นางก็เห็นด้วย”“ข้าเปล่านะ” สายตาของหญิงอ้วนระยิบระยับ“ข้าไม่ได้เห็นด้วย ใครเห็นด้วยหรือท่านฉวยโอกาสตอนที่ข้าหมดสติ ตัดมันออกให้ข้า”ปรมาจารย์แพทย์ถึงกับพูดไม่ออก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั
เงินยี่สิบตำลึงเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับจวนกู้ สมุห์บัญชีจ่ายแผ่นทองแดงยี่สิบตำลึงออกมาอย่างรวดเร็ว ยังวางลงบนถาดโดยเฉพาะ กองไว้เหมือนเนินเขาเล็ก ๆเมื่อครอบครัวหญิงอ้วนเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ดวงตาก็เป็นประกายหญิงอ้วนเลียปาก อยากจะตรงเข้าไปคว้าเงินมาใจจะขาด แต่เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังแกล้งป่วย ก็รีบนอนลงร้องโอดโอยเหมือนเดิมลูกชายของหญิงอ้วนไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว พลางถูมือ “รวยแล้วๆ!”“ท่านแม่ ให้ข้าสักห้าตำลึงได้ไหม” ภรรยาของชายคนนั้นพูดเสียงเบา “ข้าอยากไปหาหมอ จะได้มีลูกให้ท่านพี่สักคนไว ๆ”“ให้ข้า ให้ข้าไปซื้อขนมถังหูลู่!” ลูกชายตัวน้อยเช็ดน้ำลายทั้งครอบครัวไม่ได้ปิดบังความโลภที่มีต่อเงินยี่สิบตำลึงนั้นเลย ถึงกับปรึกษากันว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรต่อหน้าทุกคนด้วยผู้คนที่มุงดูเริ่มรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันเริ่มไม่ถูกจริตแล้ว นี่ตั้งใจจะเล่นงานหมอเถื่อน หรือพุ่งเป้าไปที่เงินกันแน่?ดูสายตาที่เปล่งประกายนั่นสิ จับจ้องมาที่เงินอย่างชัดเจน หน้าตาอย่าให้มันออกชัดเจนจนเกินไป“เอาเงินมาให้พวกข้าเร็วเข้า”ชายคนนั้นถูมือ แล้วรีบเดินไปที่หน้าสมุห์บัญชีกู้หว่านเยว่ส่งสายตาไป ชิ
ในช่วงเวลานี้ ปรมาจารย์แพทย์ได้ฝึกฝนการแพทย์ในเมืองอวี้ ต้องรักษาผู้คนจำนวนมากได้แน่ก่อนหน้านี้ไม่มีความคิดว่าสร้างปัญหาอะไร ทุกคนกำลังดูละครฉากใหญ่กันหมด แต่เมื่อกู้หว่านเยว่เอาเงินออกมาล่อ ก็ต้องมีคนแรกที่เอ่ยปากแน่นอนหากมีคนที่หนึ่งก็ต้องมีคนที่สอง มีคนที่สามก็ต้องมีคนที่สี่“ฮูหยิน ข้าจะไปตรวจกับหมออาวุโสคนนี้” ชายอ่อนแอในฝูงชนยกมือขึ้น“เดิมทีข้ามีอาการปวดกระดูกในวันที่ฟ้าครึ้ม แต่หลังจากที่เขาสั่งยากอเอี๊ยะให้ไม่กี่แผ่น ก็ไม่กำเริบอีกเลย”ดวงตาของหงเจาสว่างไสวขึ้น “มีจริง ๆ เห็นไหม แล้วทำไมทางท่านถึงไม่พูดอะไรสักคำ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อาวุโสของพวกเราจะมีทักษะมากพอสมควร”นางช่วยพูดเสริม “มา ๆ ๆ มาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นเถอะ”ชายคนนั้นเข้ามาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นอย่างมีความสุข เขาไม่ได้พูดว่าเพราะครอบครัวนั้นดูก็รู้ว่าเป็นคนชั่ว เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวแต่สำหรับแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่น เสมือนมีกับแกล้มเคล้านารีให้โดยไม่เสียเงิน ใครบ้างจะไม่เอาหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งยกมือขึ้นตัวสั่นงันงก ในขณะที่ชิงเหลียนเลิกคิ้วขึ้น “อะไรนี่ เจ้าก็เคยไปตรวจอาการป่วยกับปรมาจารย์อาวุโสด้วยหร
“โอ๊ยเดี๋ยวก่อน...” ชายคนนั้นอยากจะขัดขวาง แต่น่าเสียดายที่วิชาตัวเบาของชิงเหลียนนั้นมีความเร็วมาก“ทำยังไงดี?” หญิงอ้วนเริ่มสับสนแล้วนางดึงชายเสื้อของลู่ซาน “ลูก พวกเขาตามหมอมาแล้ว หรือว่าจะ...”ป้าลู่รู้สึกหวาดหวั่นมาก อากัปกิริยานั้นอยู่ในสายตากู้หว่านเยว่ ทำให้นางยิ่งยิ้มหนักขึ้น“ไม่ได้ กลับไปไม่ได้ แล้วยี่สิบตำลึงล่ะ”สายตาของเขาร้ายกาจขึ้นอย่างฉับพลัน“เจ้าก็ยืนกรานท่าเดียวว่าไม่สบายตัวสิ หมอก็มองไม่ออกหรอก”“ใช่แล้ว ท่านแม่สามีได้โปรดอดทนไว้ ทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวนี้”ลูกสะใภ้สาวปิดปากแอบหัวเราะ คำพูดนี้แต่ก่อนแม่สามีเคยพูดกับนางอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดก็ถึงวันที่นางจะได้ตอกกลับบ้างแล้วอย่าให้ต้องพูด ความรู้สึกนี้มันสะใจมากทีเดียว “เจ้า...”หญิงอ้วนเริ่มเสียดาย เหมือนว่านางไม่ควรมาที่นี่ วินาทีต่อมา นางก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเห็นเพียงชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมขุนนางวิ่งไปถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วคุกเข่าลง“ข้าน้อยมาช้าไป”กู้หว่านเยว่นึกดูสักครู่ “ผู้พิพากษาสวี?”“ข้าน้อยเอง” ผู้พิพากษาสวี่เช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ เขาเข้าใจตำแหน่งของกู้หว่านเยว่ในหัวใจของซูจิ่งสิงเป็นอย่างด
แววดุร้ายฉายแวบขึ้นในดวงตาของลู่ซาน “ยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับก็พอ”หลังจากนั้นไม่นาน หมอทั้งหลายก็ตรวจชีพจรให้ป้าลู่ทีละคน จากนั้นก็รวมตัวพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ผู้คนรอบ ๆ กำลังรอผลตรวจอยู่ ปรมาจารย์แพทย์จะเป็นหมอเถื่อนหรือไม่ใช่กันแน่นะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?ผู้พิพากษาสวี่อดถามไม่ได้ว่า “เป็นไงบ้าง?”ครอบครัวของป้าลู่ก็เริ่มกังวลเช่นกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขารู้อยู่แก่ใจดีหมอทั้งหลายตอบว่า “ปรมาจารย์อาวุโสดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของป้าลู่ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ”หมอหลินที่ค่อนข้างเด็กกว่าพูดว่า “ความจริงแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน ป้าลู่ก็เคยไปเยี่ยมโรงหมอของประชาชนเช่นกัน แต่ประชาชนมีความรู้น้อย ไม่กล้าใช้อาวุธโดยพลการ”กู้หว่านเยว่จับประเด็นสำคัญ “พูดแบบนี้ ลำไส้ของป้าลู่ก็ควรถูกตัดใช่ไหม?”“ถูกต้อง” หมอทั้งหลายพยักหน้า “ป้าลู่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ดูจากฝ่ามือของนางนั้นมีรูปโลงศพอยู่แล้ว แต่ลายมือนั้นมีร่องรอยการจางหายไป จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ปรมาจารย์แพทย์ผ่าตัดเอาอวัยวะที่เป็นจุดศูนย์รวมของโรคออกไป นางก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”“โชคดีที่ได้พบกับปรมาจารย์อาวุโส หากเป็นพว
ลู่ซานพุ่งเข้าไปคว้าเส้นผมของนางไช่ไว้ จนทำให้นางร้องโอดโอยกู้หว่านเยว่ไม่มีความทรงจำอะไรที่ดีต่อครอบครัวนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะทนเห็นลู่ซานใช้ความรุนแรงกับภรรยาได้“ผู้พิพากษาสวี่ ท่านรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรกับพยานและหลักฐานทั้งหมดใช่ไหม?”“เด็ก ๆ จับกุมคนในสกุลลู่ทุกคน คุมตัวไปที่ศาลาว่าการ โบยตียี่สิบไม้กระดาน!”ผู้พิพากษาสวี่โบกมือ เจ้าหน้าที่จับกุมป้าลู่และครอบครัวทันที เพื่อเห็นแก่นางไช่ที่พูดความจริงออกมา จึงไม่ได้จับกุมนาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปให้ปากคำที่ศาลาว่าการอยู่ดี“ปล่อยข้า ปล่อยข้า พวกท่านใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น!”ลู่ซานมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาดุร้าย “เงินยี่สิบตำลึงนั้นสำหรับพวกท่านแล้ว มันก็เป็นแค่น้ำ แต่มันสามารถช่วยชีวิตคนทั้งครอบครัวของข้าได้ ทำไมท่านถึงยอมมอบเงินให้กับคนที่เดินผ่านไปมาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร แทนที่จะมอบให้พวกข้า เหตุใดท่านถึงเห็นแก่ตัวและโหดร้ายเช่นนี้!”กู้หว่านเยว่รู้สึกขบขันกับหลักการของเขา“มีเงินเยอะ ก็สมควรเอามาให้เจ้าหลอกงั้นหรือ?”“ตัวเจ้าติดหนี้พนัน เดือดร้อนไปทั้งครอบครัวไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว แต่ดันวิ่งออกไปหลอกลว
แค่คิดถึงอารมณ์เดือดดาลของปรมาจารย์แพทย์ ก็รู้สึกว่าเอาไว้มาเยี่ยมเยียนเขาวันหลังดีกว่ากู้หว่านเยว่มองดูฝูงชนแยกย้ายกันไปพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก พลางชำเลืองมองปรมาจารย์แพทย์ “ต่อไป ท่านยังจะตรวจรักษาเป็นการกุศลอยู่หรือไม่?”ปรมาจารย์แพทย์ลูบเคราพลางไตร่ตรองอยู่นาน “เมื่อก่อนผู้เฒ่าหวงเป็นคนบังคับให้ข้าตรวจรักษาโดยไม่คิดเงิน ต่อมาข้าก็ยินดีทำเอง”ในโลกนี้ยังมีคนที่เขารู้สึกคุ้มค่าที่จะช่วยเหลืออยู่อีกก็เหมือนกับกู้หว่านเยว่พูดไว้ โลกที่บุบสลาย มักจะมีคนซ่อมแซมอยู่เสมอการออกมาในวันนี้ ถือว่าให้ความซาบซึ้งใจแก่เขาเป็นอย่างมาก เมื่อซูจิ่งสิงกลับมาพร้อมกับอวิ๋นมู่ ก็พบว่าละครตลกนั้นแยกย้ายกันแล้ว“น้องหญิง เกิดอะไรขึ้น?”เขามองเห็นความโกลาหลที่ประตูจวนจากระยะไกล จึงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้จนกระทั่งมาถึงข้างกายกู้หว่านเยว่ เกี่ยวมือนางไว้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยกู้หว่านเยว่รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เขาฟัง ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะเยาะอยู่ครู่หนึ่งลู่ซานควรจะรู้สึกดีใจในความโชคดีที่ไม่ได้พบเขา“คุณชายอวิ๋นมาได้ยังไง?” กู้หว่านเยว่แปลกใจเล็กน้อย อวิ๋นมู่ถูกนางจัดการให้ไปทำด
แล้วดูด้วยว่า ครั้งนี้เถาเอ๋อร์คิดจะลอบวางแผนทำชั่วอะไรกันแน่หร่านถิงย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากู้หว่านเยว่ต้องการให้เขาทำอะไร เมื่อครู่เขากำลังแสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้านางไช่อย่างจงใจสองวันที่ผ่านมาเขาเห็นว่ารูปแบบการทำงานของกู้หว่านเยว่ น่าเชื่อถือมากกว่าของเถาเอ๋อร์มากนกที่ดีย่อมเลือกต้นไม้และที่เกาะที่ดี เขารู้วิธีว่าควรเลือกอย่างไร ดังนั้นทันทีที่ได้ยินคำสั่งของกู้หว่านเยว่ ก็คุกเข่าลงโดยไม่ลังเล“หร่านถิงยินดีเชื่อฟังคำสั่งของนาง เพียงแต่ว่า มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้องฮูหยิน”“ข้ารู้แล้ว”หร่านถิง เดิมทีควรจะเป็นคนของมู่หรงอวี้ ประโยคที่บอกว่าแม่ป่วยหนัก น้องชายที่ไปเรียนหนังสือของเขา มันไม่ใช่เรื่องโกหก“ท่านพี่ ข้าต้องการให้ท่านมาช่วยข้าเรื่องนี้” กู้หว่านเยว่มองไปยังซูจิ่งสิง ทำให้ชายหนุ่มนั้นขมวดคิ้ว“ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่ต้องใช้คำว่าช่วยหรอกถ้ามีอะไร เจ้าก็สั่งข้ามาได้เต็มที่เลย”กู้หว่านเยว่จนใจ ชายคนนี้มีไหวพริบดีจริง ๆ “ส่งคนไปที่เมืองฉีสุ่ย ค้นหาครอบครัวของหร่านถิง ช่วยปกป้องพวกเขา แต่อย่าให้เถาเอ๋อร์รู้เรื่อง”“เมืองฉีสุ่ย? ข้าจะส่งคนไปที่นั่นทันที”กู้หว่
ยิ่งไปกว่านั้นยังสวมถุงมือและผ้าคลุมหน้าอีกด้วยเห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นอับจนหนทางแล้ว พอเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขาทันที“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย พวกท่านได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย เขาเพิ่งห้าขวบเท่านั้น”หญิงผู้นั้นกอดลูกไว้แน่นในอ้อมแขน“เขาฉลาดมาก และเชื่อฟังมากด้วย มักจะช่วยข้าทำงานอยู่บ่อยครั้ง สามารถอ่านหนังสือและจดจำตัวอักษรได้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ พวกท่านได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าก็ตาม”หญิงผู้นั้นร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลกู้หว่านเยว่ให้นางวางลูกลงบนเบาะนุ่ม เพื่อสะดวกในการตรวจวินิจฉัย“แล้วพ่อของเด็กล่ะ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่คนเดียว?”หญิงผู้นั้นมีอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัด แก้มตอบลึก“ตาย ตายแล้ว”หญิงผู้นั้นสะอึกสะอื้นตอบ“เป็นไข้หวัด ไม่มียารักษา ทนได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายแล้ว”กู้หว่านเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ขอโทษนะ”หญิงผู้นั้นส่ายหัว “มันคือโชคชะตา แต่ขอให้หมอช่วยชีวิตลูกของข้าด้วย แม้ว่าต้องการให้ข้าไปตาย ข้าก็เต็มใจ”กู้หว่านเยว่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวด ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำหมัดทั้งสองแน่น“ไม่ต้องให้เจ้าไปตายหรอก ให้ข้าดู
“ไป ๆ ๆ”เฉิงทั่วกลอกตาใส่หนานหยางอ๋อง“ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้าพูดแทนข้าที่นี่”“เฮ้ ข้าหวังดีกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเลย?” หนานหยางอ๋องฮึดฮัดด้วยความโมโห“กาลเวลาพิสูจน์คน ข้าเป็นคนอย่างไร ต่อไปท่านอ๋องและพระชายาก็รู้เอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูดอะไรมาก”เฉิงทั่วกังวลว่าหากหนานหยางอ๋องออกหน้าพูดแทนเขา มันจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองชายชราหัวรั้นสองคนต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่ไม่พูดออกมากองทัพเข้ามาในเมืองทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มลูกอยู่ ได้โผเข้ามาแทบเท้าของกู้หว่านเยว่“ท่านหญิง ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย!”หญิงผู้นั้นล้มลงกับพื้น เด็กในอ้อมแขนเกือบจะกลิ้งออกมา นางกอดเด็กไว้แน่น ไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เหลือบมองเข้าไปในอ้อมแขนของนาง เห็นว่าเด็กมีสีหน้าเขียวคล้ำ“เกิดอะไรขึ้น?”“พระชายา กลับจวนแล้วค่อยคุยกับท่านแล้วกัน”สีหน้าของเฉิงทั่วดูแย่มาก โบกมือให้รองแม่ทัพพาหญิงผู้นั้นออกไปปลอบโยนก่อนเมื่อมาถึงจวน เขาก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า“ปีนี้สภาพอากาศแปลก ๆ การเก็บเกี่ยวของประชาชนก็ไม่ดี ในสิบคนก็มีคนป่วยแปดหรือเก้าคนแล้ว”คิ้วของกู้หว่า
สมองของเจียงม่านวิงเวียน ก่อนจะสูญเสียความรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ คิดเพียงว่าที่แท้ฮั่วจี๋ก็มีมุมแบบนี้เช่นกัน...คู่บ่าวสาวสนุกสนานกันทั้งคืน ไม่รู้ว่าหมดไปกี่น้ำ สรุปได้ว่าแนบชิดดูดดื่มก่อนหน้านี้เรื่องที่เจียงม่านกังวลว่าในคืนแต่งงาน ฮั่วจี๋จะรังเกียจที่นางไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ราคีหรือเปล่านั้น ไม่หลงเหลืออยู่แล้วหลังจากเพิ่งแต่งงานไป กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงได้มอบหมายเมืองเหยาให้ฮั่วจี๋ดูแลจัดการชั่วคราว โดยทิ้งหวังปี้เอาไว้คอยช่วยเหลือพวกเขาพร้อมด้วยกองทัพใหญ่ เดินหน้าไปยังเมืองซุ่ยโจวอย่างองอาจเฉิงทั่วได้ยื่นหนังสือขอยอมจำนนไปนานแล้วพอได้ยินว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกำลังจะมา จึงเปิดประตูเมืองออก แล้วพาทุกคนในเมืองไปต้อนรับที่ประตูเมืองด้วยตัวเอง“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขี่ม้าเข้ามา เมื่อเห็นเฉิงทั่วพาผู้คนมายืนรออยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาสองคนก็ลงจากหลังม้า“แม่ทัพเฉิง ไม่นึกว่าเราจะได้พบกันอีกเร็วขนาดนี้”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม สายตาจับจ้องไปที่หัวไหล่ของเฉิงทั่วเฉิงทั่วรู้สึกกระดากอายในทันใด “พระชายามีทักษะด้า
กู้หว่านเยว่พยักหน้า “นำพวกเขาทั้งหมดขังไว้ในเรือนจำใหญ่ รอการลงโทษ อย่าปล่อยออกมาง่าย ๆทหารพวกที่หลบหนีเมื่อใกล้แนวรบ กู้หว่านเยว่เหยียดหยามมาโดยตลอดไม่ได้ลงโทษเนรเทศพวกเขา ก็นับว่าเมตตาแล้วตอนนี้พวกเขายังกล้าหลบหนีก่อนจริงหรือ?เช่นนั้นก็อย่าโทษนางที่ไม่เกรงใจฮั่วจี๋พยักหน้าตาม“เรือนจำของเมืองเหยานั้นกว้างขวางมาก จับพวกเขาทั้งครอบครัวเข้าไปคุมขังก็ยังมีที่เหลือเฟือ”ดูสีท้องฟ้าก็ดึกมากแล้ว ดนตรีประโคมข้างนอกก็จบลงแล้วเช่นกันซูจิ่งสิงเข้ามาหา แล้วมองไปยังฮั่วจี๋“แม่ทัพฮั่วขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ อย่าทำให้คืนแต่งงานน่าผิดหวังล่ะ”“ขอรับ”ฮั่วจี๋ลูบศีรษะ ยังคงครุ่นคิดว่า เหตุใดท่านอ๋องถึงอารมณ์ร้อนกับเขามากทันทีที่เข้ามาเมื่อเห็นซูจิ่งสิงดึงกู้หว่านเยว่ออกไป จึงเข้าใจในภายหลังว่า ตัวเองไปเป็นกว้างขวางคอของพวกเขา“แล้วฮูหยินน้อยล่ะ?”ฮั่วจี๋หันกลับไปถามพ่อบ้านเมื่อเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เป็นคู่กิ่งทองใบหยก เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจียงม่านที่อยู่ในห้อง“อยู่ในห้องขอรับ นายท่าน บ่าวจะประคองท่านไป”พ่อบ้านยิ้มตาหยี เห็นฮั่วจี๋เป็นฝั่งเป็นฝา เขาเองก็มีความสุขเช
จางเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“แต่ว่า ข้าทำได้เพียงพูดต่อหน้าพระชายาเท่านั้น”“ทำอย่างสุดความสามารถก็พอ” หวังหรานเอ๋อร์ก็ไม่บีบบังคับเช่นกันหลังจากที่ทั้งสองพูดจบ จางเอ้อร์ก็ไปหากู้หว่านเยว่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้กู้หว่านเยว่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใช้คนพอดี ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วและเมื่อก่อนบนเส้นทางที่ถูกเนรเทศ จางเอ้อร์ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี กู้หว่านเยว่หาโอกาสตอบแทนมาโดยตลอดบัดนี้ได้เวลาตอบแทนน้ำใจพอดี“ชิงเหลียน เจ้าพาจางเอ้อร์และหวังหรานเอ๋อร์ไปหาคุณชายอวิ๋น แล้วบอกว่าข้าให้พวกเขาไป”งานพลาธิการแนวหลังของการสู้รบ ทั้งหมดอวิ๋นมู่เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ขอเพียงพาคนไปและบอกกับอวิ๋นมู่เช่นนี้ อวิ๋นมู่ก็เข้าใจแล้วชิงเหลียนยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณชายอวิ๋นกำลังดื่มสุราอยู่กับคุณชายไป๋หลี่ ทำไมไม่รอให้งานเลี้ยงเลิก แล้วค่อยพาพวกเขาไปหา”จางเอ้อร์กล่าวอย่างมีไหวพริบ “ไม่รีบ ไม่รีบ จะได้ไม่ทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของคุณชายอวิ๋น”ฉู่เฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉา “ท่านนี่ช่างรักคุณชายอวิ๋นนัก ข้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นท่านเรียกข้าไปดื่มสุราสักอึกสองอึกบ้างเลย”ทำให้ชิงเหลีย
หวังหรานเอ๋อร์ปาดน้ำตาพลางพยักหน้า “ข้าก็รู้แล้ว”“ขอโทษด้วยคุณหนูใหญ่ ข้าไม่ได้ปกป้องหัวหน้าสำนักคุ้มภัยให้ดีจางเอ้อร์ก้มหน้าลง หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหวังปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี“พี่น้องมากมายที่ออกไปคุ้มกันตายหมดเลย มีเพียงข้าที่ยังเอาตัวรอดมาได้”เขารู้สึกผิดอยู่ภายในใจ“พี่จางเอ้อร์ ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล!”หวังหรานเอ๋อร์มองไปที่เขา พลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “ข้ารู้ว่าท่านทำดีที่สุดแล้ว ที่พวกเราสองคนมีชีวิตรอดมาได้ ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ไม่จำเป็นต้องโทษกันอีกต่อไป”นางเป็นคนเข้าใจอะไรถ่องแท้ ในใจของจางเอ้อร์ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิมแม้ว่ารอบ ๆ จะโหมบรรเลงดนตรี แต่คนเจ็บปวดรวดร้าวทั้งสองก็ไม่มีความคิดที่จะกินดื่มสนุกสนานอะไรนัก“คุณหนูใหญ่ ท่านวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?”ความหมายของจางเอ้อร์ก็คือ ถ้าหากหวังหรานเอ๋อร์ยังวางแผนที่จะกลับไปสร้างสำนักคุ้มภัยของสกุลหวังขึ้นมาใหม่ เขาก็จะกลับไปด้วยกันเพื่อช่วยเหลือและยังถือได้ว่าไม่ทำให้หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหวังผิดหวังที่ได้ฝากฝังไว้ก่อนตายหวังหรานเอ๋อร์เหลือบมองกู้หว่านเยว่ที่อยู่ไม่ไกล “พี่จางเอ้อร์ ท่านกับพระชายาเป็นสหายเก่า
หลี่เยว่กำลังปลอบโยนเจียงม่าน“อืม”เจียงม่านพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ผ่านมา นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับสถานะของตัวเองมาบัดนี้ได้รับการปกป้องและความรักจากฮั่วจี๋ ก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ไม่เอาแต่ตกเป็นรองเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปนางหยิบกระดาษและพู่กันออกมา แล้วเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษสีแดง“พี่หญิง ท่านกำลังเขียนอะไรอยู่?”“เมื่อวานนี้แม่ทัพน้อยมอบกลอนให้ข้าวรรคหนึ่ง ให้ข้าต่อวรรคต่อไป เมื่อคืนข้าคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก ตอนนี้เกิดความคิดขึ้นมาพอดี”เจียงม่านยกพู่กันขึ้นมา ตัวอักษรของนางสวยงามมาก เป็นแบบอักษรจานฮวาตัวคัดบรรจงหลี่เยว่แอบยิ้มอยู่ข้างหลัง ในที่สุดวันนี้นางก็รู้แล้วว่า อะไรคือคู่สามีภรรยากิ่งทองใบหยกที่รักใคร่และให้เกียรติกัน“เอาล่ะ ๆ ฮูหยินน้อยรีบสวมผ้าคลุมหน้าแดงเร็วเข้า เกี้ยวเจ้าสาวข้างนอกมารับท่านแล้ว”ใบหน้าของแม่สื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินเข้ามาจากด้านนอกประตูอย่างรีบร้อน พลางเอ่ยปากเร่งรัด“ใช่แล้ว ๆ รีบสวมผ้าคลุมหน้าแดงเร็วเข้า จะพลาดฤกษ์มงคลไม่ได้นะ”หลี่เยว่หันหลังกลับไป แล้วหยิบผ้าคลุมหน้าแดงบนราวแขวนลงมา พลางคลุมลงบนศีรษะของเจียงม่านอย่างระมัดระว
“เอ่อ!”กู้หว่านเยว่ลูบจมูก นี่นางกำลังหาเรื่องใส่ตัวใช่ไหม?“ท่านพี่ กงซุนฉิงตามมาหรือยังเจ้าคะ?”นางถามซูจิ่งสิงอย่างเงียบ ๆ หลังจากฝ่ายหลังพยักหน้ายืนยันแล้ว ก็ถอนหายใจโล่งอกกงซุนฉิงมาก็ดีแล้ว ถึงเวลานั้นทิ้งหลี่เหมียนหยางให้อยู่กับนางก็สิ้นเรื่อง“อย่าเพิ่งไปกวนพระชายา”ไป๋หลี่ชิงซีผลักหลี่เหมียนหยางออกไปข้าง ๆ แล้วมองไปที่กู้หว่านเยว่“ความจริงแล้วครั้งนี้ข้ายังมีเรื่องอื่นที่อยากขอร้องอีก”ดังคำกล่าวที่ว่าไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็ไม่มาหาถ้าไม่มีกิจธุระอะไร ไป๋หลี่ชิงซีจะมอบหมายให้ใครนำของมาส่งให้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองเลยจริง ๆ“เรื่องอะไร ท่านแค่พูดมาตามตรงก็พอ”กู้หว่านเยว่ให้ไป๋หลี่ชิงซีนั่งลงก่อน“อาจารย์ของข้ามีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เขาถูกพิษ เดิมทีต้องการไปหาปรมาจารย์ที่เจดีย์หนิงกู่ แต่ได้ยินมาว่าปรมาจารย์แพทย์ออกไปค้นหายาพอดีรอเขากลับมา ก็ยังไม่รู้ว่าอีกกี่เดือน”ไป๋หลี่ชิงซีกะพริบตาหงส์อันเรียวยาว พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ดังนั้น ข้าจึงแบกหน้ามาหาท่าน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “ในเมื่อเป็นอาเล็กของท่าน และท่านก็ได้จ่ายเงินค่าตรวจรักษาจำนวนมากไว้ล่วงหน้าแล้ว
กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังทั้งสองคนไม่ได้พบกันนาน เมื่อพูดคุยกันจบ ก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไป โอบกอดกันและกันซูจิ่งสิงประคองใบหน้าของกู้หว่านเยว่ขึ้นมาจุมพิตความรู้สึกที่แปลกใหม่แต่ก็คุ้นเคยนั้น ทำให้นางตัวสั่นเล็กน้อยนางไม่อาจปฏิเสธได้ โอบเอวของบุรุษตอบจุมพิตอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น“น้องหญิง คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”เขาจุมพิตที่ริมฝีปากของนาง พัวพันอยู่ที่ข้างหูของนาง ทำให้นางรู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัวทั้งสองคนโอบกอดกันและกัน และค่อย ๆ เกิดความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม“เราออกไปกันให้หมดเถอะ”ชิงเหลียนยิ้มอย่างรู้ใจ ดึงหงเจาปิดประตูเรือนแล้วเดินออกไปบังเอิญพบกับฉู่เฟิงที่เดินมาพอดี“ชิงเหลียนไม่เจอกันนานเลยนะ ช่วงนี้เจ้าดูผิวคล้ำขึ้นแล้ว”ทันทีที่เปิดปากพูด ก็ทำให้ชิงเหลียนลงมือทุบตี“ปากสุนัขพูดจาดี ๆ ไม่ได้ ไม่รู้จักทักทายก็ไม่ต้องทัก”“โอ๊ย เจ็บ ๆ อย่าตี”ฉู่เฟิงกุมศีรษะร้องขอความเมตตา“แม่นาง ข้ามีธุระจะเข้าไปหาท่านอ๋อง โปรดปล่อยข้าไปเถิด”ชิงเหลียนหยุดมือ แค่นเสียงหัวเราะ“ตอนนี้ท่านอ๋องกับพระชายากำลังยุ่งอยู่ แนะนำให้เจ้ารออีกครึ่งชั่วยามค่อยเข้าไป”“ยุ่งอยู่หรือ?”อ้อ แม้ว่าฉู่