ชายคนหนึ่งกำลังดึงเสื้อคลุมยาวของปรมาจารย์แพทย์ “ชดใช้ ชดใช้ค่าเสียหาย!”ข้างกายเขามีหญิงสูงอายุวัยสี่สิบนอนอยู่ กำลังกุมท้องที่อ้วนกลม“โอ๊ย โอ๊ย ถูกตัดลำไส้ ปวดท้องมาก ๆ”ฝูงชนที่รายล้อมชะโงกหน้าเข้ามามุงดูเรื่องคนอื่นปรมาจารย์แพทย์โมโหจนทนไม่ไหวแล้ว “ลำไส้ส่วนนั้นของท่านเน่าแล้ว ควรตัดทิ้งไป ถ้าไม่ตัดออกจะเกิดการอักเสบ ข้าตัดออกให้ท่านคือการช่วยชีวิตท่าน ต้องชดใช้ค่าเสียหายอะไร?”ครอบครัวนี้ควรจะดีใจที่บังเอิญโชคดี เขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจัดยาให้ชุดใหญ่แล้ว“ร่างกายของเราได้รับจากพ่อแม่ ตัดลำไส้ทิ้งแล้ว ในอนาคตหากเกิดอะไรผิดพลาดส่งผลกระทบต่อชีวิตแล้วจะทำเช่นไร? ท่านบอกว่าท่านกำลังช่วยชีวิตแม่ของข้า แต่ความจริงแล้วท่านเป็นหมอเถื่อน จงใจทำร้ายแม่ของข้า!” ชายหนุ่มกลอกตาพูดปรมาจารย์แพทย์โกรธจัด “ได้รับจากพ่อแม่อะไร ก่อนตัดทิ้ง ข้าก็ถามหญิงสูงอายุผู้นี้แล้วไม่ใช่หรือ นางก็เห็นด้วย”“ข้าเปล่านะ” สายตาของหญิงอ้วนระยิบระยับ“ข้าไม่ได้เห็นด้วย ใครเห็นด้วยหรือท่านฉวยโอกาสตอนที่ข้าหมดสติ ตัดมันออกให้ข้า”ปรมาจารย์แพทย์ถึงกับพูดไม่ออก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั
เงินยี่สิบตำลึงเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับจวนกู้ สมุห์บัญชีจ่ายแผ่นทองแดงยี่สิบตำลึงออกมาอย่างรวดเร็ว ยังวางลงบนถาดโดยเฉพาะ กองไว้เหมือนเนินเขาเล็ก ๆเมื่อครอบครัวหญิงอ้วนเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ดวงตาก็เป็นประกายหญิงอ้วนเลียปาก อยากจะตรงเข้าไปคว้าเงินมาใจจะขาด แต่เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังแกล้งป่วย ก็รีบนอนลงร้องโอดโอยเหมือนเดิมลูกชายของหญิงอ้วนไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว พลางถูมือ “รวยแล้วๆ!”“ท่านแม่ ให้ข้าสักห้าตำลึงได้ไหม” ภรรยาของชายคนนั้นพูดเสียงเบา “ข้าอยากไปหาหมอ จะได้มีลูกให้ท่านพี่สักคนไว ๆ”“ให้ข้า ให้ข้าไปซื้อขนมถังหูลู่!” ลูกชายตัวน้อยเช็ดน้ำลายทั้งครอบครัวไม่ได้ปิดบังความโลภที่มีต่อเงินยี่สิบตำลึงนั้นเลย ถึงกับปรึกษากันว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรต่อหน้าทุกคนด้วยผู้คนที่มุงดูเริ่มรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันเริ่มไม่ถูกจริตแล้ว นี่ตั้งใจจะเล่นงานหมอเถื่อน หรือพุ่งเป้าไปที่เงินกันแน่?ดูสายตาที่เปล่งประกายนั่นสิ จับจ้องมาที่เงินอย่างชัดเจน หน้าตาอย่าให้มันออกชัดเจนจนเกินไป“เอาเงินมาให้พวกข้าเร็วเข้า”ชายคนนั้นถูมือ แล้วรีบเดินไปที่หน้าสมุห์บัญชีกู้หว่านเยว่ส่งสายตาไป ชิ
ในช่วงเวลานี้ ปรมาจารย์แพทย์ได้ฝึกฝนการแพทย์ในเมืองอวี้ ต้องรักษาผู้คนจำนวนมากได้แน่ก่อนหน้านี้ไม่มีความคิดว่าสร้างปัญหาอะไร ทุกคนกำลังดูละครฉากใหญ่กันหมด แต่เมื่อกู้หว่านเยว่เอาเงินออกมาล่อ ก็ต้องมีคนแรกที่เอ่ยปากแน่นอนหากมีคนที่หนึ่งก็ต้องมีคนที่สอง มีคนที่สามก็ต้องมีคนที่สี่“ฮูหยิน ข้าจะไปตรวจกับหมออาวุโสคนนี้” ชายอ่อนแอในฝูงชนยกมือขึ้น“เดิมทีข้ามีอาการปวดกระดูกในวันที่ฟ้าครึ้ม แต่หลังจากที่เขาสั่งยากอเอี๊ยะให้ไม่กี่แผ่น ก็ไม่กำเริบอีกเลย”ดวงตาของหงเจาสว่างไสวขึ้น “มีจริง ๆ เห็นไหม แล้วทำไมทางท่านถึงไม่พูดอะไรสักคำ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อาวุโสของพวกเราจะมีทักษะมากพอสมควร”นางช่วยพูดเสริม “มา ๆ ๆ มาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นเถอะ”ชายคนนั้นเข้ามาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นอย่างมีความสุข เขาไม่ได้พูดว่าเพราะครอบครัวนั้นดูก็รู้ว่าเป็นคนชั่ว เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวแต่สำหรับแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่น เสมือนมีกับแกล้มเคล้านารีให้โดยไม่เสียเงิน ใครบ้างจะไม่เอาหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งยกมือขึ้นตัวสั่นงันงก ในขณะที่ชิงเหลียนเลิกคิ้วขึ้น “อะไรนี่ เจ้าก็เคยไปตรวจอาการป่วยกับปรมาจารย์อาวุโสด้วยหร
“โอ๊ยเดี๋ยวก่อน...” ชายคนนั้นอยากจะขัดขวาง แต่น่าเสียดายที่วิชาตัวเบาของชิงเหลียนนั้นมีความเร็วมาก“ทำยังไงดี?” หญิงอ้วนเริ่มสับสนแล้วนางดึงชายเสื้อของลู่ซาน “ลูก พวกเขาตามหมอมาแล้ว หรือว่าจะ...”ป้าลู่รู้สึกหวาดหวั่นมาก อากัปกิริยานั้นอยู่ในสายตากู้หว่านเยว่ ทำให้นางยิ่งยิ้มหนักขึ้น“ไม่ได้ กลับไปไม่ได้ แล้วยี่สิบตำลึงล่ะ”สายตาของเขาร้ายกาจขึ้นอย่างฉับพลัน“เจ้าก็ยืนกรานท่าเดียวว่าไม่สบายตัวสิ หมอก็มองไม่ออกหรอก”“ใช่แล้ว ท่านแม่สามีได้โปรดอดทนไว้ ทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวนี้”ลูกสะใภ้สาวปิดปากแอบหัวเราะ คำพูดนี้แต่ก่อนแม่สามีเคยพูดกับนางอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดก็ถึงวันที่นางจะได้ตอกกลับบ้างแล้วอย่าให้ต้องพูด ความรู้สึกนี้มันสะใจมากทีเดียว “เจ้า...”หญิงอ้วนเริ่มเสียดาย เหมือนว่านางไม่ควรมาที่นี่ วินาทีต่อมา นางก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเห็นเพียงชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมขุนนางวิ่งไปถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วคุกเข่าลง“ข้าน้อยมาช้าไป”กู้หว่านเยว่นึกดูสักครู่ “ผู้พิพากษาสวี?”“ข้าน้อยเอง” ผู้พิพากษาสวี่เช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ เขาเข้าใจตำแหน่งของกู้หว่านเยว่ในหัวใจของซูจิ่งสิงเป็นอย่างด
แววดุร้ายฉายแวบขึ้นในดวงตาของลู่ซาน “ยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับก็พอ”หลังจากนั้นไม่นาน หมอทั้งหลายก็ตรวจชีพจรให้ป้าลู่ทีละคน จากนั้นก็รวมตัวพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ผู้คนรอบ ๆ กำลังรอผลตรวจอยู่ ปรมาจารย์แพทย์จะเป็นหมอเถื่อนหรือไม่ใช่กันแน่นะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?ผู้พิพากษาสวี่อดถามไม่ได้ว่า “เป็นไงบ้าง?”ครอบครัวของป้าลู่ก็เริ่มกังวลเช่นกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขารู้อยู่แก่ใจดีหมอทั้งหลายตอบว่า “ปรมาจารย์อาวุโสดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของป้าลู่ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ”หมอหลินที่ค่อนข้างเด็กกว่าพูดว่า “ความจริงแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน ป้าลู่ก็เคยไปเยี่ยมโรงหมอของประชาชนเช่นกัน แต่ประชาชนมีความรู้น้อย ไม่กล้าใช้อาวุธโดยพลการ”กู้หว่านเยว่จับประเด็นสำคัญ “พูดแบบนี้ ลำไส้ของป้าลู่ก็ควรถูกตัดใช่ไหม?”“ถูกต้อง” หมอทั้งหลายพยักหน้า “ป้าลู่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ดูจากฝ่ามือของนางนั้นมีรูปโลงศพอยู่แล้ว แต่ลายมือนั้นมีร่องรอยการจางหายไป จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ปรมาจารย์แพทย์ผ่าตัดเอาอวัยวะที่เป็นจุดศูนย์รวมของโรคออกไป นางก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”“โชคดีที่ได้พบกับปรมาจารย์อาวุโส หากเป็นพว
ลู่ซานพุ่งเข้าไปคว้าเส้นผมของนางไช่ไว้ จนทำให้นางร้องโอดโอยกู้หว่านเยว่ไม่มีความทรงจำอะไรที่ดีต่อครอบครัวนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะทนเห็นลู่ซานใช้ความรุนแรงกับภรรยาได้“ผู้พิพากษาสวี่ ท่านรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรกับพยานและหลักฐานทั้งหมดใช่ไหม?”“เด็ก ๆ จับกุมคนในสกุลลู่ทุกคน คุมตัวไปที่ศาลาว่าการ โบยตียี่สิบไม้กระดาน!”ผู้พิพากษาสวี่โบกมือ เจ้าหน้าที่จับกุมป้าลู่และครอบครัวทันที เพื่อเห็นแก่นางไช่ที่พูดความจริงออกมา จึงไม่ได้จับกุมนาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปให้ปากคำที่ศาลาว่าการอยู่ดี“ปล่อยข้า ปล่อยข้า พวกท่านใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น!”ลู่ซานมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาดุร้าย “เงินยี่สิบตำลึงนั้นสำหรับพวกท่านแล้ว มันก็เป็นแค่น้ำ แต่มันสามารถช่วยชีวิตคนทั้งครอบครัวของข้าได้ ทำไมท่านถึงยอมมอบเงินให้กับคนที่เดินผ่านไปมาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร แทนที่จะมอบให้พวกข้า เหตุใดท่านถึงเห็นแก่ตัวและโหดร้ายเช่นนี้!”กู้หว่านเยว่รู้สึกขบขันกับหลักการของเขา“มีเงินเยอะ ก็สมควรเอามาให้เจ้าหลอกงั้นหรือ?”“ตัวเจ้าติดหนี้พนัน เดือดร้อนไปทั้งครอบครัวไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว แต่ดันวิ่งออกไปหลอกลว
แค่คิดถึงอารมณ์เดือดดาลของปรมาจารย์แพทย์ ก็รู้สึกว่าเอาไว้มาเยี่ยมเยียนเขาวันหลังดีกว่ากู้หว่านเยว่มองดูฝูงชนแยกย้ายกันไปพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก พลางชำเลืองมองปรมาจารย์แพทย์ “ต่อไป ท่านยังจะตรวจรักษาเป็นการกุศลอยู่หรือไม่?”ปรมาจารย์แพทย์ลูบเคราพลางไตร่ตรองอยู่นาน “เมื่อก่อนผู้เฒ่าหวงเป็นคนบังคับให้ข้าตรวจรักษาโดยไม่คิดเงิน ต่อมาข้าก็ยินดีทำเอง”ในโลกนี้ยังมีคนที่เขารู้สึกคุ้มค่าที่จะช่วยเหลืออยู่อีกก็เหมือนกับกู้หว่านเยว่พูดไว้ โลกที่บุบสลาย มักจะมีคนซ่อมแซมอยู่เสมอการออกมาในวันนี้ ถือว่าให้ความซาบซึ้งใจแก่เขาเป็นอย่างมาก เมื่อซูจิ่งสิงกลับมาพร้อมกับอวิ๋นมู่ ก็พบว่าละครตลกนั้นแยกย้ายกันแล้ว“น้องหญิง เกิดอะไรขึ้น?”เขามองเห็นความโกลาหลที่ประตูจวนจากระยะไกล จึงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้จนกระทั่งมาถึงข้างกายกู้หว่านเยว่ เกี่ยวมือนางไว้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยกู้หว่านเยว่รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เขาฟัง ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะเยาะอยู่ครู่หนึ่งลู่ซานควรจะรู้สึกดีใจในความโชคดีที่ไม่ได้พบเขา“คุณชายอวิ๋นมาได้ยังไง?” กู้หว่านเยว่แปลกใจเล็กน้อย อวิ๋นมู่ถูกนางจัดการให้ไปทำด
แล้วดูด้วยว่า ครั้งนี้เถาเอ๋อร์คิดจะลอบวางแผนทำชั่วอะไรกันแน่หร่านถิงย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากู้หว่านเยว่ต้องการให้เขาทำอะไร เมื่อครู่เขากำลังแสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้านางไช่อย่างจงใจสองวันที่ผ่านมาเขาเห็นว่ารูปแบบการทำงานของกู้หว่านเยว่ น่าเชื่อถือมากกว่าของเถาเอ๋อร์มากนกที่ดีย่อมเลือกต้นไม้และที่เกาะที่ดี เขารู้วิธีว่าควรเลือกอย่างไร ดังนั้นทันทีที่ได้ยินคำสั่งของกู้หว่านเยว่ ก็คุกเข่าลงโดยไม่ลังเล“หร่านถิงยินดีเชื่อฟังคำสั่งของนาง เพียงแต่ว่า มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้องฮูหยิน”“ข้ารู้แล้ว”หร่านถิง เดิมทีควรจะเป็นคนของมู่หรงอวี้ ประโยคที่บอกว่าแม่ป่วยหนัก น้องชายที่ไปเรียนหนังสือของเขา มันไม่ใช่เรื่องโกหก“ท่านพี่ ข้าต้องการให้ท่านมาช่วยข้าเรื่องนี้” กู้หว่านเยว่มองไปยังซูจิ่งสิง ทำให้ชายหนุ่มนั้นขมวดคิ้ว“ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่ต้องใช้คำว่าช่วยหรอกถ้ามีอะไร เจ้าก็สั่งข้ามาได้เต็มที่เลย”กู้หว่านเยว่จนใจ ชายคนนี้มีไหวพริบดีจริง ๆ “ส่งคนไปที่เมืองฉีสุ่ย ค้นหาครอบครัวของหร่านถิง ช่วยปกป้องพวกเขา แต่อย่าให้เถาเอ๋อร์รู้เรื่อง”“เมืองฉีสุ่ย? ข้าจะส่งคนไปที่นั่นทันที”กู้หว่
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก