“โอ๊ยเดี๋ยวก่อน...” ชายคนนั้นอยากจะขัดขวาง แต่น่าเสียดายที่วิชาตัวเบาของชิงเหลียนนั้นมีความเร็วมาก“ทำยังไงดี?” หญิงอ้วนเริ่มสับสนแล้วนางดึงชายเสื้อของลู่ซาน “ลูก พวกเขาตามหมอมาแล้ว หรือว่าจะ...”ป้าลู่รู้สึกหวาดหวั่นมาก อากัปกิริยานั้นอยู่ในสายตากู้หว่านเยว่ ทำให้นางยิ่งยิ้มหนักขึ้น“ไม่ได้ กลับไปไม่ได้ แล้วยี่สิบตำลึงล่ะ”สายตาของเขาร้ายกาจขึ้นอย่างฉับพลัน“เจ้าก็ยืนกรานท่าเดียวว่าไม่สบายตัวสิ หมอก็มองไม่ออกหรอก”“ใช่แล้ว ท่านแม่สามีได้โปรดอดทนไว้ ทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวนี้”ลูกสะใภ้สาวปิดปากแอบหัวเราะ คำพูดนี้แต่ก่อนแม่สามีเคยพูดกับนางอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดก็ถึงวันที่นางจะได้ตอกกลับบ้างแล้วอย่าให้ต้องพูด ความรู้สึกนี้มันสะใจมากทีเดียว “เจ้า...”หญิงอ้วนเริ่มเสียดาย เหมือนว่านางไม่ควรมาที่นี่ วินาทีต่อมา นางก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเห็นเพียงชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมขุนนางวิ่งไปถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วคุกเข่าลง“ข้าน้อยมาช้าไป”กู้หว่านเยว่นึกดูสักครู่ “ผู้พิพากษาสวี?”“ข้าน้อยเอง” ผู้พิพากษาสวี่เช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ เขาเข้าใจตำแหน่งของกู้หว่านเยว่ในหัวใจของซูจิ่งสิงเป็นอย่างด
แววดุร้ายฉายแวบขึ้นในดวงตาของลู่ซาน “ยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับก็พอ”หลังจากนั้นไม่นาน หมอทั้งหลายก็ตรวจชีพจรให้ป้าลู่ทีละคน จากนั้นก็รวมตัวพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ผู้คนรอบ ๆ กำลังรอผลตรวจอยู่ ปรมาจารย์แพทย์จะเป็นหมอเถื่อนหรือไม่ใช่กันแน่นะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?ผู้พิพากษาสวี่อดถามไม่ได้ว่า “เป็นไงบ้าง?”ครอบครัวของป้าลู่ก็เริ่มกังวลเช่นกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขารู้อยู่แก่ใจดีหมอทั้งหลายตอบว่า “ปรมาจารย์อาวุโสดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของป้าลู่ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ”หมอหลินที่ค่อนข้างเด็กกว่าพูดว่า “ความจริงแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน ป้าลู่ก็เคยไปเยี่ยมโรงหมอของประชาชนเช่นกัน แต่ประชาชนมีความรู้น้อย ไม่กล้าใช้อาวุธโดยพลการ”กู้หว่านเยว่จับประเด็นสำคัญ “พูดแบบนี้ ลำไส้ของป้าลู่ก็ควรถูกตัดใช่ไหม?”“ถูกต้อง” หมอทั้งหลายพยักหน้า “ป้าลู่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ดูจากฝ่ามือของนางนั้นมีรูปโลงศพอยู่แล้ว แต่ลายมือนั้นมีร่องรอยการจางหายไป จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ปรมาจารย์แพทย์ผ่าตัดเอาอวัยวะที่เป็นจุดศูนย์รวมของโรคออกไป นางก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”“โชคดีที่ได้พบกับปรมาจารย์อาวุโส หากเป็นพว
ลู่ซานพุ่งเข้าไปคว้าเส้นผมของนางไช่ไว้ จนทำให้นางร้องโอดโอยกู้หว่านเยว่ไม่มีความทรงจำอะไรที่ดีต่อครอบครัวนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะทนเห็นลู่ซานใช้ความรุนแรงกับภรรยาได้“ผู้พิพากษาสวี่ ท่านรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรกับพยานและหลักฐานทั้งหมดใช่ไหม?”“เด็ก ๆ จับกุมคนในสกุลลู่ทุกคน คุมตัวไปที่ศาลาว่าการ โบยตียี่สิบไม้กระดาน!”ผู้พิพากษาสวี่โบกมือ เจ้าหน้าที่จับกุมป้าลู่และครอบครัวทันที เพื่อเห็นแก่นางไช่ที่พูดความจริงออกมา จึงไม่ได้จับกุมนาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปให้ปากคำที่ศาลาว่าการอยู่ดี“ปล่อยข้า ปล่อยข้า พวกท่านใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น!”ลู่ซานมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาดุร้าย “เงินยี่สิบตำลึงนั้นสำหรับพวกท่านแล้ว มันก็เป็นแค่น้ำ แต่มันสามารถช่วยชีวิตคนทั้งครอบครัวของข้าได้ ทำไมท่านถึงยอมมอบเงินให้กับคนที่เดินผ่านไปมาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร แทนที่จะมอบให้พวกข้า เหตุใดท่านถึงเห็นแก่ตัวและโหดร้ายเช่นนี้!”กู้หว่านเยว่รู้สึกขบขันกับหลักการของเขา“มีเงินเยอะ ก็สมควรเอามาให้เจ้าหลอกงั้นหรือ?”“ตัวเจ้าติดหนี้พนัน เดือดร้อนไปทั้งครอบครัวไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว แต่ดันวิ่งออกไปหลอกลว
แค่คิดถึงอารมณ์เดือดดาลของปรมาจารย์แพทย์ ก็รู้สึกว่าเอาไว้มาเยี่ยมเยียนเขาวันหลังดีกว่ากู้หว่านเยว่มองดูฝูงชนแยกย้ายกันไปพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก พลางชำเลืองมองปรมาจารย์แพทย์ “ต่อไป ท่านยังจะตรวจรักษาเป็นการกุศลอยู่หรือไม่?”ปรมาจารย์แพทย์ลูบเคราพลางไตร่ตรองอยู่นาน “เมื่อก่อนผู้เฒ่าหวงเป็นคนบังคับให้ข้าตรวจรักษาโดยไม่คิดเงิน ต่อมาข้าก็ยินดีทำเอง”ในโลกนี้ยังมีคนที่เขารู้สึกคุ้มค่าที่จะช่วยเหลืออยู่อีกก็เหมือนกับกู้หว่านเยว่พูดไว้ โลกที่บุบสลาย มักจะมีคนซ่อมแซมอยู่เสมอการออกมาในวันนี้ ถือว่าให้ความซาบซึ้งใจแก่เขาเป็นอย่างมาก เมื่อซูจิ่งสิงกลับมาพร้อมกับอวิ๋นมู่ ก็พบว่าละครตลกนั้นแยกย้ายกันแล้ว“น้องหญิง เกิดอะไรขึ้น?”เขามองเห็นความโกลาหลที่ประตูจวนจากระยะไกล จึงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้จนกระทั่งมาถึงข้างกายกู้หว่านเยว่ เกี่ยวมือนางไว้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยกู้หว่านเยว่รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เขาฟัง ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะเยาะอยู่ครู่หนึ่งลู่ซานควรจะรู้สึกดีใจในความโชคดีที่ไม่ได้พบเขา“คุณชายอวิ๋นมาได้ยังไง?” กู้หว่านเยว่แปลกใจเล็กน้อย อวิ๋นมู่ถูกนางจัดการให้ไปทำด
แล้วดูด้วยว่า ครั้งนี้เถาเอ๋อร์คิดจะลอบวางแผนทำชั่วอะไรกันแน่หร่านถิงย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากู้หว่านเยว่ต้องการให้เขาทำอะไร เมื่อครู่เขากำลังแสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้านางไช่อย่างจงใจสองวันที่ผ่านมาเขาเห็นว่ารูปแบบการทำงานของกู้หว่านเยว่ น่าเชื่อถือมากกว่าของเถาเอ๋อร์มากนกที่ดีย่อมเลือกต้นไม้และที่เกาะที่ดี เขารู้วิธีว่าควรเลือกอย่างไร ดังนั้นทันทีที่ได้ยินคำสั่งของกู้หว่านเยว่ ก็คุกเข่าลงโดยไม่ลังเล“หร่านถิงยินดีเชื่อฟังคำสั่งของนาง เพียงแต่ว่า มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้องฮูหยิน”“ข้ารู้แล้ว”หร่านถิง เดิมทีควรจะเป็นคนของมู่หรงอวี้ ประโยคที่บอกว่าแม่ป่วยหนัก น้องชายที่ไปเรียนหนังสือของเขา มันไม่ใช่เรื่องโกหก“ท่านพี่ ข้าต้องการให้ท่านมาช่วยข้าเรื่องนี้” กู้หว่านเยว่มองไปยังซูจิ่งสิง ทำให้ชายหนุ่มนั้นขมวดคิ้ว“ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่ต้องใช้คำว่าช่วยหรอกถ้ามีอะไร เจ้าก็สั่งข้ามาได้เต็มที่เลย”กู้หว่านเยว่จนใจ ชายคนนี้มีไหวพริบดีจริง ๆ “ส่งคนไปที่เมืองฉีสุ่ย ค้นหาครอบครัวของหร่านถิง ช่วยปกป้องพวกเขา แต่อย่าให้เถาเอ๋อร์รู้เรื่อง”“เมืองฉีสุ่ย? ข้าจะส่งคนไปที่นั่นทันที”กู้หว่
“น้องหญิง”ซูจิ่งสิงกล่าวอย่างอิจฉา “สนใจเขาให้น้อยลงหน่อย”“ก็ได้” กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างจนใจ สามีเป็นคนขี้หึงมาก นางไม่ได้รู้เรื่องนี้เป็นวันแรกแต่กู้หว่านเยว่เป็นคนที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และจะไม่ปฏิบัติกับอวิ๋นมู่เกินกว่าคำว่ามารยาทแต่นางจะรู้ได้อย่างไร ในวันที่นางได้ช่วยชีวิตเอาไว้ สายตาของอวิ๋นมู่ก็ไม่สามารถมีใครได้อีกชิงเหลียนให้เด็กรับใช้มาพาตัวอวิ๋นมู่กลับห้อง เมื่อเห็นอวิ๋นมู่คลื่นไส้อาเจียน นางก็อดพูดไม่ได้ว่า“คุณชายอวิ๋น ทำไมท่านถึงทำแบบนี้?”นางสังเกตอวิ๋นมู่อยู่นานมากแล้ว เข้าใจความคิดของเขามาตั้งนานแล้ว“ฮ่าฮ่า” อวิ๋นมู่ค่อนข้างเมาเล็กน้อย “ข้าก็อยากหยุดเหมือนกัน แต่ก็หยุดไม่ได้ขอเพียงได้เห็นรอยยิ้มของนาง ข้าก็มีความสุขแล้ว”เสียงของเขาดูแหบพร่าเล็กน้อย “ท่านพ่อถามข้าว่า ทำเช่นนี้คุ้มค่าหรือ?”ขอบตาของชิงเหลียนแดงเรื่อ “ฮูหยินมีคุณธรรมอันสูงส่ง จิตใจอ่อนโยน ก็ย่อมเป็นผู้หญิงที่เป็นที่รักที่สุดในโลกอยู่แล้ว”นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพูดถึงเรื่องความรู้สึก จะบอกได้อย่างไรว่ามันคุ้มค่าหรือไม่? หากรักแล้วก็คือรัก ถ้าจะมาคิดเล็กคิ
ข้างในมีนางและปรมาจารย์แพทย์อยู่ก็พอแล้ว“ไม่เอา พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านให้ข้าเข้าไปด้วยกันเถอะ” ซูจิ่นเอ๋อร์พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “เมื่อก่อนข้าก็เคยช่วยท่าน ครั้งนี้ข้าออกไปไหนไม่ได้ได้โปรดเถอะ”กู้หว่านเยว่สบตากับนาง จากสายตาของนางจะมองเห็นความเด็ดเดี่ยวและความรักที่ลึกซึ้ง พลางถอนหายใจ แล้วโยนชุดป้องกัน หน้ากาก และถุงมือไปให้“ใส่ซะ แล้วตามข้าเข้าไป”“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สะใภ้ใหญ่”ซูจิ่นเอ๋อร์มีสีหน้าดีใจ รีบสวมชุดป้องกัน พร้อมกับเอ่ยปากรับรอง“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”“อืม”กู้หว่านเยว่กำลังจะพาซูจิ่นเอ๋อร์เข้าไป แต่จู่ ๆ ซูจิ่งสิงก็พูดขึ้นทันใด “น้องหญิง”“มีอะไรหรือ?” เมื่อครู่กู้หว่านเยว่ขอให้เขารออยู่ข้างนอก“ไม่มีอะไร ระวังตัวด้วย” ซูจิ่งสิงเอื้อมมือไปสวมผ้าคลุมหน้าให้นาง แววตาอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความรักจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องก็พอแล้ว เขาจะเป็นตัวถ่วงอีกไม่ได้“ไม่ต้องเป็นห่วง”กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มอันสดใส แต่น่าเสียดายที่ผ้าคลุมหน้าบดบังไว้มองไม่เห็น นางพาซูจิ่นเอ๋อร์เข้ามาในเรือนขณะนี้ปรมาจารย์แพทย์ได้เริ่มฝังเข็มให้ฟู่หลานเหิงแล้ว เมื่อเห็นกู้หว่
เขาแยกแยะอยู่นาน นี่ถึงสามารถจำคนได้“จิ่นเอ๋อร์? เหตุใดเจ้าร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้?”ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านไข้สูงตลอดทั้งคืน เกือบตายไปแล้ว ข้าสามารถไม่ร้องไห้ได้หรือ?”ฟู่หลานเหิงนี่ถึงนึกขึ้นได้ เมื่อวานเขาอ่านหนังสือราชการจบก็นอนสะลึมสะลือบนเตียง ไม่รู้เหตุใดเปลือกตาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็ทำอันใดไม่ได้อีกที่แท้ก็ไข้สูง มิน่าเล่าตอนนี้จึงปวดตัวนัก“เจ้า เจ้าออกไปก่อน ประเดี๋ยวจะติดเอาได้” ฟู่หลานเหิงนึกถึงอาการของตน รีบพูดขึ้นซูจิ่นเอ๋อร์กลับส่ายหน้า สบมองเขาสายตาหนักแน่น “ข้าไม่ออกไป ข้าจะอยู่ดูแลท่านที่นี่ เมื่อวานก็เป็นข้าดูแลท่าน”ฟู่หลานเหิงยังอยากพูดอะไร ก็ได้ยินซูจิ่นเอ๋อร์พูดทั้งน้ำตา “เมื่อวานท่านเพิ่งกลับจากประตูวิญญาณมาได้เที่ยวหนึ่ง ข้าคิดตกหลายเรื่องนักใต้เท้าฟู่ ฟู่หลานเหิง ท่านโปรดตอบข้า ท่านไม่ชอบข้าจริงหรือ?”“ข้า...”ฟู่หลานเหิงอยากพูดว่าไม่ แต่เขากลับรู้ชัดภายในใจ เขาชอบสบมองดวงตาจริงใจคู่นั้นของซูจิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้เขาจะหลอกหัวใจของตนได้เยี่ยงไร“จิ่นเอ๋อร์ ข้าแก่กว่าเจ้ามากนัก” ฟู่หลานเหิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“นั่นแล้วอย่างไร?” ซูจ
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง