“ห้ามบอกว่าข้าอยู่ในจวนเด็ดขาด บอกว่าไม่รู้จักข้า”ปรมาจารย์แพทย์หงุดหงิดมาก เหมือนตาแก่ขี้บ่นที่น่าสงสาร เขาก็แค่รักษาคนไข้ ช่วยชีวิตผู้คน ไปทำให้ใครไม่พอใจกัน“ครอบครัวนี้ช่างตามตื๊อไม่เลิก ข้าหนีมาถึงที่นี่แล้ว ยังไม่ยอมปล่อยข้าไปอีก”เดิมทีปรมาจารย์แพทย์คิดว่าเมื่อเขาย้ายออกจากเรือนหลังเล็กที่เคยอยู่ ครอบครัวนั้นคงคิดว่าเขาจากไปแล้ว คงจะเลิกรา ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เหอะ ๆ “ไปเร็ว ๆ เข้า อย่าบอกว่ารู้จักข้า”ชิงเหลียนมองไปยังกู้หว่านเยว่ เห็นว่าฮูหยินพยักหน้า จึงรีบออกไป“เป็นครอบครัวของหญิงชราที่ท่านผ่าตัดลำไส้ให้ครั้งก่อนหรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตา นึกถึงเรื่องที่ปรมาจารย์แพทย์เคยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนั้นพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวนั้นจะบุกมาถึงจวนกู้“ใช่พวกนั้นแหละ พวกเขาตามตื๊อข้าไม่เลิก”ปรมาจารย์แพทย์เกาหัว อยากจะวางยาพิษพวกนั้นให้ตายไปซะทั้งหมด“ก่อนที่ข้าจะรักษาก็บอกแล้วว่า ลำไส้ส่วนนั้นเก็บไว้ไม่ได้ ต้องตัดออก พวกเขาก็ตกลงอย่างดี พอผ่าตัดเสร็จ กลับไม่ยอมรับปรมาจารย์แพทย์ผู้นี้ มีชีวิตอยู่มานานหลายปี ยังไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเลยคนที่รู้จักเขารู้ดีว่าเขานิสัยไ
ชายคนหนึ่งกำลังดึงเสื้อคลุมยาวของปรมาจารย์แพทย์ “ชดใช้ ชดใช้ค่าเสียหาย!”ข้างกายเขามีหญิงสูงอายุวัยสี่สิบนอนอยู่ กำลังกุมท้องที่อ้วนกลม“โอ๊ย โอ๊ย ถูกตัดลำไส้ ปวดท้องมาก ๆ”ฝูงชนที่รายล้อมชะโงกหน้าเข้ามามุงดูเรื่องคนอื่นปรมาจารย์แพทย์โมโหจนทนไม่ไหวแล้ว “ลำไส้ส่วนนั้นของท่านเน่าแล้ว ควรตัดทิ้งไป ถ้าไม่ตัดออกจะเกิดการอักเสบ ข้าตัดออกให้ท่านคือการช่วยชีวิตท่าน ต้องชดใช้ค่าเสียหายอะไร?”ครอบครัวนี้ควรจะดีใจที่บังเอิญโชคดี เขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจัดยาให้ชุดใหญ่แล้ว“ร่างกายของเราได้รับจากพ่อแม่ ตัดลำไส้ทิ้งแล้ว ในอนาคตหากเกิดอะไรผิดพลาดส่งผลกระทบต่อชีวิตแล้วจะทำเช่นไร? ท่านบอกว่าท่านกำลังช่วยชีวิตแม่ของข้า แต่ความจริงแล้วท่านเป็นหมอเถื่อน จงใจทำร้ายแม่ของข้า!” ชายหนุ่มกลอกตาพูดปรมาจารย์แพทย์โกรธจัด “ได้รับจากพ่อแม่อะไร ก่อนตัดทิ้ง ข้าก็ถามหญิงสูงอายุผู้นี้แล้วไม่ใช่หรือ นางก็เห็นด้วย”“ข้าเปล่านะ” สายตาของหญิงอ้วนระยิบระยับ“ข้าไม่ได้เห็นด้วย ใครเห็นด้วยหรือท่านฉวยโอกาสตอนที่ข้าหมดสติ ตัดมันออกให้ข้า”ปรมาจารย์แพทย์ถึงกับพูดไม่ออก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั
เงินยี่สิบตำลึงเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับจวนกู้ สมุห์บัญชีจ่ายแผ่นทองแดงยี่สิบตำลึงออกมาอย่างรวดเร็ว ยังวางลงบนถาดโดยเฉพาะ กองไว้เหมือนเนินเขาเล็ก ๆเมื่อครอบครัวหญิงอ้วนเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ดวงตาก็เป็นประกายหญิงอ้วนเลียปาก อยากจะตรงเข้าไปคว้าเงินมาใจจะขาด แต่เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังแกล้งป่วย ก็รีบนอนลงร้องโอดโอยเหมือนเดิมลูกชายของหญิงอ้วนไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว พลางถูมือ “รวยแล้วๆ!”“ท่านแม่ ให้ข้าสักห้าตำลึงได้ไหม” ภรรยาของชายคนนั้นพูดเสียงเบา “ข้าอยากไปหาหมอ จะได้มีลูกให้ท่านพี่สักคนไว ๆ”“ให้ข้า ให้ข้าไปซื้อขนมถังหูลู่!” ลูกชายตัวน้อยเช็ดน้ำลายทั้งครอบครัวไม่ได้ปิดบังความโลภที่มีต่อเงินยี่สิบตำลึงนั้นเลย ถึงกับปรึกษากันว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรต่อหน้าทุกคนด้วยผู้คนที่มุงดูเริ่มรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันเริ่มไม่ถูกจริตแล้ว นี่ตั้งใจจะเล่นงานหมอเถื่อน หรือพุ่งเป้าไปที่เงินกันแน่?ดูสายตาที่เปล่งประกายนั่นสิ จับจ้องมาที่เงินอย่างชัดเจน หน้าตาอย่าให้มันออกชัดเจนจนเกินไป“เอาเงินมาให้พวกข้าเร็วเข้า”ชายคนนั้นถูมือ แล้วรีบเดินไปที่หน้าสมุห์บัญชีกู้หว่านเยว่ส่งสายตาไป ชิ
ในช่วงเวลานี้ ปรมาจารย์แพทย์ได้ฝึกฝนการแพทย์ในเมืองอวี้ ต้องรักษาผู้คนจำนวนมากได้แน่ก่อนหน้านี้ไม่มีความคิดว่าสร้างปัญหาอะไร ทุกคนกำลังดูละครฉากใหญ่กันหมด แต่เมื่อกู้หว่านเยว่เอาเงินออกมาล่อ ก็ต้องมีคนแรกที่เอ่ยปากแน่นอนหากมีคนที่หนึ่งก็ต้องมีคนที่สอง มีคนที่สามก็ต้องมีคนที่สี่“ฮูหยิน ข้าจะไปตรวจกับหมออาวุโสคนนี้” ชายอ่อนแอในฝูงชนยกมือขึ้น“เดิมทีข้ามีอาการปวดกระดูกในวันที่ฟ้าครึ้ม แต่หลังจากที่เขาสั่งยากอเอี๊ยะให้ไม่กี่แผ่น ก็ไม่กำเริบอีกเลย”ดวงตาของหงเจาสว่างไสวขึ้น “มีจริง ๆ เห็นไหม แล้วทำไมทางท่านถึงไม่พูดอะไรสักคำ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อาวุโสของพวกเราจะมีทักษะมากพอสมควร”นางช่วยพูดเสริม “มา ๆ ๆ มาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นเถอะ”ชายคนนั้นเข้ามาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นอย่างมีความสุข เขาไม่ได้พูดว่าเพราะครอบครัวนั้นดูก็รู้ว่าเป็นคนชั่ว เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวแต่สำหรับแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่น เสมือนมีกับแกล้มเคล้านารีให้โดยไม่เสียเงิน ใครบ้างจะไม่เอาหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งยกมือขึ้นตัวสั่นงันงก ในขณะที่ชิงเหลียนเลิกคิ้วขึ้น “อะไรนี่ เจ้าก็เคยไปตรวจอาการป่วยกับปรมาจารย์อาวุโสด้วยหร
“โอ๊ยเดี๋ยวก่อน...” ชายคนนั้นอยากจะขัดขวาง แต่น่าเสียดายที่วิชาตัวเบาของชิงเหลียนนั้นมีความเร็วมาก“ทำยังไงดี?” หญิงอ้วนเริ่มสับสนแล้วนางดึงชายเสื้อของลู่ซาน “ลูก พวกเขาตามหมอมาแล้ว หรือว่าจะ...”ป้าลู่รู้สึกหวาดหวั่นมาก อากัปกิริยานั้นอยู่ในสายตากู้หว่านเยว่ ทำให้นางยิ่งยิ้มหนักขึ้น“ไม่ได้ กลับไปไม่ได้ แล้วยี่สิบตำลึงล่ะ”สายตาของเขาร้ายกาจขึ้นอย่างฉับพลัน“เจ้าก็ยืนกรานท่าเดียวว่าไม่สบายตัวสิ หมอก็มองไม่ออกหรอก”“ใช่แล้ว ท่านแม่สามีได้โปรดอดทนไว้ ทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวนี้”ลูกสะใภ้สาวปิดปากแอบหัวเราะ คำพูดนี้แต่ก่อนแม่สามีเคยพูดกับนางอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดก็ถึงวันที่นางจะได้ตอกกลับบ้างแล้วอย่าให้ต้องพูด ความรู้สึกนี้มันสะใจมากทีเดียว “เจ้า...”หญิงอ้วนเริ่มเสียดาย เหมือนว่านางไม่ควรมาที่นี่ วินาทีต่อมา นางก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเห็นเพียงชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมขุนนางวิ่งไปถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วคุกเข่าลง“ข้าน้อยมาช้าไป”กู้หว่านเยว่นึกดูสักครู่ “ผู้พิพากษาสวี?”“ข้าน้อยเอง” ผู้พิพากษาสวี่เช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ เขาเข้าใจตำแหน่งของกู้หว่านเยว่ในหัวใจของซูจิ่งสิงเป็นอย่างด
แววดุร้ายฉายแวบขึ้นในดวงตาของลู่ซาน “ยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับก็พอ”หลังจากนั้นไม่นาน หมอทั้งหลายก็ตรวจชีพจรให้ป้าลู่ทีละคน จากนั้นก็รวมตัวพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ผู้คนรอบ ๆ กำลังรอผลตรวจอยู่ ปรมาจารย์แพทย์จะเป็นหมอเถื่อนหรือไม่ใช่กันแน่นะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?ผู้พิพากษาสวี่อดถามไม่ได้ว่า “เป็นไงบ้าง?”ครอบครัวของป้าลู่ก็เริ่มกังวลเช่นกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขารู้อยู่แก่ใจดีหมอทั้งหลายตอบว่า “ปรมาจารย์อาวุโสดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของป้าลู่ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ”หมอหลินที่ค่อนข้างเด็กกว่าพูดว่า “ความจริงแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน ป้าลู่ก็เคยไปเยี่ยมโรงหมอของประชาชนเช่นกัน แต่ประชาชนมีความรู้น้อย ไม่กล้าใช้อาวุธโดยพลการ”กู้หว่านเยว่จับประเด็นสำคัญ “พูดแบบนี้ ลำไส้ของป้าลู่ก็ควรถูกตัดใช่ไหม?”“ถูกต้อง” หมอทั้งหลายพยักหน้า “ป้าลู่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ดูจากฝ่ามือของนางนั้นมีรูปโลงศพอยู่แล้ว แต่ลายมือนั้นมีร่องรอยการจางหายไป จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ปรมาจารย์แพทย์ผ่าตัดเอาอวัยวะที่เป็นจุดศูนย์รวมของโรคออกไป นางก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”“โชคดีที่ได้พบกับปรมาจารย์อาวุโส หากเป็นพว
ลู่ซานพุ่งเข้าไปคว้าเส้นผมของนางไช่ไว้ จนทำให้นางร้องโอดโอยกู้หว่านเยว่ไม่มีความทรงจำอะไรที่ดีต่อครอบครัวนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะทนเห็นลู่ซานใช้ความรุนแรงกับภรรยาได้“ผู้พิพากษาสวี่ ท่านรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรกับพยานและหลักฐานทั้งหมดใช่ไหม?”“เด็ก ๆ จับกุมคนในสกุลลู่ทุกคน คุมตัวไปที่ศาลาว่าการ โบยตียี่สิบไม้กระดาน!”ผู้พิพากษาสวี่โบกมือ เจ้าหน้าที่จับกุมป้าลู่และครอบครัวทันที เพื่อเห็นแก่นางไช่ที่พูดความจริงออกมา จึงไม่ได้จับกุมนาง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปให้ปากคำที่ศาลาว่าการอยู่ดี“ปล่อยข้า ปล่อยข้า พวกท่านใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น!”ลู่ซานมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาดุร้าย “เงินยี่สิบตำลึงนั้นสำหรับพวกท่านแล้ว มันก็เป็นแค่น้ำ แต่มันสามารถช่วยชีวิตคนทั้งครอบครัวของข้าได้ ทำไมท่านถึงยอมมอบเงินให้กับคนที่เดินผ่านไปมาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร แทนที่จะมอบให้พวกข้า เหตุใดท่านถึงเห็นแก่ตัวและโหดร้ายเช่นนี้!”กู้หว่านเยว่รู้สึกขบขันกับหลักการของเขา“มีเงินเยอะ ก็สมควรเอามาให้เจ้าหลอกงั้นหรือ?”“ตัวเจ้าติดหนี้พนัน เดือดร้อนไปทั้งครอบครัวไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว แต่ดันวิ่งออกไปหลอกลว
แค่คิดถึงอารมณ์เดือดดาลของปรมาจารย์แพทย์ ก็รู้สึกว่าเอาไว้มาเยี่ยมเยียนเขาวันหลังดีกว่ากู้หว่านเยว่มองดูฝูงชนแยกย้ายกันไปพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก พลางชำเลืองมองปรมาจารย์แพทย์ “ต่อไป ท่านยังจะตรวจรักษาเป็นการกุศลอยู่หรือไม่?”ปรมาจารย์แพทย์ลูบเคราพลางไตร่ตรองอยู่นาน “เมื่อก่อนผู้เฒ่าหวงเป็นคนบังคับให้ข้าตรวจรักษาโดยไม่คิดเงิน ต่อมาข้าก็ยินดีทำเอง”ในโลกนี้ยังมีคนที่เขารู้สึกคุ้มค่าที่จะช่วยเหลืออยู่อีกก็เหมือนกับกู้หว่านเยว่พูดไว้ โลกที่บุบสลาย มักจะมีคนซ่อมแซมอยู่เสมอการออกมาในวันนี้ ถือว่าให้ความซาบซึ้งใจแก่เขาเป็นอย่างมาก เมื่อซูจิ่งสิงกลับมาพร้อมกับอวิ๋นมู่ ก็พบว่าละครตลกนั้นแยกย้ายกันแล้ว“น้องหญิง เกิดอะไรขึ้น?”เขามองเห็นความโกลาหลที่ประตูจวนจากระยะไกล จึงอดเร่งฝีเท้าไม่ได้จนกระทั่งมาถึงข้างกายกู้หว่านเยว่ เกี่ยวมือนางไว้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยกู้หว่านเยว่รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เขาฟัง ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะเยาะอยู่ครู่หนึ่งลู่ซานควรจะรู้สึกดีใจในความโชคดีที่ไม่ได้พบเขา“คุณชายอวิ๋นมาได้ยังไง?” กู้หว่านเยว่แปลกใจเล็กน้อย อวิ๋นมู่ถูกนางจัดการให้ไปทำด
กู้หว่านเยว่ตัดบทพวกเขาอย่างไร้ความปรานี นางไม่มีทางเห็นใจกษัตริย์ทูเจวี๋ยอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับราชินีทูเจวี๋ยแล้วอย่างไรเล่า เป็นสามีภรรยามานานนับสิบปี นึกจะฆ่าก็ฆ่า ไร้ศีลธรรมยิ่งนัก“ฝ่าบาท พระองค์ห้ามเขียนนะเพคะ”พระสนมลี่ส่ายหน้า “อย่าให้พวกเขาเอาหม่อมฉันมาขู่พระองค์ได้”กษัตริย์ทูเจวี๋ยเกิดความลังเล เขาคิดไว้แล้ว ว่าในอนาคตจะยกบัลลังก์ให้กับบุตรที่อยู่ในครรภ์ของพระสนมลี่ หากร่างพระราชโองการนี้ออกมาจริง ๆ แผนการที่ทำมาทั้งหมดของเขาก็ต้องพังทลายลง“ท่านคิดให้ดี ๆ”กริชของกู้หว่านเยว่ขยับเข้ามาใกล้คอของพระสนมลี่ กระทั่งคมมีดบาดคอของนางจนเลือดไหลซึมความจริงแล้วนางไม่ได้อยากฆ่าพระสนมลี่ ถึงอย่างไรเสียบุตรในครรภ์ของนางก็ยังไร้เดียงสา นางแค่อยากขู่กษัตริย์ทูเจวี๋ยเท่านั้นหากกษัตริย์ทูเจวี๋ยให้ความร่วมมือกับนางอย่างว่าง่าย เรื่องหลังจากนี้ก็จะง่ายมากขึ้นเลือดสีแดงของพระสนมลี่ไหลเปื้อนกริช นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบใจสลาย “หยุดนะ อย่าทำร้ายนาง”เขามองใบหน้าของพระสนมลี่อย่างรักใคร่ แม้ว่าเขาจะหลงใหลในอำนาจแห่งกษัตริย์ทูเจวี๋ย แต่หากพระสนมลี่แล
“ดูท่าพระสนมลี่ผู้นี้จะเป็นนางในดวงใจของพระองค์นะเพคะ”น้ำเสียงของกู้หว่านเยว่แฝงไปด้วยการข่มขู่ จากนั้นกริชก็ได้พุ่งเข้ามาใส่หน้าของพระสนมลี่พระสนมลี่เป็นคนขี้ขลาด นางกรีดร้องในทันที“ฝ่าบาท ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วย!”“หยุดร้อง หากดึงดูดทหารเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือน พระสนมลี่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบกล่าว “อย่าทำร้ายนาง พวกเจ้าอย่าทำร้ายนาง นางกำลังตั้งครรภ์!”นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย เสี่ยวถ่านมองท้องของพระสนมลี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“นางกำลังตั้งครรภ์หรือ?”จู่ ๆ นางก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็เปิดจดหมายลับที่กู้หว่านเยว่ให้นางเมื่อครู่ หลังจากที่กวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็พลันซีดเผือดลงในทันที“ดังนั้น เสด็จพ่อ เพื่อจะได้เปิดทางให้เด็กในครรภ์ของพระสนมลี่ พระองค์ถึงกับยอมเสียสละชีวิตของลูกและเสด็จแม่หรือเพคะ?”เสี่ยวถ่านจำได้ขึ้นใจพระสนมลี่มีฐานะยากจน ตระกูลฝ่ายมารดาไร้ซึ่งอำนาจเพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะได้ความรักอย่างลึกซึ้งจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จแม่กลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ฐานะที่ต่ำต้อย ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียง
กษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวกู้หว่านเยว่ตัดนิ้วของเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่กะพริบตานั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันนั้น กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะได้ล้วงหยิบพระราชโองการออกมาจากห้วงมิติ แล้วโยนให้กษัตริย์ทูเจวี๋ย“เขียน แต่งตั้งให้องค์หญิงเก้าขึ้นเป็นรัชทายาทแห่งทูเจวี๋ย”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบจะตะโกนออกมาในทันที“ไม่ได้! จะยกราชบัลลังก์ให้นางไม่ได้!”สองคนนี้ต้องการให้เขาเขียนพระราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาท แล้วออกคำสั่งให้ขุนพลเกาเถียนตกอยู่ภายใต้อำนาจของเสี่ยวถ่าน! เลวทรามยิ่งนัก! เขาไม่มีทางเขียนอย่างแน่นอน!นัยน์ตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยวูบไหว อีกอย่างในใจของเขามีตัวเลือกสำหรับตำแหน่งองค์รักชทายาทแล้วกู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง “ท่านคงอยากให้องค์ชายสิบขึ้นเป็นองค์รัชทายาทสินะ?”“เจ้า!” กษัตริย์ทูเจวี๋ยตกใจอย่างมาก นางผู้นี้รู้ได้อย่างไร?“ไม่ใช่!”“ข้าเห็นมันในตอนที่เปิดอ่านจดหมายลับของท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นจดหมายลับหลายฉบับ
หากเปลี่ยนเป็นเหยลวี่เจิง ต่อให้นิ้วจะถูกตัดจนครบทุกนิ้ว เขาก็ไม่มีวันยอมคุกเข่าร้องขอชีวิตอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะร้ายกาจและฉลาดแกมโกง แต่กลับยังคงเย่อหยิ่งกษัตริย์ทูเจวี๋ยผู้นี้ กลับเป็นคนรักตัวกลัวตายกษัตริย์ทูเจวี๋ยหน้าแดงเถือกเมื่อเห็นสายตาเยาะเย้ยของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่อยากตาย ทำได้เพียงฝืนหยิบพู่กันที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดภายใต้แววตาที่เปล่งประกาย ซูจิ่งสิงก็พลันกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก“ข้าว่าทางที่ดีที่สุดท่านควรเชื่อฟังดีกว่า หากกล้าเล่นตุกติกกับข้า โกหกพวกเรา ข้าจะทำให้ท่านทรมานยิ่งกว่าตายเป็นพันเท่า”“พวกเจ้า!”กษัตริย์ทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด กระทั่งหางตาของเขาเห็นเสี่ยวถ่านไม่ได้สนใจเขา คาดว่าเด็กคนนี้คงจะตัดหางปล่อยวัดเขาไปแล้วเพื่อชีวิตของตัวเอง เขาทำได้แต่เขียนจดหมายอย่างว่าง่าย เพื่อเรียกคนสนิทเข้าวัง“ที่แท้ขุนพลเกาเถียนผู้นี้ก็เป็นคนของท่านนี่เอง”กู้หว่านเยว่หยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน ในตอนที่ได้ยินเสี่ยวถ่านเล่าความเป็นมาของทั้งสี่ตระกูล นางได้ยินชื่อของตระกูลเกาเถียนด้วย“กองกำลังของท่านคงมีไม่น้อย”กู้หว่านเยว่หยิบตราประทับกษัตริย์ออ
สี่ตระกูลนี้ นอกจากตระกูลกู่ลี่ที่โดนเนรเทศแล้ว อีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่ว่าจะตระกูลไหนใครก็ล่วงเกินไม่ได้สามตระกูลนี้ล้วนแต่มีองค์ชายที่อยากจะสนับสนุน ดังนั้นเขาไม่มีทางที่ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างแน่นอนเสี่ยวถ่านเดินมาถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่ พลางวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ของสองสามีภรรยานางเริ่มกังวลหลังจากที่กู้หว่านเยว่ฟังจบ นางกลับคลี่ยิ้มและขยี้ปลายจมูก “ใครบอกว่าทั้งสามตระกูลนี้ เจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตระกูลไหนได้เลย?”“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านยังไม่ได้สติกลับมาแต่ซูจิ่งสิงกลับเข้าใจความหมายของภรรยา จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูสมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา และเป็นโจรได้สมบทบาท ชอบปล้นคลังสินค้าของผู้อื่นก็เรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งกองกำลังของผู้อื่นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีนางก็ปล้นชิงไม่มีเหลือ“หากข้าเดาไม่ผิด น้องหญิง เจ้าน่าจะอยากช่วงชิงกองกำลังในมือของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมาด้วยสินะ?”ซูจิ่งสิงมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน“ตอบถูก แต่ไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน อีกอย่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยก็อ
ในเมื่อกู้หว่านเยว่เสนอเงื่อนไขนี้ นั้นก็หมายความว่านางตอบตกลงแล้วเสี่ยวถ่านแสดงสีหน้าดีใจ จากนั้นก็รีบคำนับโขกดินให้กู้หว่านเยว่สามครั้ง “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด”“ได้ ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงตัวของเสี่ยวถ่านขึ้นมา ในเมื่อเสี่ยวถ่านคือลูกศิษย์ของนางแล้ว เช่นนั้นอาจารย์อย่างนางก็ต้องช่วยลูกศิษย์สักหน่อย คงไม่เป็นไร“เจ้ายังมีศิษย์พี่อีกคน นั้นคือลูกศิษย์ของสามีข้า ตอนนี้อยู่ในเจดีย์หนิงกู่ ไว้มีโอกาส ข้าจะพาเขามาพบเจ้า”ครั้นเอ่ยถึงหลี่เฉินอัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เจดีย์หนิงกู่เป็นอย่างไรบ้าง นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ฉายแววคะนึงหา เสี่ยวถ่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่อย่างเป็นกังวล “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรกันดี?”หากต้องขึ้นครองบัลลังก์ คงไม่ใช่กล่าวเพียงปากเปล่าแล้วจะทำได้“ไม่รีบ”กู้หว่านเยว่มองไปทางอื่น ก่อนที่สายตาจะมาตกอยู่ที่กษัตริย์ทูเจวี๋ย มุมปากยกยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยบางอย่าง“ท่านพี่ ท่านคลายจุดให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยหนีไปไ
“ข้า....” เสี่ยวถ่านหวนนึกถึงคืนที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้น เพื่อปกป้องนาง ราชินีทิ้งโอกาสรอดชีวิตของตัวเองในทันที“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อเจ้าค่ะ”เสี่ยวถ่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เพื่อเสด็จแม่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ”“ได้”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบนี้ของเสี่ยวถ่าน จากการเฝ้าสังเกตการณ์ในสองวันที่ผ่านมานี้ นางได้พบว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่นางมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมากเพียงแต่เพราะอายุยังน้อยนัก ความสามารถในการจัดการเรื่องราวจึงยังอ่อนต่อโลกนัก ตราบใดที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง“เสี่ยวถ่าน เจ้าจงฟังข้า เมื่อครู่เจ้าเองก็เห็นท่าทีที่เสด็จพ่อเจ้ามีต่อเจ้า หากบัดนี้เจ้าปล่อยเสด็จพ่อของเจ้าไป ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในทูเจวี๋ย เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่” กู้หว่านเยว่มองเข้าไปในดวงตาของนาง พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากเจ้าอยากมีชีวิตเป็นของเจ้าเอง เพื่อแก้แค้นให้เสด็จแม่ ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมทำหรือไม่”“วิธีอะไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านกล่าวถามด้วยจิตใต้สำนึก“เจ้าตามข้ามา”กู้หว่านเยว่
“ไฟกองนั้น ท่านตั้งใจปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือเป็นคนบงการเองกันแน่?” เสี่ยวถ่านจ้องเขม็งไปทางกษัตริย์ทูเจวี๋ย นางอยากได้ยินคำสารภาพจากเสด็จพ่อด้วยตัวเองกษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง ครั้นเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่ถามของเสี่ยวถ่าน นัยน์ตาก็ฉายแววประหม่า“ตระกูลกู่ลี่ยกตระกูลของแม่เจ้ามาข่มขู่ข้าในราชสำนักหลายครั้ง ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อความสงบสุขของทูเจวี๋ย”เขารู้สึกละอายใจ “ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ก็ยิ่งต้องเข้าใจความยากลำบากของเสด็จพ่อของเจ้า”เขาเอื้อมมือไปทางเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน มานี่ เจ้าคือสายเลือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยของข้า ก็ควรมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”ครั้นเสี่ยวถ่านเห็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยเดินมาหาตน นางที่ยังจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดจากการเห็นเสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อปลิดชีพ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกในตอนนี้เองได้เกิดแสงเย็นสว่างวาบขึ้นภายใต้ฝ่ามือของกษัตริย์ทูเจวี๋ย กริชด้ามหนึ่งได้พุ่งเข้ามาแทงเสี่ยวถ่านโดยไม่ทันตั้งตัว “เสด็จพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด?”รูม่านตาของเสี่ยวถ่ายหดลงอย่างฉับพลัน นางยังรับความจริงเรื่องที่เสด็จพ่อฆ่าเสด็จแม่ไม่ได้ เพียงพ
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก