เมิ่งเหยียนมีความคับข้องในใจอยู่แล้ว แล้วจะทนกับการเย้ยหยันเช่นนี้ได้อย่างไร?ไม่พูดอะไรสักคำก็ร้องไห้วิ่งออกมา สุดท้ายก็พบกับกู้หว่านเยว่เข้าพอดี“แทนที่เจ้าจะร้องไห้อยู่ในนี้ สู้ไปอธิบายให้เขาเข้าใจดีกว่า”ลั่วหยางนั่งอยู่ในห้องคัดแยกสมุนไพร ชำเลืองมองเมิ่งเหยียนอย่างจนปัญญา“ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่รู้ตัวตนของเจ้าเช่นกัน พูดไปไม่กี่คำ เจ้าก็เจ็บปวดเจียนตาย”ลั่วหยางพูดอย่างจนปัญญา“สู้บอกเขาไปตรง ๆ ว่าเจ้าเป็นใคร ต่อให้ต้องตายก็ตายอย่างเข้าใจ”สองวันมานี้เมิ่งเหยียนร้องไห้สะอึกสะอื้นมาโดยตลอด ลั่วหยางรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว“ข้า ข้าก็อยากจะพูดเหมือนกัน แต่เขาเกลียดข้า”เมิ่งเหยียนเช็ดน้ำตานางย่อมต้องการบอกความจริงออกไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรที่มาเขตซีเป่ยในคราวนี้ ก็เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นแต่ไม่นึกว่า พี่ชายลูกพี่ลูกน้องโกรธมากกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก ในคำพูดเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเย้ยหยันที่มีต่อนางแล้วเมิ่งเหยียนจะพูดออกมาได้อย่างไรไม่พูดออกมา อย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังสามารถได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายยังสามารถฉวยโอกาสจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บของอีกฝ่
ทันใดนั้นแววตาของกู้หว่านเยว่ก็เป็นประกาย ความจริงแล้วมีความคิดนี้มานานแล้ว แต่กลับได้พูดออกมาอย่างระมัดระวังเป็นครั้งแรก“ข้าคิดว่า เป็นไปได้”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว นอกจากหนานหยางอ๋องและหมู่บ้านโซว่หวางแล้ว ยังมีเว่ยเฉิงและสกุลอวิ๋นที่ตอนนี้ล้วนภักดีต่อพวกเขา“หากมู่หรงอวี้ตาย ฮ่องเต้ชั่วต้องได้รับข่าวแน่นอน”เมื่อกล่าวถึงมู่หรงอวี้ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกปรารถนาเหลือเกินนางรู้ว่ามู่หรงอวี้ยังมีคลังส่วนตัวจำนวนหนึ่งอยู่ในมือเขาทันทีที่มู่หรงอวี้ตาย คลังส่วนตัวเหล่านั้นก็ไม่มีเจ้าของ ต้องหาวิธียึดคลังส่วนตัวเหล่านั้น“พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ในคืนฝนตก บ่าวรับใช้ที่กู้หว่านเยว่ทิ้งไว้ในป่ารกร้างทยอยลุกขึ้นทีละคน“ดูสิ เหมือนพวกคุณหนูจะกลับบ้านไปแล้ว”หนึ่งในนั้นชี้ไปที่ธงประจำสกุลกงซุนด้วยความตื่นเต้น“ดีจังเลย พวกเรารีบกลับไปเถอะ”บ่าวรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นคนรับใช้ของสกุลกงซุนมาหลายชั่วอายุคน ผูกพันกับสกุลกงซุนมาเป็นเวลานาน ตอนนี้รู้สึกยินดีจากใจจริงแต่ละคนต่างประคับประคองซึ่งกันและกัน รีบกลับไปที่หมู่บ้านโซว่หวาง“คุณหนูใหญ่ แล้วผู้อาวุโสโซว่หวางล่ะ?” พ่อบ้านผมหงอกขาว
สุดท้ายก็ประกาศว่า ต่อไปกู้หว่านเยว่จะเป็นนายหญิงตัวจริงของหมู่บ้านโซว่หวางแม้ว่าทุกคนจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านถึงอย่างไร ในเวลานี้สกุลกงซุนก็เห็นด้วยแล้ว พวกเขามีคุณสมบัติอะไรที่จะคัดค้าน?หลังจากประกาศข่าวนี้ออกไป กงซุนหงก็ได้มอบป้ายคำสั่งหัวหน้าสกุลให้กู้หว่านเยว่อย่างเป็นทางการ“แผนภาพการป้องกันหมู่บ้านโซว่หวาง หนังสือราชการ คดีความ และสมุดบัญชีในหลายปีที่ผ่านมาของเขตซีเป่ย ส่งมาให้ข้าทั้งหมด”ในเมื่อกู้หว่านเยว่จะมารับช่วงดูแลต่อในเขตซีเป่ย ก็ย่อมไม่เกรงใจพวกเขาเป็นธรรมดาอะไรควรถือไว้อยู่ในมือ นางต้องรู้ดีอยู่แล้ว“ขอรับ ฮูหยิน” ตอนนี้คนของสกุลกงซุนกำลังพากันเรียกกู้หว่านเยว่ว่าฮูหยิน“พลังของหมู่บ้านโซว่หวางจวงได้รับความเสียหายอย่างหนัก มอบหมายให้เว่ยเฉิงจัดการแล้วกัน”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย มองเว่ยเฉิงที่อยู่ด้านล่าง วิธีบูรณะของอีกฝ่าย นางไว้ใจได้“ข้าน้อยจะจัดการให้เป็นอย่างดีแน่นอน”เว่ยเฉิงรีบคุกเข่าลงพร้อมกับเอ่ยขึ้น“อยู่ในนี้ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนี้หรอก” กู้หว่านเยว่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนางรินชาถ้วยหนึ่งให้เว่ยเฉิง ส่งให้เขาเองกับมือ “พวกเราคือเพื
ทว่าเขาอยากหาโอกาสอยู่ตลอด พูดความในใจของตนต่อผู้อาวุโสโซ่วหวางให้ชัดเจนคิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ผู้อาวุโสโซ่วหวางก็ตายไปแล้วถ้อยคำของอีกฝ่าย ถึงขั้นกลายเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายไปเสียได้“เมื่อแรกท่านพ่อมิใช่พูดว่า ยกข้าให้ท่านหรือ?” กงซุนซวงเอ่ยปากหน้าแดงเรื่อ“ตอนนั้นข้ามิได้ตอบท่านพ่อ บัดนี้ท่านพ่อจากไปแล้ว ข้าอยากทำให้ผู้ชราเขาสมปรารถนา”ดวงตานางทอประกายระยับขณะผินมองเจียงหลิน“ข้ายินดีแต่งกับท่าน”“พวกเจ้าหมั้นหมายกันแล้วรึ?” เมิ่งเหยียนสั่นเบาๆ มองทั้งคู่อย่างเหลือจะเชื่อวันนี้นางมา ก็เพราะอยากพูดกับเจียงหลินให้เข้าใจคิดไม่ถึงยังไม่ทันเอ่ยปากพูดให้ชัดเจน ก็ได้รับข่าวชวนตกตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้หากว่าพวกเขาทั้งสองหมั้นหมายกันจริง เช่นนั้นนางยังสอดเข้าไป ยังมิใช่กลายเป็นมือที่สามอีกหรือ?“หมั้นหมาย?”กงซุนซวงเอ่ยปากหน้าแดงเรื่อ “ยังไม่นับว่าใช่ ตอนนั้นท่านพ่อข้าเพียงเอ่ยออกมาเท่านั้น แต่ข้ายินดีอยู่ภายในใจ ก็ไม่รู้พี่ใหญ่เจียงคิดเห็นเช่นไร ตอนท่านพ่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ พี่ใหญ่เจียงเองก็ไม่ปฏิเสธ”สายตานางมองเจียงหลินอย่างหลงใหล “ดังนั้นวันนี้ข้าถึงอยากถามพี่ให
“ขออภัยคุณหนูห้า ข้าไม่สามารถรับปากเรื่องแต่งงานกับเจ้าได้”กงซุนซวงอาศัยอาการมึนงงเมื่อครู่ของเจียงหลิน ยังคิดว่าทำสำเร็จแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่า อีกฝ่ายดึงสติกลับมาได้แล้วก็เปลี่ยนคำพูดทันใดนั้นหัวใจนางแตกสลาย พูดอย่างโศกเศร้า“เพราะเหตุใด? หรือท่านไม่ชอบข้า? ก่อนนี้มิใช่ท่านพ่อเห็นว่าพวกเราอยู่ด้วยกันแล้วเหมาะสมดีหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็เชื่อฟังคำพูดของท่านพ่อมากมาโดยตลอด ท่านเคยพูดว่าจะดูแลข้าดีๆ แทนท่านพ่อนี่”ขณะพูดกงซุนซวงไม่ใส่ใจต่อสิ่งใดอีกเจียงหลินปวดใจอยู่บ้าง“ขออภัยคุณหนูห้า ทำให้เจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว ผู้อาวุโสโซ่วหวางชื่นชมข้า ข้าย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจจริง เมื่อแรกมาที่ซีเป่ย หากมิใช่เพราะเขาชี้แนะ ข้าก็ไม่สามารถเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวมาโดยตลอด”เขาถอนหายใจมองทางกงซุนซวง“ข้ารับปากผู้อาวุโสโซ่วหวางจะดูแลเจ้าดีๆ ก็คือพี่ชายดูแลน้องสาว ข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์”เจียงหลินพูดอย่างชัดเจน “น้องหญิงห้าเหมาะสมกับคนดี”เขาก้มหน้า ใบหน้าเผยความเจ็บปวด“เจียงหลิน ภายในใจมีคนอื่นตั้งนานแล้ว”“ท่านกำลังพูดถึงอดีตคู่หมั้นคนนั้นกระมัง? แต่นางม
“ไม่” กงซุนซวงหลบเลี่ยงสายตาอย่างว้าวุ่นนางเดินออกไปนอกลานบ้าน “ฐานะอะไร ข้าไม่เข้าใจ”“ก็ได้” กู้หว่านเยว่มอบกล่องยาให้ชิงเหลียน ไม่พูดอะไร หมุนตัวได้ก็วิ่งออกไปแล้วข้างหลังนาง กงซุนซวงกลับรู้สึกผิดนางรู้ฐานะของเมิ่งเหยียนจริง หลังจากเจียงหลินฟื้นขึ้นมา นางก็มองเห็นความไม่ชอบมาพากลนางมีความเห็นแก่ตัว ไม่ยอมเปิดเผยเมื่อครู่ก็จงใจพูดเรื่องแต่งงานกับเจียงหลินต่อหน้าเมิ่งเหยียนกงซุนซวงมาถึงห้องอย่างเหม่อลอย บังเอิญกงซุนหงออกมาต้อนรับพอดี“เป็นเช่นไร ทางฝั่งเจียงหลินพูดว่ากระไร?”นางถามยิ้มๆ มองไม่เห็นท่าทางผิดหวังของน้องหญิงห้า“ตอบตกลงแล้วกระมัง น้องหญิงห้าหน้าตางดงาม ยังเป็นเขาเอาเปรียบแล้ว”หางตากงซุนซวงแดงเรื่อ ทันใดนั้นจับมือกงซุนหงไว้ มองออกได้อย่างไม่ยากว่านางกำลังดิ้นรนภายในใจอยู่นาน“พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่แต่งกับเจียงหลินแล้ว ถือเสียว่าไม่เคยเอ่ยถึงการแต่งงานนี้มาก่อน”“หมายความว่าอะไร?” กงซุนหงหน้าบึ้ง จูงกงซุนซวงออกจากลานบ้านโดยตรง “ใช่หรือไม่ว่าเขาไม่ยินดี ข้าจะไปถามเขา”“ไม่ใช่เจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่” กงซุนซวงรีบห้ามอีกฝ่ายนางหลับตาลง “เดิมทีเจียงหลินก็มิได้ชมช
เดินกะโผลกกะเผลกออกไปด้านนอก“ข้าประคองท่านไป” กงซุนซวงถลันขึ้นมา เห็นเจียงหลินต่อต้านเล็กน้อย นางเอ่ยปากอย่างหวังดี“ท่านไม่รู้เรือนของเมิ่งฮูหยินอยู่แห่งใด ข้าพาท่านไปเถอะ”“ขอบคุณมาก” เจียงหลินได้ยินก็พยักหน้าลงทั้งสองรีบเดินทางมาถึงลานบ้านของเมิ่งเหยียน ปรากฏว่าไม่เห็นเมิ่งเหยียน กลับมองเห็นลั่วยางกำลังคัดแยกยาสมุนไพรอยู่ภายนอกนับตั้งแต่ขจัดความลุ่มหลงในความรักไป ลั่วยางก็หันมาให้ความสนใจต่อยาสมุนไพร“นี่พวกเจ้า?”ลั่วยางมองเจียงหลินและกงซุนซวงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หลายวันนี้ได้เห็นเมิ่งเหยียนตาแดงกลับมาหลายหน ภาพประทับใจต่อทั้งคู่จึงไม่ดีขึ้นมาก“ได้ยินมาว่าพวกเจ้าพูดคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว ยังมาที่นี่ทำอันใด? ในเมื่อยุ่งเพียงนี้ ก็อย่าเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเลย”อุปนิสัยของลั่วยางได้ตามปรมาจารย์แพทย์อยู่บ้าง พูดอย่างไม่สบอารมณ์“นางเล่า?” เจียงหลินเปิดปากพูดได้อย่างยากลำบากลั่วยางถลึงตาใส่เขาหลายหน อยากพูดอะไร มองเห็นขอบตาเจียงหลินแดงเรื่อแล้ว ชี้เข้าไปภายในห้อง“หลังกลับมาก็ขังตนเองอยู่ภายในห้อง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา”“ขอบคุณมาก” เจียงหลินมองลั่วยางอย่างซาบซึ้งใจแว
“น้องหญิง ปวดหัวหรือ?”ซูจิ่งสิงเห็นกู้หว่านเยว่กังวล ช่วยนางนวดขมับอย่างปวดใจ“เรื่องทางฝั่งเมืองหลวงพวกเรายังไม่ต้องรีบ ให้คนจับตาดูดีๆ ก่อน”กู้หว่านเยว่เก็บภาพวาด “ยังจัดการเรื่องซีเป่ยก่อนเถอะ พวกเราต้องรีบกลับเจดีย์หนิงกู่”นางมีลางสังหรณ์ จากนี้ไปเจดีย์หนิงกู่จะไม่สงบสุขอีกต่อไปส่วนเถาเอ๋อร์ แม้กู้หว่านเยว่ปวดหัวอยู่บ้าง กลับไม่กังวลมากนักในเมื่อสามารถทำให้เถาเอ๋อร์พ่ายแพ้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังมีครั้งต่อไป“ฮูหยิน ฮูหยินแย่แล้ว!” ทันใดนั้นกงซุนซวงวิ่งพรวดพราดเข้ามาจากภายนอกไม่ใส่ใจสองสามคนที่ยังปรึกษากัน ก็วิ่งเข้ามาหยุดหน้ากู้หว่านเยว่แล้ว“หมอหญิงลั่วให้ข้ามาเชิญท่าน” นางร้องไห้อย่างรู้สึกผิด“เมิ่งเหยียนนาง นางกินยาฆ่าตัวตายแล้ว”หากรู้ตั้งแต่แรก กงซุนซวงไม่มีวันจงใจกระตุ้นเมิ่งเหยียนต่อหน้าเจียงหลินอย่างแน่นอนนางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอุปนิสัยของเมิ่งเหยียนจะรุนแรงเพียงนี้ นางคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนรู้รุกรู้ถอย“ขออภัย ต้องโทษข้า ข้าควรฟังท่านตั้งแต่แรก”ยามกู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนนาง นางมิได้เก็บมาใส่ใจกงซุนซวงเสียใจภายหลังเหลือหลาย“พาข้าไป”กู้หว่านเยว่เองก
“ข้าไปดูดินปืนได้หรือไม่?”ฮั่วจี๋กลืนน้ำลาย เขาอยากรู้อยากเห็นมากจริง ๆ หวังปี้มองไปยังกู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ได้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปดู”“ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ยิ้มเล็กน้อย กู้หว่านเยว่มองไปที่เขา “เดินทางมาเหนื่อยยากลำบาก เจ้าทานอะไรหรือยัง? ข้าจะพาเจ้าไปทานข้าวนะ”ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี“ได้”อวิ๋นมู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากด้านหลัง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ“พี่สะใภ้!”มู่หรงฉางเล่อแต่งกายเป็นบุรุษอีกแล้ว คราวนี้ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ ติดตามอยู่ด้านหลังอวิ๋นมู่“เจ้ามาได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่ตกใจ เด็กสาวคนนี้ไม่รออยู่ที่เจดีย์หนิงกู่อย่างสงบ วิ่งมาที่สนามรบทำไมกัน?“ข้ามาช่วย!”มู่หรงฉางเล่อทุบหน้าอกของตนเอง อย่าเห็นว่าเด็กสาวคนนี้อายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่รักชาติบ้านเมืองเช่นกัน“แม้ว่าข้าจะเข้าไปในสนามรบไม่ได้ แต่ข้าได้ยินท่านแม่ข้าพูดว่า ฝ่ายสนับสนุนก็มีหลายอย่างที่สามารถช่วยได้”อวิ๋นมู่พยักหน้าเห็นด้วย“ครั้งนี้ต้องขอบคุณนาง ถึงได้ส่งดินปืนมาได้อย่างปลอดภัย”ที่แท้ระหว่างทางพวกเขาเจอกับพวกโจร อาศัยไหวพริบของมู่หรงฉางเล่อ ไ
หลี่เยว่แอบเหลือบมองกู้หว่านเยว่เงียบ ๆ แวบหนึ่งหลี่จินไม่เข้าใจ ยังคงเร่งเร้านาง “น้องเล็ก ท่านหมอหญิงถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงได้เหม่อลอย?”“เป็นคุณหนูท่านหนึ่งที่ให้ข้ามา”หลี่เยว่ได้สติกลับมา สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“นะ นางถามทางข้า พอให้ปิ่นปักผมข้าแล้วก็ออกจากเมืองไป”อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โกหก นางจึงพูดตะกุกตะกัก“ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปที่ใด”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก พาชิงเหลียนออกจากร้านขายยาเมื่อขึ้นรถม้า ก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาคนมาสองคน แอบตามไปดูที่บ้านสกุลหลี่”ทั้งสองคนกลับไปที่สกุลฮั่ว หนานหยางอ๋องกำลังนำเหล่ารองแม่ทัพมารอนางอยู่“พระชายา” หวังปี้ก้าวเข้ามา เดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ด้วยความกระตือรือร้น “ท่านแม่ทัพและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังรอคำชี้แนะจากท่าน แม่ทัพเมืองซุ่ยโจวได้ยินว่าเมืองเหยาถูกพวกเรายึดไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะยกทัพมาโจมตี”กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเมืองเหยาถูกพวกโจรยึดครองนานกว่าครึ่งเดือน ก็ไม่เห็นว่าทางซุ่ยโจวจะมีการเคลื่อนไหวใด ๆ บัดนี้ถูกเจดีย์หนิงกู่ยึดครองไปแล้ว ถึงได้เริ่มร้อนใจหรือ?“แ
“บุตรสาวตระกูลอาวุโสจางเพิ่งจะอายุเพียงสิบห้าปีเอง”หลี่จินทอดถอนใจเพราะอีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามมาก ดังนั้นตระกูลอาวุโสจางจึงรักบุตรสาวคนนี้มาก ไม่อยากให้นางแต่งงานเก็บนางไว้ในบ้านตลอด ตั้งใจว่าจะเก็บนางไว้เพิ่มอีกสักสองสามปีบุตรสาวอันเป็นที่รักที่พวกเขาคอยทะนุถนอมมาอย่างดีราวกับไข่มุกอันเลอค่าก็ดันถูกโจรเหล่านั้นบุกเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงกระทั่งเห็นนางในกลุ่มคนจึงลากนางออกมาจากกลุ่มคน แล้วฝืนใจนางกลางถนนตอนกลางวันแสก ๆ เนื่องจากนางเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี ไหนเลยจะรับความอัปยศอดสูนี้ได้?หลังจากที่แม่นางจางกลับไป นางก็เป็นบ้าทันทีในขณะที่คนในบ้านไม่ทันสังเกต นางก็กระโดดบ่อน้ำจบชีวิตลงกว่าจะหามศพขึ้นมาจากน้ำได้ก็อืดแล้วเรื่องนี้สร้างความตื่นตกใจให้เด็ก ๆ ไม่น้อยนางหลินร้องไห้สะอื้นกู้หว่านเยว่ยืนฟังเรื่องนี้อยู่ด้านนอกก็ยังรับไม่ได้ยามศึกสงคราม คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นชาวบ้านอาวุโสแต่ก็หวังว่าสงครามระหว่างเจดีย์หนิงกู่และราชสำนักจะสิ้นสุดในเร็ววัน และเข้าช่วยเหลือชาวบ้านนับหมื่นจากภัยพิบัติในครั้งนี้“ข้ามาดูบาดแผลให้ภรรยาของเจ้า”กู้หว่านเยว่เอ่ย ตัดบทสนทนาของเ
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว?นางหลินป่วยหนักปางตายขนาดนี้นางจะมัวแต่คิดถึงหลาน ๆ โดยไม่สนใจความเป็นความตายของลูกสะใภ้ได้อย่างไร?แม่หลี่หัวเราะเยาะ“แสดงว่าในสายตาของเจ้า แม่สามีอย่างข้าเป็นคนเช่นนี้”ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!นางหลินดูหงอยลงทันทีเดิมทีนางขี้กลัวอยู่แล้ว บวกกับที่แม่สามีมักจะมีฝีปากร้ายกาจเช่นนี้เพราะความอคติแบบนี้ จึงคิดว่าตนนั้นคงเข้ากับแม่สามีไม่ได้ “ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่...”ไม่ว่านางจะผิดหรือไม่ผิด นางก็มักจะรีบก้มหน้าสำนึกผิดก่อนเสมอแม่หลี่ยิ่งขบขัน “ข้ายังไม่ว่าเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นให้ใครดูล่ะ รีบนอนลงเดี๋ยวนี้เลย เกิดแผลปริขึ้นมา สามีของเจ้าคงได้เอาชีวิตข้าแน่”“น้องหญิง เจ้านอนพักก่อนเถอะ”หลี่จินรีบเข้าไปประคองนางหลินให้นอนลงแม้ว่าแม่หลี่จะมีฝีปากร้ายกาจ แต่ก็มักจะโกรธง่ายหายเร็วหลังจากได้ระบายออกมาทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ“ในตอนที่ข้ามาถึง ได้ยินเยว่เอ๋อร์บอกว่า เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวัน หลายวันนี้เรื่องภายในบ้านก็ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนี้อย่างสงบเถิด”คำกล่าวของแม่หลี่ทำให้นางหลินน้ำตาเ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เสียงปริศนาเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังมาจากด้านล่างที่แท้ก็เป็นน้องสาวจากตระกูลหลี่จินที่มาหาเขานี่เอง บอกว่าท่านแม่หลี่ก็มาเยี่ยมด้วย“พวกเจ้านะพวกเจ้า ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่บอกข้า”ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงที่ดุดันของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน“หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาจากทุ่งนา แล้วได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาโรงหมอ”หญิงวัยกลางคนด่ากราดเสียงดัง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าดูไม่สบอารมณ์หลี่จินค่อนข้างลำบากใจ“เสียมารยาทยิ่งนัก แม่ของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบเอะอะโวยวาย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง มั่นใจว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นแม่สามีขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอนมิน่าล่ะก่อนหน้านั้นนางหลินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว ไม่กล้าให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าหากถูกแม่หลี่รู้เข้า จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอนในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังจะกลับนั้น นางได้เข้าไปจับชีพจรให้นางหลินอีกครั้ง“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน”นางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นได้นางมีสีหน้าลำบากใจ หดคอเหมือน
หลังจากลองกดหน้าท้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ยิ่งมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของนางหลินจะต้องเกิดจากรังไข่ที่ฉีกขาดอย่างแน่นอน“มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก แถมภรรยาของเจ้าก็ยังหน้าซีดราวกับกระดาษ ปวดท้องตลอดเวลาแบบนี้ อาจจะทำให้ช็อกได้ทุกเมื่อ ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน”กู้หว่านเยว่ดึงมือกลับ นางหลินยังคงนอนอยู่บนเตียง เหงื่อไหลพรากราวกับสายฝน นางยังคงสะลึมสะลือหลี่จินจึงกล่าวถามว่า “ผ่าตัดหรือ? อะไรคือผ่าตัด?”“คือการกรีดเปิดหน้าท้องของภรรยาเจ้า จากนั้นก็ซ่อมแซมบาดแผลภายในร่างกาย ห้ามเลือดให้นาง ไม่ให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของนางอีก”อีกฝ่ายไม่เคยเจอวิธีการนี้ในตำรามาก่อน กู้หว่านเยว่พยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายอธิบายให้เขาฟังหลี่จินเข้าใจแล้ว แต่กลับตกใจไปชั่วขณะ“ต้องกรีดหน้าท้อง? เช่นนั้นภรรยาของข้าก็ยิ่งทรมานนะสิ”เขามีสีหน้าเป็นกังวล แต่เขากลับเป็นคนซื่อตรง ไม่ได้ซักถามกู้หว่านเยว่ต่อเพียงแต่เป็นห่วงกลัวนางหลินจะทนไม่ไหว เจ็บจนปางตาย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามียาระงับความเจ็บปวด หากภรรยาของเจ้ากินยานี้แล้ว จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”กู้หว่านเยว่มองไปยังอีกฝ่ายจะผ่าตัดได้หรือไม
“ท่านผู้นี้คือ?”เมื่อหลี่จินได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ ก็รีบหันไปมองนางทันทีแต่กู้หว่านเยว่ใส่หมวกม่านอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง“อย่าเปิดเผยสถานะของข้า”กู้หว่านเยว่กระซิบบอกข้างหูของเจ้าของร้านเบา ๆ เจ้าของร้านจึงรีบพยักหน้า เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีทักษะการแพทย์ จึงหาข้ออ้างไปเรื่อย “นี่คือหมอหญิงในร้านขายยาของเรา ในเมื่อภรรยาของเจ้าไม่ยอมให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย มิสู้ให้หมอหญิงท่านนี้ตรวจร่างกายให้ภรรยาของเจ้าล่ะ?”เขาลองหยั่งเชิง“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยอมหรือไม่”สาเหตุที่นางหลินไม่ยอมให้หมออาวุโสผู้นั้นตรวจร่างกายของนาง เพราะเหตุผลที่ว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด นางทนต่อคำครหาเหล่านั้นไม่ได้ ทั้งยังกังวลว่าหลังจากที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะถูกผู้อื่นตำหนินางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ บัดนี้ไหน ๆ ก็มีหมอหญิงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้า“หากหมอหญิงผู้นี้สามารถตรวจร่างกายให้ข้าได้ เช่นนั้นก็ดี”นัยน์ตาของหลี่จินเปล่งประกาย“ได้โปรดท่านหมอช่วยตรวจร่างกายให้ภรรยาของข้าด้วยเถิด”กู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เจ้าของร้านรีบยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้นา
“หากเจ้าไม่สบายตรงไหน อย่าฝืนทนเด็ดขาด ต้องตรวจให้แน่ใจ”สายตาของบุรุษฉายแววร้อนใจ มีท่าทีเป็นห่วงอย่างชัดเจนหมอที่อยู่ด้านหลังเห็นทั้งสองคนลังเล จึงอดกล่าวเตือนไม่ได้“หากท่านทั้งสองคนไม่อยากตรวจ ก็ขยับไปด้านข้างก่อนเถิด อย่าทำให้คนที่มาต่อแถวรอตรวจต้องเสียเวลา”“ไปกันเถอะ”สตรีผู้นั้นพยายามลากบุรุษข้างกายออกไป ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บด้านหลังจึงรีบรุดขึ้นหน้าทันที เพียงแต่ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกไป ภาพตรงหน้าของสตรีผู้นี้ก็ดับวูบ เป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น“น้องหญิง ๆ เจ้าเป็นอะไรไป?”หลี่จินกอดนางหลินไว้ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ“ใครก็ได้มาช่วยดูอาการให้น้องหญิงของข้าหน่อย?”คนที่อยู่โดยรอบรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว กู้หว่านเยว่จึงมองไปทางเจ้าของร้านเจ้าของร้านกลับไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้มีชาวบ้านมาหาหมอเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็มีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นลมหมดสติอย่างฉับพลันทันทีที่มาถึงหน้าโรงหมอเขาออกคำสั่งอย่างเป็นระบบระเบียบ“ขอผู้ช่วยสองคน ยกแม่นางผู้นี้ขึ้นเปล แล้วหามเข้าไปตรวจภายในห้อง”ผู้ช่วยที่รอคำสั่งอยู่ด้านหลังก็ร
จากเนื้อหาที่ซูจิ่งสิงเขียนไว้ในจดหมาย บอกไว้ว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่ได้ข้ามแม่น้ำมู่ตันโดยสมบูรณ์แล้ว บัดนี้กำลังมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งของกองทัพจากราชสำนักที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตันกองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมบรรเลงเพลงรบด้วยกัน เพราะฝั่งของเรามีดินปืน ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้สงครามถึงสองครั้งสงครามยืดเยื้ออย่างน้อยครึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่มีทหารนับแสนคนของราชสำนักก็ได้ต้องถอยทัพออกจากแม่น้ำมู่ตันหลังจากที่กู้หว่านเยว่อ่านจบแล้ว มุมปากก็ได้กระตุกยิ้มอย่างชื่นชมนางรายงานสถานการณ์ของเมืองเหยาให้ซูจิ่งสิงรับรู้แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการบอกอีกฝ่ายว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยดี เขาไม่ต้องเป็นห่วง รับมือกับศึกอย่างสบายใจได้เลยเมืองเหยาเกิดหายนะอย่างรุนแรง นางต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุการณ์หลังสงครามหลังจากเขียนจดหมายเสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นำม้วนกระดาษผูกติดกับขาของนกพิราบทองคำ“ไปเถอะ ไปหาเจ้าของของเจ้า”นกพิราบทองคำกางปีกโผบินออกไป“ฮูหยินคิดถึงท่านอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ชิงเหลียนเห็นกู้หว่านเยว่ที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปิดปากแอบหัวเราะกู้