หลังพระอาทิตย์ตกดิน เนื่องจากเวลากลางคืนในหมู่บ้านสือหานอากาศหนาวเย็นเกินไป กู้หว่านเยว่จึงให้พวกเขาแยกย้ายกลับเรือน ซูจิ่นเอ๋อร์ เสี่ยวอัน และเสี่ยวหรงได้ตระเตรียมข้าวปลาอาหารไว้พร้อมแล้ว กำลังรอให้ทั้งครอบครัวมากินเมื่อมองไปที่ตะเกียงน้ำมันที่มีแสงสลัว กู้หว่านเยว่คิดว่าหากสามารถนำเครื่องปั่นไฟและหลอดไฟในยุคปัจจุบันมาได้ก็คงจะดีแต่นี่ก็เป็นเพียงความคิด ต้องรอให้ค่อย ๆ เป็นจริงในอนาคตเท่านั้นถัดจากหมู่บ้านสือหานก็เป็นเรือนชั่วคราวของนาง เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย กู้หว่านเยว่จะทำให้เรือนหลังนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆหลังรับประทานอาหารเสร็จ ซูจิ่นเอ๋อร์และนางหยางก็ขดตัวเย็บรองเท้าผ้าใบอยู่บนเตียงซูจื่อชิงนั่งอยู่ใต้ตะเกียงน้ำมันสอนหลี่เฉินอันและเสี่ยวหรงอ่านหนังสือ ขณะที่เมี่ยชิงหว่านคอยฟังอยู่ข้าง ๆหลี่อวิ๋นอวิ๋นซุ่มอยู่ข้างเตียง โก่งสะโพกใหญ่ย่างมันเทศอยู่หลายคนค่อย ๆ คุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ฉู่เฟิงเข้ามาในห้องของทั้งสองอย่างเงียบ ๆ “นายท่าน ฮูหยิน หมาป่าเมื่อคืนนี้มีคนสกุลเฉินใช้เลือดไก่ล่อมาจริง ๆ”เขาแอบฟังคนสกุลเฉินพูดคุยกัน “หัวหน้าหมู่บ้านเฉินวางแผนที่จะเข้าเมืองพรุ
ใต้เท้าสวีกลัวซูจิ่งสิงลงมือต่อ ไม่กล้าเสแสร้งแกล้งทำอีก ลากกล่องออกมาอย่างว่าง่ายกู้หว่านเยว่รีบเปิดกล่องออก ตกตะลึงเหม่อลอยในทันใดมองเห็นภายในใส่เครื่องทองและตั๋วเงินเต็มๆ หนึ่งกล่องใหญ่ประเมินภาพรวมดูแล้ว ตั๋วเงินเหล่านี้มีนับหนึ่งแสนตำลึงเลยทีเดียวกู้หว่านเยว่กวาดเงินทั้งหมดจนเกลี้ยงอย่างไม่เกรงใจ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนหน้านี้ สายตาตกลงบนตัวขุนนางชั่วสวีนางไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไปเช่นนี้“ท่านพี่ ท่านอุดปากเขาไว้ ใช้เชือกมัดให้ดี พวกเราไปตลาดสดกัน”“อือ อืออืออือ!” ใต้เท้าสวีอุทานออกมาอย่างตกตะลึงสองคนนี้ไร้คุณธรรม!ได้เงินแล้วถึงขั้นไม่ปล่อยเขาไป!“จะทำเช่นไรกับนาง?” ซูจิ่งสิงชี้ไปทางนางหลิวที่กำลังนอนหมดสติบนตียง ขมวดคิ้วแน่น“ไม่ต้องสนใจนาง” นางหลิวทำผิดพลาดชวนให้คนดูแคลน กระนั้นก็เป็นหญิงต้องเลี้ยงดูลูกคนหนึ่ง กู้หว่านเยว่ไม่อยากสร้างความลำบากให้นางทั้งสองคนอุดปากใต้เท้าสวีเอาไว้ มัดตัวแน่นหนา ขนไปที่ตลาดสดหาเสาไม้ที่ใจกลางตลาดสด กู้หว่านเยว่หยิบเชือกแข็งแรงออกมาหนึ่งเส้น มัดใต้เท้าสวีกับเสาไม้“ท่านยังมีคำใดต้องการพูดอีกหรือไม่” กู้หว่านเยว่
“คืนนี้ข้าไม่นอนแล้ว จะอยู่เฝ้าเจ้าที่ข้างเตียงนี่ล่ะ”“ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากไม่นอนจะเหนื่อยมากเพียงใด ท่านมานอนพร้อมข้าเถอะ” กู้หว่านเยว่เปลื้องเสื้อคลุมตัวนอกออก มักคิดว่าเอวนางหนาขึ้นกว่าก่อนไม่น้อยนางคงมิได้ตั้งครรภ์จริงหรอกกระมัง?เพียงความคิดนี้โผล่ขึ้นมา กู้หว่านเยว่ก็ส่ายหน้าแล้วครั้งเดียวเท่านั้น ไฉนเลยจะยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้งได้ จะต้องเป็นเพราะระยะนี้เจริญอาหารเกินไปแน่นอน“ข้าพิงขอบเตียงนอนก็แล้วกัน” ซูจิ่งสิงไม่กล้าพูดว่าเขาขึ้นเตียงนอนแล้วกลับเหนื่อยยิ่งกว่า ต้องเกร็งเครียดร่างกายตลอดทั้งคืน“ก็ได้” กู้หว่านเยว่จู๋ปาก มิได้ลูบกล้ามท้อง เสียใจจริงเชียวเช้าวันต่อมา เพียงทั้งสองออกจากห้องก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างอารมณ์ดีของคนทางด้านล่างแล้ว“ได้ยินแล้วหรือไม่ ใต้เท้าสวีสวีเสี้ยนเฉิงแห่งจวนผู้ว่าการอำเภอถึงขั้นถูกคนแก้ผ้าล่อนจ้อน โยนทิ้งไว้ที่ตลาดสด!”“น่าตื่นเต้นเพียงนี้เชียวรึ? รีบไปดูเร็วเข้า”คนในโรงเตี๊ยมวิ่งไปที่ตลาดสดบรรยากาศยามค่ำคืนของเจดีย์หนิงกู่หนาวเหน็บ อุณหภูมิติดลบนับสิบกว่าองศาขุนนางชั่วสวีนอนหมดสติอยู่บนพื้น กลายเป็นน้ำแข็งย้อย หูสองข้างเองก็ถู
“ข้าชี้แนะเจ้าให้รีบไปเร็วหน่อย ช้ากว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ทันการ” กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนอย่างหวังดี“เจ้าหมายความว่ากระไร?”หัวหน้าหมู่บ้านเฉินเห็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของกู้หว่านเยว่ เกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้นภายในใจ รีบขับลาเทียมเกวียนเข้าเมืองเพียงเข้ามาก็ได้ยินข่าวลือไปทั่วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับใต้เท้าสวีแล้ว“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”สีหน้าหัวหน้าหมู่บ้านเฉินตกตะลึงว้าวุ่น รีบขับรถมาจนถึงประตูเรือนสกุลสวีผลลัพธ์คือทั่วทั้งสกุลสวีเละเป็นโจ๊กหนึ่งหม้อ ไม่มีใครสนใจพวกเขาแล้วยังเป็นขอทานหน้าประตูบอกพวกเขาอย่างหวังดี เมื่อคืนถึงขั้นมีคนร้ายสองคนบุกเข้าจวนสกุลสวี!ไม่เพียงปล้นสมบัติทั้งหมดของสกุลสวี ยังจับใต้เท้าสวีแก้ผ้าล่อนจ้อนไปทิ้งไว้ที่ตลาดสดใต้เท้าสวีถูกแช่แข็งตลอดคืน ร่างกายม่วงคล้ำ หมดสติไม่รู้สึกตัวบัดนี้หมอมีชื่อเสียงสิบกว่าคนกำลังร่วมมือกันช่วยเหลือ ก็แค่อาการถูกความเย็นจัดของใต้เท้าสวีหนักมากเกินไป ต่อให้ช่วยชีวิตกลับมาได้ ก็ไม่ต่างอันใดจากคนพิการ“ข้าว่านะ จวนสวีจบสิ้นแล้วล่ะ” ขอทานกลับดูมีความสุขในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหัวหน้าหมู่บ้านเฉินสองพ่อ
ต้นไม้ใหญ่เฉกเช่นใต้เท้าสวีล้มลงไปแล้ว เขาต้องคิดหาหนทางรับมือกับคนต่างถิ่นกลุ่มนี้ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นั่นเป็นไปไม่ได้!คนหัวแข็งอย่างกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง ภายภาคหน้ามีเพียงกดขี่ข่มเหงเขาแล้วแต่ไหนแต่ไรมาหัวหน้าหมู่บ้านเฉินเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์ออกความเห็นภายในหมู่บ้านสือหานแห่งนี้ ไฉนเลยจะสามารถอดทนได้?!แววตาหัวหน้าหมู่บ้านเฉินมืดมน ทันใดนั้นเกิดความคิดชั่วร้ายอย่างหนึ่งขึ้นภายในสมองอีกด้านหนึ่งกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขับรถม้ากลับมาถึงหมู่บ้านสือหานแล้วก่อนเข้าหมู่บ้าน กู้หว่านเยว่ตั้งใจหยิบอาหารปรุงสุกดีแล้วออกจากมิติวิเศษโดยเฉพาะ จากนั้นวางลงบนรถม้าเพียงซูจิ่นเอ๋อร์และคนอื่นออกมาก็มองเห็นของกินบนรถม้าทั้งสองคัน กลิ่นอาหารหอมฉุยชำแรกจมูก ทันใดนั้นอุทานออกมาอย่างตกตะลึง“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านไปซื้อของในเมืองมาอีกแล้วหรือ? มิหนำซ้ำยังซื้อกลับมามากเพียงนี้อีกด้วย!”“พวกเราอยู่ไกลจากเมืองตู้เปียน ซื้อมาหน่อยก็ไม่ต้องไปบ่อยๆ แล้ว”“จื่อชิงเสี่ยวอันเสี่ยวหรง มาขนอาหาร” กู้หว่านเยว่ตะโกนเรียกสองสามคนนั้นออกมาทั้งสามคนรีบวิ่งออกมาจากภายใน แม้แต่หลี่อวิ๋นอว
ขณะผ่านเข้ามิติวิเศษ กู้หว่านเยว่ใช้เข็มเงินทำให้นางหยางเข้าสู่ห้วงนิทราต่อมาเปิดการใช้งานเครื่องมือของหอแห่งโอสถ ตรวจร่างกายอย่างเต็มรูปแบบหลังตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว กู้หว่านเยว่พบว่าภายในสมองของนางหยางถึงขั้นมีลิ่มเลือดหนึ่งก้อนใหญ่เว้นเสียแต่สิ่งนี้ ร่างกายก็ไม่มีปัญหาอื่นดูท่าแล้วสาเหตุที่ทำให้นางโง่งมก็เพราะลิ่มเลือดนี้กู้หว่านเยว่พาคนออกจากมิติวิเศษ“หว่านเยว่ ท่านแม่เป็นเช่นไร?” ซูจิ่งสิงขยับขึ้นมารับนางหยางไว้ วางลงบนเตียงเตาเบาๆ“ท่านแม่ไม่เป็นไร ลิ่มเลือดนั้นไม่สามารถผ่าตัดออกมาได้ ทำได้เพียงกินยาละลายเท่านั้น”ซูจิ่งสิงไม่เข้าใจว่าผ่าตัดมีความหมายเยี่ยงไร แต่เห็นว่ามิใช่เวลาสมควรถาม ดังนั้นจึงเอ่ยปาก“ต้องกินยาอะไร?”พูดถึงเรื่องนี้ กู้หว่านเยว่เผยสีหน้าขมปร่า “ยาชนิดนี้หายากมาก”“เจ้าพูด”ขอเพียงสามารถรักษานางหยางให้หายดีได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดเขาก็ยอม“หญ้าทารกกำสรวล” ยาสมุนไพรชนิดนี้ล้ำค่าราคาแพงมาก ต่อให้เป็นกู้หว่านเยว่ก็ทำได้เพียงอ่านผ่านตำราโบราณเท่านั้นบนแพลตฟอร์มซื้อขายมีแต่สมุนไพรพบเห็นได้ทั่วไปเหล่านั้นหากหาสมุนไพรไม่พบ เช่นนั้นลิ่มเลือดภาย
“ชาวบ้านมิใช่พูดว่าเด็กที่ตายภายในหมู่บ้านล้วนไม่สามารถฝังได้ นี่ถึงใช้หญ้าห่อพวกเขาและโยนทิ้งที่หลังเขา ใช่หรือไม่ว่า...”“เสียงร้องไห้เสียดหูล้วนเป็นเสียงของเด็กที่ตายไปแล้วเหล่านั้น?”“อ๊าอ๊าอ๊า!” สองสามคนเดาไร้สาระมากขึ้นเรื่อยๆ กอดกันร้องตะโกนโวยวายดังลั่นซูจิ่งสิงรังเกียจจนเบือนหน้าหนี ไม่มองอีกดวงตากู้กว่านเยว่กลับทอประกาย ดึงซูจิ่งสิงมาที่ฝั่งหนึ่ง “ท่านพี่ ท่านจำเรื่องที่พวกเราเพิ่งพูดกันได้หรือไม่ เสียงของหญ้าทารกกำสรวลคล้ายเสียงร้องไห้ของเด็กมาก”“เจ้ากำลังจะบอกว่าเสียงร้องไห้ที่พวกเขาได้ยินเป็นเสียงของหญ้าทารกกำสรวลรึ?”“ตอนนี้ข้ายังไม่กล้ายืนยัน คืนนี้พวกเราอย่านอนเลย ลองฟังดูว่ามีเสียงร้องไห้หรือไม่”ฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว เพียงอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าก็มืดสนิท ภายในอากาศยังมีเกล็ดหิมะลอยละล่องเด็กสองสามคนนอนตัวสั่นๆ บนเตียงเตา สายตากวาดมองทุกสารทิศตกดึกเสียงเด็กร้องไห้ก็เริ่มดังออกมาเป็นห้วงๆซูจิ่นเอ๋อร์ตกใจมุดศีรษะเข้าใต้ผ้าห่ม“พี่หญิงจิ่นเอ๋อร์ พวกเราอยากนอนกับท่าน” หลี่เฉินอันและเสี่ยวหรงกอดผ้าห่มย้ายไปอยู่ฝั่งข้างนางหยาง“คนขี้ขลาด” เมี่ยชิงหว่านเติบโตในภูเข
“ไม่รู้”กู้หว่านเยว่กวาดตามองรอบกายแวบหนึ่ง สายตาตกลงบนสมุนไพรสีเขียวมรกตสองต้นที่ใต้หน้าผา“อาจเกี่ยวข้องกับสมุนไพรนี้” กู้หว่านเยว่ดึงสมุนไพรหนึ่งนั้นออกมาผ่านถุงมือรูม่านตาหดลงในทันใด“ท่านพี่ท่านรีบมาดูนี่เร็วเข้า สมุนไพรนี้คล้ายหญ้าทารกกำสรวลมาก”“จริงหรือ?” ซูจิ่งสิงก้าวเท้าฉับไวเข้ามาแล้วกู้หว่านเยว่รีบหยิบตำราเกี่ยวข้องกับหญ้าทารกกำสรวลออกมาจากมิติวิเศษ ทั้งสองเปรียบเทียบภาพวาดในตำราใบสีเขียวมรกต ผลกลมสีแดง รากคล้ายใบหน้าเหี่ยวย่นอัปลักษณ์ของผู้ชรา...“ตรงทั้งหมดเลย!” สายตาซูจิ่งสิงสั่นไหว ยื่นมือออกไปต้องการดึงหญ้าทารกกำสรวลลงมา“ระวัง อย่าแตะโดนหญ้าทารกกำสรวลเป็นอันขาด อาจมีพิษ”กู้หว่านเยว่รีบหยิบกล่องหยกออกจากมิติวิเศษ ใส่หญ้าทารกกำสรวลทั้งสองต้นลงไปอย่างระมัดระวังผ่านถุงมือกู้หว่านเยว่หาหญ้าทารกกำสรวลพบแล้วก็ดีใจมากเป็นพิเศษ ยิ้มจนมองไม่เห็นตา“ช่างได้มาโดยไม่เสียแรงโดยแท้ โรคโง่งมของท่านแม่มีทางรักษาแล้ว”ซูจิ่งสิงเองก็อารมณ์ดีไม่น้อย สายตาตกลงบนผู้เฒ่าทั้งสองไม่มองก็ไม่รู้ เพียงมองเห็นก็ตกตะลึงพรึงเพริด“หว่านเยว่ ผู้เฒ่าผมขาวท่านนี้คล้ายเป็นหมอเทวดา