“ทหาร นำตัวซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ไปขังเดี๋ยวนี้!”มู่หรงอวี้ตะโกนเสียงดังฉีกหน้าโดยไม่สนใจใคร“ช้าก่อน!”โจวเหล่ากลับเร่งฝีเท้าเปิดม่านเดินเข้ามา “แม่นางกู้เป็นผู้มีพระคุณของข้า หวายหนานอ๋องท่านจะทำอะไร?”“ผู้มีพระคุณ?”มู่หรงอวี้ทวีความโกรธ จ้องมองกู้หว่านเยว่อย่างไม่ลดละนางช่วยชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้จริง ๆ หรือ?เดิมทีเรื่องนี้จะต้องเป็นคุณงามความดีของเขา แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปต่อหน้าต่อตา!“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีพระคุณหรือไม่ แต่เมื่อครู่พวกเขาอวดดีกับข้า ทั้งยังตบหน้าข้า ข้าต้องลงโทษพวกเขา!”มู่หรงอวี้กล่าวพลางเผยรอยนิ้วมือที่ประทับอยู่บนแก้มด้านขวาเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว รอยฝ่ามือนั้นไม่เพียงแต่จะไม่จางหาย แต่ดูเหมือนมันกลับตีตราอยู่บนหน้าของเขา และบวมเป่งคล้ายกับหมั่นโถวทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายมู่หรงอวี้ได้รับความอับอายเช่นนี้ก็ย่อมจะไม่สบอารมณ์โจวเหล่านึกถึงตอนที่มู่หรงอวี้พรวดถลันเข้าไปเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าที่กู้หว่านเยว่ลงมือนั้นเบาเกินไป หากการรักษาถูกขัดจังหวะ ฮูหยินไม่ฟื้น ผลลัพธ์ที่ตามมาเขาแทบไม่อยากจะคิดเลย!“หวายหนานอ๋อง
เมื่อคิดได้ มู่หรงอวี้ก็เริ่มนั่งไม่ติด การลอบสังหารล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าสายลับของเขาไร้ความสามารถ“แม่นางน้อยกู้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้ง คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายเพียงเพื่อปกป้องลูกผู่ถี”โจวเหล่ายกมือคารวะกู้หว่านเยว่มีความคิดที่จะดึงซูจิ่งสิงออกมา“เรื่องปกป้องลูกผู่ถีกลับมา ข้าไม่กล้าแย่งความดีความชอบหรอก สายลับเหล่านั้นคือผลงานของสามีข้า”เมื่อครู่กู้หว่านเยว่ดึงดูดความสนใจของโจวเหล่า แต่เวลานี้เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของซูจิ่งสิง เขาถึงกับตกใจกับหน้าตาของอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือน เหมือนกันมาก“เจ้า....”แม้จะคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่โจวเหล่าก็อดนึกถึงเฟยเฟยไม่ได้เวลานี้ซูจิ่งสิงยกมือคารวะพลางกล่าว “โจวเหล่า เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวดีหรือไหม?”รอมาเนิ่นนาน เขาไม่มีวันปล่อยโอกาสที่จะได้ปรับความเข้าใจกับโจวเหล่าไปอย่างแน่นอนแม้ว่าชิวหมิงจื้อจะบอกเรื่องฐานะของเขา แต่คำกล่าวของอีกฝ่ายจะเป็นความจริงหรือไม่นั้นต้องผ่านการยืนยันจากโจวเหล่าก่อน“ได้ ๆ ไปห้องหนังสือของข้าก็แล้วกัน”ระหว่างที่พวกเขาสบตากัน โจวเหล่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างโจวเ
“จัดการเรียบร้อยแล้ว” ซูจิ่งสิงพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็เดินมาข้างกายของกู้หว่านเยว่ คว้ามือของนาง ส่งสัญญาณให้อดทนรอดูสถานการณ์ไปก่อนกู้หว่านเยว่ไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย นางคาดเดาผลลัพธ์ไว้ก่อนแล้วจากคำกล่าวของชิวหมิงจื้อ และปมที่น่าสงสัยในหนังสือ บ่งบอกได้ว่าซูจิ่งสิงจะต้องเป็นเด็กกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อนอย่างแน่นอนแต่บุตรชายคนที่สามของสกุลซูเป็นบิดาบุญธรรมของซูจิ่งสิง ยามนั้นเพื่อปกป้องลูกกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อน เขาประกาศต่อหน้าสาธารณะว่าซูจิ่งสิงเป็นบุตรชายของตน และปล่อยให้เขาได้เติบโตอย่างสงบสุข“จิ่งสิง เจ้ามีแผนอะไรต่อไป?”โจวเหล่าเดินตามออกมา ตั้งแต่ที่รู้ฐานะของซูจิ่งสิง สายตาก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น“ผู้น้อยตั้งใจจะไปพักฟื้นตัวที่เจดีย์หนิงกู่”“ดี หลังจากที่เจ้าถึงเจดีย์หนิงกู่แล้วก็อย่าลืมส่งคนมาบอกข้าก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก แต่ลูกศิษย์จำนวนมากที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าก็ล้วนแต่เป็นขุนนางในราชสำลัก ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย”นี่สินะคือความจงรักภักดีกู้หว่านเยว่กระตุกยิ้มมุมปากอยู่ด้านข้างหากมู่หรงอวี้รู้ว่าโจวเหล่าที่เขาบากบั่นจะชวนมา
“ชิ พูดมาก!” แม้ว่าคำกล่าวของกู้หว่านเยว่จะฟังดูจองหอง แต่ในใจกลับอ่อนหวานมากแต่ซูจิ่งสิงกลับคิดว่าหากเขาและกู้หว่านเยว่มีลูกด้วยกันก็คงจะดี ในวันข้างหน้าหลังจากที่เขายกแผ่นดินของต้าฉีให้ลูกดูแลแล้ว เขาจะพาภรรยาไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไร้ข้อผูกมัดถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ยังไกลตัวมาก ไม่นานก็ถูกเขาสะบัดทิ้งออกจากหัวอย่างรวดเร็วทั้งสองคนปรึกษาหารือกันระหว่างเดินทางกลับ ก่อนอื่นพวกเขาต้องปกปิดภูมิหลังเอาไว้เป็นความลับ ห้ามบอกซูจื่อชิงเด็ดขาด หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็นในขณะที่หลายตระกูลภายในห้องกำลังรออย่างใจจดใจจ่อนั้น“เป็นอย่างไรบ้าง พี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยผู้เฒ่าโจวได้หรือไม่?”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ฟื้น แต่ก็ไม่เป็นไรอะไรแล้ว”หลายคนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกซูจิ่นเอ๋อร์เป็นกังวลอยู่หลายวัน เมื่อเห็นเหตุการณ์ผ่านพ้น นางก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง“เหอะ ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่มีทักษะการแพทย์ที่สูงส่ง ช่วยคนให้รอดพ้นจากความตาย ชุบชีวิตคนใกล้ตายได้ โลกใบนี้ไม่มีใครรักษาเก่งเท่านางอีกแล้ว!”กู้หว่านเยว่กลอกตามองนาง “หยุดพล่ามไปเลย ไม่รู้ว่าใครกันที่แค้นเคืองเพราะเข
หลังสิ้นสุดเสียงร้องด้วยความตกใจของนางหลิว ทุกคนก็ทยอยกันหันกลับไปมองเวลานี้ทุกคนเห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ก็พากันตื่นตระหนกไม่ได้ หรือว่านางจะสิ้นใจแล้ว?“นี่ ตายแล้วจริง ๆ หรือ?”นักการเดินเข้าไป จากนั้นก็ใช้แส้สะกิดสองครั้งโชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูยังไม่ตาย เมื่อได้ยินนางส่งเสียงร้อง “ไอหยา” ออกมา ซูหัวหยางก็รีบเดินรุดหน้าเข้าไปทันที“ท่านแม่ ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“เจ้าหวังให้ข้าตายหรือไร? ข้าหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว....” ฮูหยินผู้เฒ่าซูยกแขนที่สั่นระริกขึ้นมา จึงได้เห็นว่าแขนทั้งสองข้างของนางถูกแช่แข็งจนมีลักษณ์คล้ายกับเปลือกไม้ไปแล้ว“ท่านแม่ ทุกคนก็หนาวกันทั้งนั้น ไม่มีเสื้อผ้ามากพอ ท่านอดทนหน่อยนะ....”ทันใดนั้นซูหัวหยางก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปกล่าวกับนางจินและซูหรานหร่าน“พวกเจ้าสองคนรีบถอดเสื้อผ้าออก เอามาให้ท่านแม่ของข้าใส่คลายความหนาว”“ว่าอย่างไรนะ?” ซูหรานหร่านเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พวกเขาทุกคนสวมเสื้อผ้าทั้งหมดสามชั้น “ยกเสื้อตัวนอกให้ท่านย่า แล้วข้ากับท่านแม่จะทำอย่างไร?”“เจ้ามันคนอกตัญญู ท่านย่าของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่มาอย่
“ระวัง!”นักโทษคนอื่นพากันหลบหลีกด้วยความตกใจ ในช่วงเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานนั้น กู้หว่านเยว่ได้ทำการหักเลี้ยวเพื่อหลบเลี่ยงรถม้าคันนั้นซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังไม่ได้โชคดีนัก ถูกกระแทกจนล้มหน้าคว่ำไปกับพื้น“ไอหยา!”รถม้าได้พลิกคว่ำไปบนพื้น ก่อนจะมีชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวคนนั้นกลิ้งตกลงมาจากรถม้าหลังจากกลิ้งตกลงมากระแทกพื้นเขาก็เริ่มกอดแขนด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ชี้หน้าด่าทอซูจิ่นเอ๋อร์“ไม่มีตาหรือไร ถึงได้กล้าชนรถม้าของข้า เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าเป็นคนพุ่งเข้ามา เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า ข้ายังไม่โทษเรื่องที่เข้าทำมือข้าบาดเจ็บเลยนะ”“นังคนชั้นต่ำ บาดเจ็บแล้วอย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”ชายหนุ่มชุดคลุมหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ท่าทางของเขาหยิ่งยโสมาก“เขาคือคุณชายเล็กหมู่บ้านโซว่หวาง มีชื่อว่า กงซุนจ่างเย่” ซูจิ่งสิงกระซิบอยู่ข้างหูของกู้หว่านเยว่เบา ๆ หมู่บ้านโซว่หวาง เป็นหมู่บ้านที่มีความหมายคล้องจองตามชื่อ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนเชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนสัตว์ร้าย ม้าหลวงและม้าศึกในราชสำนักต่างถูกจัดหาโดยฝีมือของคนในหม
แต่กว่าเขาจะได้สติกลับมาก็สายเกินไปเสียแล้ว ผิวน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าของกงซุนจ่างเย่เกิดเสียง ‘แกรก’ ดังขึ้น ตามมาด้วยรอยแตกร้าวที่ทอดเป็นทางยาว“เกิดอะไรขึ้น?”เขาที่เมื่อครู่ทำตัวหยิ่งยโสมาก จู่ ๆ ก็ตัวแข็งทื่อคล้ายกับก้อนหินไปโดยปริยาย ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเขากลัวว่าผิวน้ำแข็งจะแยกจากกันโดยสมบูรณ์ ทำให้เขาร่วงตกลงไป“แกรก แกรก....”เขายังคงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ผิวน้ำแข็งเริ่มแตกร้าวอีกครั้ง กงซุนจ่างเย่ตกใจจนเกือบจะร้องไห้ ในเสี้ยววินาทีที่แผ่นน้ำแข็งกำลังจะแยกออกจากกันนั้น กู้หว่านเยว่ก็ได้ตะโกนด้วยเจตนามุ่งร้าย“หากข้าเป็นท่าน ข้าจะยืนนิ่ง ๆ ไม่ขยับ!”“ยืนนิ่งไม่ขยับอย่างนั้นหรือ?”กงซุนจ่างเย่หยุดวิ่งด้วยความตื่นตระหนก ผลปรากฏว่าผิวน้ำแข็งผืนนี้หยุดแตกร้าวในทันที แต่เขาไม่สามารถขยับตัวได้“แล้วตอนนี้ต้องทำอย่างไร?”เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทรมานเช่นนี้มาก่อน“ไม่รู้สิ”กู้หว่านเยว่ยกมือแสดงท่าทีอย่างจนปัญญา พลางกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “ใครใช้ให้ท่านกระโดดโลดเต้นจนทำให้ผิวน้ำแตกเล่า ไม่เช่นนั้นท่านก็ต้องยืนอยู่ที่นี่ตลอด รอจนกว่าน้ำจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง”แบบ
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกว่าความโหดร้ายของอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เหมือนกับที่มู่หรงอวี้ว่าไว้?อย่างมากก็แค่ชอบยั่วโมโหจนน่าหงุดหงิดไปหน่อย?“คุณชาย เมื่อครู่เจ้าขอร้องกู้หว่านเยว่แล้ว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ท่านจะต้องถูกพี่สาวทั้งห้าหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน”“.....หุบปากไปเลย เจ้าจะไปรู้อะไร เขาเรียกว่าผู้รู้สถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด ข้าจะรีบตามไปแก้แค้นอย่างแน่นอน!”ทางฝั่งของกู้หว่านเยว่ หลังจากข้ามแม่น้ำมาได้แล้วก็ไม่หยุดพักแต่อย่างใด เพื่อป้องกันไม่ให้กงซุนจ่างเย่กลับมาอีก นางจึงให้ซุนอู่เร่งเดินทางจนกระทั่งหันกลับไปไม่เห็นทิศทางของแม่น้ำมู่ตันแล้ว ทุกคนถึงได้โล่งใจ และแวะพักกลางทาง“ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว รีบกางกระโจมและพักผ่อนกันเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบเสื่อน้ำมันออกมาสร้างกระโจม ซูจิ่นเอ๋อร์และคนอื่นพากันก่อกองไฟอย่างรู้งานทุกคนต่างสัมผัสได้ว่าเวลากลางคืนในป่าลึกเช่นนี้จะหนาวเหน็บถึงระดับไหน ความหนาวนั้นอาจจะถึงระดับที่ทำให้คนตัวแข็งตายได้ ทุกคนจึงทยอยล้อมกันเข้ามาผิงไฟให้ร่างกายอบอุ่นกู้หว่านเยว่แอบหยิบขิงสดออกมาจากในห้วงมิติ จากนั้นก็ต้มเป็นน้ำขิงหม้อใหญ่อากาศแบบนี้ไม่
“ดูเจ้าสิ พูดเรื่องนี้กับหว่านเยว่เพื่ออะไร?”หลินรู่ไห่ดึงนางเก๋อไว้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขารู้ว่าการบอกเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่นั้นไม่มีประโยชน์เมืองเหยาอยู่ไกลจากที่นี่ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับฮ่องเต้ จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาคนที่เมืองเหยา?พวกเขาไม่อยากให้กู้หว่านเยว่ต้องลำบากใจ“ท่านน้า ต้องขอบคุณน้าสะใภ้ที่บอกข้า เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่พูดทันทีที่เข้ามา?”กู้หว่านเยว่ยังจำหลินเพียวเพียวได้ สาวน้อยที่สงบเสงี่ยมมาก เวลาพูดขึ้นมาก็ดูคงแก่เรียนเมื่อคนสกุลหลินไปที่โรงเตี๊ยมเตียงนอนรวมเพื่อส่งเงินให้นาง หลินเพียวเพียวก็มาด้วย แล้วยังปลอบประโลมนางอย่างนุ่มนวล“หว่านเยว่ พวกเราไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้หว่านเยว่จะสามารถช่วยหลินเพียวเพียวกลับมาได้และพวกเขาก็เป็นห่วงว่าซูจิ่งสิงจะรู้สึกว่าสกุลหลินของพวกเขาเป็นปัญหา ถึงตอนนั้นจะทำให้กู้หว่านเยว่เดือดร้อนไปด้วยกู้หว่านเยว่จำพวกเขาได้ จึงขอให้ซูจิ่งสิงส่งคนไปรับพวกเขาที่ฉูโจว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว จะเสนอเงื่อนไขอะไรได้อย่างไร?“พวกท่าน”กู้หว
“ท่านยาย พวกท่านปลอดภัยดีตลอดเส้นทางไหม?”กู้หว่านเยว่สอบถามพวกเขา แม้ว่าซูจิ่งสิงจะส่งคนไปรับพวกเขาเองก็ตามแต่เวลานี้ทั่วแคว้น ความอดอยากแห้งแล้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โจรร่อนเร่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกแห่งการเดินทางมาของสกุลหลินครั้งนี้ ก็คงไม่สงบสุขนัก“ระหว่างทาง ได้พบกับโจรสลัด”เมื่อนายท่านผู้เฒ่าหลินพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ“โจรสลัดเหล่านั้นฆ่าทุกคนที่พบเจอ ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก น่ากลัวจริง ๆ”สกุลหลินเป็นพลเมืองดีที่ทำการค้า การเข่นฆ่าใด ๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตกใจกลัวจนเหลือทน ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่“ท่านยาย พวกท่านลำบากแย่เลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าโจรเร่ร่อนข้างนอกนั้นเหิมเกริมเช่นนี้“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”นายท่านผู้เฒ่าหลินลูบเครา พลางโบกมือ“โชคดีที่แม่ทัพหนุ่มที่ท่านอ๋องส่งไปฉลาดเฉลียว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พาพวกเราหนีไปทางเรือเล็กแต่น่าเสียดายนายท่านผู้เฒ่าหลินเผยแววตาทนไม่ได้ บนเรือใหญ่ยังมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก“พวกเราหนีออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเรือทั้งลำ
“ข้าไม่เป็นอะไร”ลั่วยางชักมือออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติคนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?เหล่าทหารทุกคนกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ทั้งกองทัพรู้แล้วว่าเขาชอบนางนางไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจ มองไปทางซูจิ่งสิง ขณะที่กำลังจะโต้แย้งก็เห็นคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ คว้ามือของกู้หว่านเยว่ไว้โดยไม่ละอาย น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบจะคั้นเป็นน้ำออกมาได้“น้องหญิงเหนื่อยหรือยัง หิวหรือเปล่า ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”เกาเจี้ยนเบิกตากว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”คนผู้นี้มีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก!“ท่านมาที่นี่ทำไม?”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ซูจิ่งสิงแม้ว่าวันนี้จะไม่ร้อนมาก แต่ซูจิ่งสิงก็สวมชุดกราะตลอดเมื่ออยู่ในกองทัพ ถูกแดดตอนเที่ยงวันสาดส่อง จนเหงื่อแตกพลั่ก“เห็นเจ้าไม่กลับมาเสียที ก็เลยเป็นห่วงเจ้า”ซูจิ่งสิงมองเข้าไปในกระโจม กู้หว่านเยว่ก็อธิบายสถานการณ์ของกงซุนฉิงอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะพาคนกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสกุลกงซุน สั่งให้คนแพร่ข่าวออกไปหลี่กวงถิงถูกจับแล้ว กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ก็ไล่ล่าโจมต
ลั่วยางก็ไม่ได้โกรธเช่นกันทักษะทางการแพทย์ของกู้หว่านเยว่นั้นเหนือกว่านางอยู่แล้ว ลู่จิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย ไปเชิญกู้หว่านเยว่มาอีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ“พี่หว่านเยว่”ลั่วยางมีอายุมากกว่ากู้หว่านเยว่ แต่ในด้านทักษะทางการแพทย์ ถือได้ว่ากู้หว่านเยว่อาวุโสกว่านางประโยค “พี่หว่านเยว่” ของลั่วยาง ก็ไม่ได้เรียกผิด“คุณหนูกงซุนไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยจนล้มไปเท่านั้น”ร่างกายของนางเคยถูกทรมานมาก่อน แม้ว่าจะได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บโชคดีที่กงซุนฉิงมีทักษะการต่อสู้ จึงปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทนต่อความยุ่งวุ่นวายในระดับสูงได้“ข้าฝังเข็มให้นางหนึ่งเล่ม แล้วนางก็ตื่นขึ้นมา”ลั่วยางอธิบาย“แต่ว่า นางนอนหลับ กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเสียด้วยซ้ำไป”“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหลับต่ออีกนิดเถอะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน พลางจับชีพจรของกงซุนฉิงครู่หนึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ลั่วยางพูด“ส่วนทางทหารกล้าตายแนวหน้า”กู้หว่านเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ที่กงซุนฉิงเหนื่อยจนล้มไป ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานักรบหมาป่าได้ให้ก
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา