ถึงแม้ซูจิ่งสิงจะไม่เข้าใจวิชาแพทย์ แต่เขาก็พยักหน้าอย่างจริงจัง“เช่นนั้นเริ่มกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ฆ่าเชื้อโรคที่มือทั้งสองข้าง จากนั้นตัดเสื้อคลุมของฮูหยินผู้เฒ่าโจวออก เหลือไว้เพียงเสื้อชั้นในบาง ๆ จากนั้นป้อนยาถอนพิษให้กับฮูหยินผู้เฒ่าโจว แล้วหยิบเข็มเงินออกมาช่วยนำทางพิษเมื่อนางเข้าสู่โหมดทำงาน ทั้งคนก็จะดูจริงจังและเคร่งขรึมมาก น้ำเสียงก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและเย็นชาซูจิ่งสิงมองดูอยู่ข้าง ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจถ้าไม่ได้เห็นกับตา เขาคงไม่กล้าเชื่อว่ามือของกู้หว่านเยว่ที่กำลังฝังเข็มนั้นจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ความประหลาดใจ ความชื่นชม อารมณ์ต่าง ๆ ผุดขึ้นในดวงตาของซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กู้หว่านเยว่ปักเข็มเงินลงบนจุดต่าง ๆ บนร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวทีละเล่ม แล้วก็ดึงออกทีละเล่ม จนในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการนำพิษที่หลงเหลืออยู่ออกจากหัวใจ พร้อมกับใช้เมล็ดโพธิ์เพื่อปกป้องหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าโจวเหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของกู้หว่านเยว่แต่แล้ว ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่ด้านนอกป
“ทหาร นำตัวซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ไปขังเดี๋ยวนี้!”มู่หรงอวี้ตะโกนเสียงดังฉีกหน้าโดยไม่สนใจใคร“ช้าก่อน!”โจวเหล่ากลับเร่งฝีเท้าเปิดม่านเดินเข้ามา “แม่นางกู้เป็นผู้มีพระคุณของข้า หวายหนานอ๋องท่านจะทำอะไร?”“ผู้มีพระคุณ?”มู่หรงอวี้ทวีความโกรธ จ้องมองกู้หว่านเยว่อย่างไม่ลดละนางช่วยชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้จริง ๆ หรือ?เดิมทีเรื่องนี้จะต้องเป็นคุณงามความดีของเขา แต่กลับถูกกู้หว่านเยว่แย่งไปต่อหน้าต่อตา!“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีพระคุณหรือไม่ แต่เมื่อครู่พวกเขาอวดดีกับข้า ทั้งยังตบหน้าข้า ข้าต้องลงโทษพวกเขา!”มู่หรงอวี้กล่าวพลางเผยรอยนิ้วมือที่ประทับอยู่บนแก้มด้านขวาเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว รอยฝ่ามือนั้นไม่เพียงแต่จะไม่จางหาย แต่ดูเหมือนมันกลับตีตราอยู่บนหน้าของเขา และบวมเป่งคล้ายกับหมั่นโถวทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายมู่หรงอวี้ได้รับความอับอายเช่นนี้ก็ย่อมจะไม่สบอารมณ์โจวเหล่านึกถึงตอนที่มู่หรงอวี้พรวดถลันเข้าไปเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าที่กู้หว่านเยว่ลงมือนั้นเบาเกินไป หากการรักษาถูกขัดจังหวะ ฮูหยินไม่ฟื้น ผลลัพธ์ที่ตามมาเขาแทบไม่อยากจะคิดเลย!“หวายหนานอ๋อง
เมื่อคิดได้ มู่หรงอวี้ก็เริ่มนั่งไม่ติด การลอบสังหารล้มเหลวอยู่บ่อยครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าสายลับของเขาไร้ความสามารถ“แม่นางน้อยกู้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้ง คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายเพียงเพื่อปกป้องลูกผู่ถี”โจวเหล่ายกมือคารวะกู้หว่านเยว่มีความคิดที่จะดึงซูจิ่งสิงออกมา“เรื่องปกป้องลูกผู่ถีกลับมา ข้าไม่กล้าแย่งความดีความชอบหรอก สายลับเหล่านั้นคือผลงานของสามีข้า”เมื่อครู่กู้หว่านเยว่ดึงดูดความสนใจของโจวเหล่า แต่เวลานี้เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของซูจิ่งสิง เขาถึงกับตกใจกับหน้าตาของอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือน เหมือนกันมาก“เจ้า....”แม้จะคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่โจวเหล่าก็อดนึกถึงเฟยเฟยไม่ได้เวลานี้ซูจิ่งสิงยกมือคารวะพลางกล่าว “โจวเหล่า เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวดีหรือไหม?”รอมาเนิ่นนาน เขาไม่มีวันปล่อยโอกาสที่จะได้ปรับความเข้าใจกับโจวเหล่าไปอย่างแน่นอนแม้ว่าชิวหมิงจื้อจะบอกเรื่องฐานะของเขา แต่คำกล่าวของอีกฝ่ายจะเป็นความจริงหรือไม่นั้นต้องผ่านการยืนยันจากโจวเหล่าก่อน“ได้ ๆ ไปห้องหนังสือของข้าก็แล้วกัน”ระหว่างที่พวกเขาสบตากัน โจวเหล่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างโจวเ
“จัดการเรียบร้อยแล้ว” ซูจิ่งสิงพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็เดินมาข้างกายของกู้หว่านเยว่ คว้ามือของนาง ส่งสัญญาณให้อดทนรอดูสถานการณ์ไปก่อนกู้หว่านเยว่ไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย นางคาดเดาผลลัพธ์ไว้ก่อนแล้วจากคำกล่าวของชิวหมิงจื้อ และปมที่น่าสงสัยในหนังสือ บ่งบอกได้ว่าซูจิ่งสิงจะต้องเป็นเด็กกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อนอย่างแน่นอนแต่บุตรชายคนที่สามของสกุลซูเป็นบิดาบุญธรรมของซูจิ่งสิง ยามนั้นเพื่อปกป้องลูกกำพร้าขององค์รัชทายาทองค์ก่อน เขาประกาศต่อหน้าสาธารณะว่าซูจิ่งสิงเป็นบุตรชายของตน และปล่อยให้เขาได้เติบโตอย่างสงบสุข“จิ่งสิง เจ้ามีแผนอะไรต่อไป?”โจวเหล่าเดินตามออกมา ตั้งแต่ที่รู้ฐานะของซูจิ่งสิง สายตาก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น“ผู้น้อยตั้งใจจะไปพักฟื้นตัวที่เจดีย์หนิงกู่”“ดี หลังจากที่เจ้าถึงเจดีย์หนิงกู่แล้วก็อย่าลืมส่งคนมาบอกข้าก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก แต่ลูกศิษย์จำนวนมากที่อยู่ภายใต้การปกครองของข้าก็ล้วนแต่เป็นขุนนางในราชสำลัก ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย”นี่สินะคือความจงรักภักดีกู้หว่านเยว่กระตุกยิ้มมุมปากอยู่ด้านข้างหากมู่หรงอวี้รู้ว่าโจวเหล่าที่เขาบากบั่นจะชวนมา
“ชิ พูดมาก!” แม้ว่าคำกล่าวของกู้หว่านเยว่จะฟังดูจองหอง แต่ในใจกลับอ่อนหวานมากแต่ซูจิ่งสิงกลับคิดว่าหากเขาและกู้หว่านเยว่มีลูกด้วยกันก็คงจะดี ในวันข้างหน้าหลังจากที่เขายกแผ่นดินของต้าฉีให้ลูกดูแลแล้ว เขาจะพาภรรยาไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไร้ข้อผูกมัดถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ยังไกลตัวมาก ไม่นานก็ถูกเขาสะบัดทิ้งออกจากหัวอย่างรวดเร็วทั้งสองคนปรึกษาหารือกันระหว่างเดินทางกลับ ก่อนอื่นพวกเขาต้องปกปิดภูมิหลังเอาไว้เป็นความลับ ห้ามบอกซูจื่อชิงเด็ดขาด หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็นในขณะที่หลายตระกูลภายในห้องกำลังรออย่างใจจดใจจ่อนั้น“เป็นอย่างไรบ้าง พี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยผู้เฒ่าโจวได้หรือไม่?”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ฟื้น แต่ก็ไม่เป็นไรอะไรแล้ว”หลายคนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกซูจิ่นเอ๋อร์เป็นกังวลอยู่หลายวัน เมื่อเห็นเหตุการณ์ผ่านพ้น นางก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง“เหอะ ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่มีทักษะการแพทย์ที่สูงส่ง ช่วยคนให้รอดพ้นจากความตาย ชุบชีวิตคนใกล้ตายได้ โลกใบนี้ไม่มีใครรักษาเก่งเท่านางอีกแล้ว!”กู้หว่านเยว่กลอกตามองนาง “หยุดพล่ามไปเลย ไม่รู้ว่าใครกันที่แค้นเคืองเพราะเข
หลังสิ้นสุดเสียงร้องด้วยความตกใจของนางหลิว ทุกคนก็ทยอยกันหันกลับไปมองเวลานี้ทุกคนเห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ก็พากันตื่นตระหนกไม่ได้ หรือว่านางจะสิ้นใจแล้ว?“นี่ ตายแล้วจริง ๆ หรือ?”นักการเดินเข้าไป จากนั้นก็ใช้แส้สะกิดสองครั้งโชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าซูยังไม่ตาย เมื่อได้ยินนางส่งเสียงร้อง “ไอหยา” ออกมา ซูหัวหยางก็รีบเดินรุดหน้าเข้าไปทันที“ท่านแม่ ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”“เจ้าหวังให้ข้าตายหรือไร? ข้าหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว....” ฮูหยินผู้เฒ่าซูยกแขนที่สั่นระริกขึ้นมา จึงได้เห็นว่าแขนทั้งสองข้างของนางถูกแช่แข็งจนมีลักษณ์คล้ายกับเปลือกไม้ไปแล้ว“ท่านแม่ ทุกคนก็หนาวกันทั้งนั้น ไม่มีเสื้อผ้ามากพอ ท่านอดทนหน่อยนะ....”ทันใดนั้นซูหัวหยางก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปกล่าวกับนางจินและซูหรานหร่าน“พวกเจ้าสองคนรีบถอดเสื้อผ้าออก เอามาให้ท่านแม่ของข้าใส่คลายความหนาว”“ว่าอย่างไรนะ?” ซูหรานหร่านเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พวกเขาทุกคนสวมเสื้อผ้าทั้งหมดสามชั้น “ยกเสื้อตัวนอกให้ท่านย่า แล้วข้ากับท่านแม่จะทำอย่างไร?”“เจ้ามันคนอกตัญญู ท่านย่าของเจ้าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่มาอย่
“ระวัง!”นักโทษคนอื่นพากันหลบหลีกด้วยความตกใจ ในช่วงเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานนั้น กู้หว่านเยว่ได้ทำการหักเลี้ยวเพื่อหลบเลี่ยงรถม้าคันนั้นซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังไม่ได้โชคดีนัก ถูกกระแทกจนล้มหน้าคว่ำไปกับพื้น“ไอหยา!”รถม้าได้พลิกคว่ำไปบนพื้น ก่อนจะมีชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวคนนั้นกลิ้งตกลงมาจากรถม้าหลังจากกลิ้งตกลงมากระแทกพื้นเขาก็เริ่มกอดแขนด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ชี้หน้าด่าทอซูจิ่นเอ๋อร์“ไม่มีตาหรือไร ถึงได้กล้าชนรถม้าของข้า เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าเป็นคนพุ่งเข้ามา เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า ข้ายังไม่โทษเรื่องที่เข้าทำมือข้าบาดเจ็บเลยนะ”“นังคนชั้นต่ำ บาดเจ็บแล้วอย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”ชายหนุ่มชุดคลุมหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ท่าทางของเขาหยิ่งยโสมาก“เขาคือคุณชายเล็กหมู่บ้านโซว่หวาง มีชื่อว่า กงซุนจ่างเย่” ซูจิ่งสิงกระซิบอยู่ข้างหูของกู้หว่านเยว่เบา ๆ หมู่บ้านโซว่หวาง เป็นหมู่บ้านที่มีความหมายคล้องจองตามชื่อ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนเชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนสัตว์ร้าย ม้าหลวงและม้าศึกในราชสำนักต่างถูกจัดหาโดยฝีมือของคนในหม
แต่กว่าเขาจะได้สติกลับมาก็สายเกินไปเสียแล้ว ผิวน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าของกงซุนจ่างเย่เกิดเสียง ‘แกรก’ ดังขึ้น ตามมาด้วยรอยแตกร้าวที่ทอดเป็นทางยาว“เกิดอะไรขึ้น?”เขาที่เมื่อครู่ทำตัวหยิ่งยโสมาก จู่ ๆ ก็ตัวแข็งทื่อคล้ายกับก้อนหินไปโดยปริยาย ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเขากลัวว่าผิวน้ำแข็งจะแยกจากกันโดยสมบูรณ์ ทำให้เขาร่วงตกลงไป“แกรก แกรก....”เขายังคงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ผิวน้ำแข็งเริ่มแตกร้าวอีกครั้ง กงซุนจ่างเย่ตกใจจนเกือบจะร้องไห้ ในเสี้ยววินาทีที่แผ่นน้ำแข็งกำลังจะแยกออกจากกันนั้น กู้หว่านเยว่ก็ได้ตะโกนด้วยเจตนามุ่งร้าย“หากข้าเป็นท่าน ข้าจะยืนนิ่ง ๆ ไม่ขยับ!”“ยืนนิ่งไม่ขยับอย่างนั้นหรือ?”กงซุนจ่างเย่หยุดวิ่งด้วยความตื่นตระหนก ผลปรากฏว่าผิวน้ำแข็งผืนนี้หยุดแตกร้าวในทันที แต่เขาไม่สามารถขยับตัวได้“แล้วตอนนี้ต้องทำอย่างไร?”เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทรมานเช่นนี้มาก่อน“ไม่รู้สิ”กู้หว่านเยว่ยกมือแสดงท่าทีอย่างจนปัญญา พลางกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “ใครใช้ให้ท่านกระโดดโลดเต้นจนทำให้ผิวน้ำแตกเล่า ไม่เช่นนั้นท่านก็ต้องยืนอยู่ที่นี่ตลอด รอจนกว่าน้ำจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง”แบบ
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช