เช่นนี้นางก็สามารถสอดแนมการวางกำลังของศัตรูและความอันตรายล่วงหน้าได้แล้ว นี่คือข้อได้เปรียบยิ่งใหญ่มากทีเดียวกู้หว่านเยว่พึงพอใจพลังวิเศษนี้มากอาจเพราะเพิ่งได้รับพลังวิเศษ นางยังมิได้คิดวิธีใช้ประโยชน์ให้ดี สายตาตกลงบนตัวซูจิ่งสิง ก็ได้เห็นเรือนร่างไร้สิ่งใดปกปิดของอีกฝ่าย“ของใหญ่” บางแห่ง นางมองแล้วก็หน้าแดงไปถึงหู รีบเลื่อนสายตาหนี“ข้าไปตรวจนับสมบัติก่อน”กู้หว่านเยว่กระแอมแล้วเดินจากไปเสียงพูดของระบบอยู่ภายในสมองของกู้หว่านเยว่ ดังนั้นซูจิ่งสิงจึงไม่พบความผิดปกติ“เก็บสิ่งเหล่านี้เข้าคลังเก็บของตรวจนับให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ เก็บสมบัติที่ได้มาครั้งนี้เข้าคลังเก็บของแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในมิติ จากนั้นบนหน้าต่างขนาดใหญ่ของนาง ก็ปรากฏสิ่งของที่ปล้นมาได้ในครั้งนี้จำแนกและปรากฏบนหน้าจอแล้ว“ของไม่น้อยเลยจริงๆ”กู้หว่านเยว่ถอนใจ ทันใดนั้นนางนึกถึงบันทึกที่เก็บมาได้ภายในถ้ำขึ้นได้นางรีบหยิบบันทึกออกมาเปิดอ่านปรากฏว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งตกตะลึง“ดีนักนะ ถ้ำนั้นคล้ายเป็นของเถาเอ๋อร์จริงเสียด้วย”บันทึกนี้ยุ่งเหยิงเป็นพิเศษ กู้หว่านเยว่พบเบาะแสแล้วนางคลี่ยิ้ม
“จิ่งสิง!” คนผู้นั้นควบม้าเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เมื่อเข้ามาใกล้ ซูจิ่งสิงจึงพบว่าเป็นเกาเจี้ยน “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?” เขาคิดเพียงครู่เดียวก็เดาถึงวัตถุประสงค์ของเกาเจี้ยนได้ “เจ้าคงไม่ได้คิดจะกลับเจดีย์หนิงกู่กับพวกเราหรอกนะ?” “ไม่เสียทีที่เป็นเพื่อนรักของข้า ฉลาดจริงๆ” เกาเจี้ยนหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน เสียงหัวเราะได้ยินไปถึงกู้หว่านเยว่และลั่วยางที่อยู่ในรถม้า คนทั้งสองยังคิดว่าหูฝาดไป รีบเลิกม่านรถขึ้น กระทั่งเห็นเงาร่างที่ทั้งดำทั้งใหญ่โตของเกาเจี้ยน คนทั้งสองจึงได้กล้าเชื่อ “แม่ทัพเกา ท่านมาได้อย่างไร?” กู้หว่านเยว่เหลือบมองลั่วยางทีหนึ่ง คิดไปในทางเดียวกับซูจิ่งสิงแล้ว คนผู้นี้คงไม่ได้วางแผนจะกลับเจดีย์หนิงกู่กับพวกนางเพื่อลั่วยางกระมัง “ข้าวางแผนจะกลับไปที่เจดีย์หนิงกู่กับพวกเจ้าด้วย” เกาเจี้ยนหัวเราะร่า หางตาของเขาเหลือบมองลั่วยางอย่างเขินอาย “ยังไงข้าอยู่ที่ด่านซานไห่ก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก” “ทูเจวี๋ยก็ถูกพวกเจ้าสยบไปแล้ว ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ด่านซานไห่ย่อมไม่มีสงครามอะไร ข้าไม่สู้ตามไปช่วยพวกเจ้าที่เจดีย์หนิงกู่ดีกว่า” เขาพูดอย่างจริงจ
เมื่อยืนยันว่าเมืองจี้หนิงปลอดภัย ทุกคนก็ไม่ลังเลอีก รีบเข้าเมืองและหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนทันที “พี่สะใภ้ ท่านพี่เขาเมารถอยู่บ้าง” เพิ่งขึ้นมาชั้นบน ซูจิ่นเอ๋อร์ก็มาหากู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ กู้หว่านเยว่นึกถึงร่างกายที่อ่อนแอของฟู่หลานเหิง เพื่อไม่ให้ทุกสิ่งต้องเสียเปล่า จึงไปดูด้วยตัวเองรอบหนึ่ง “ยังดี แค่เพราะตรากตรำจากการเดินทางจนเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น” กู้หว่านเยว่หยิบขวดยาออกมาขวดหนึ่ง มอบให้ฟู่หลานเหิง “นี่เป็นยาแก้เมารถ เจ้ากินมันลงไปก่อน หลับพักให้ดีสักคืน พรุ่งนี้เมื่อตื่นขึ้นมาก็น่าจะหายดีแล้ว” คนผู้นี้สุขภาพอ่อนแอถึงขนาดแค่นั่งรถม้าก็เวียนหัว กู้หว่านเยว่ส่ายหัว ดูท่าเมื่อกลับถึงเจดีย์หนิงกู่ ควรให้ฟู่หลานเหิงพักสักหนึ่งปีครึ่งปีก่อนให้เขาไปดูแลเมืองตะวันไม่ตกดินต่อแล้ว นางใคร่ครวญ เมื่อถึงเวลานั้นก็มองเมืองตะวันไม่ตกดินให้เกาเจี้ยนก่อนแล้วกัน “ขอบคุณมากขอรับ” ฟู่หลานเหิงพยักหน้า กินยาลงไปแต่โดยดี ผ่านไปครู่เดียวก็หลับไปด้วยลมหายใจสม่ำเสมอแล้ว “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าอยู่ดูแลเขาที่นี่ ข้าไปก่อนแล้ว” กู้หว่านเยว่เห็นฟู่หลานเหิงไม่เป็นไรแล้ว จึงสาวเท้าจากไป “ขอบคุณ
เจ้าของแผงแนะนำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ด้วยกริ่งเกรงว่าจะชักนำความสนใจของคนพวกนั้นมา เมื่อกู้หว่านเยว่ได้ยินว่าคุณชายหวังผู้นี้ถึงกับเป็นลูกชายของนายอำเภอ ก็ยิ่งทนไม่ไหว “เป็นถึงขุนนางผู้ปกครองท้องที่ ที่ควรดูแลราษฎรประดุจบุตรของตน กลับไม่รู้จักควบคุมบุตรชายของตนให้ดี ปล่อยให้เขาฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน กระทำเรื่องชั่วช้านอกบ้าน ยังมีกฎหมายอยู่อีกหรือไม่” กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง ในดวงตาปรากฏจิตสังหารออกมา “เรื่องนี้ พวกเราที่เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ก็ยุ่งไม่ไหวขอรับ” เจ้าของแผงถอนหายใจ ใช้กระดาษห่อขนมที่พวกเขาต้องการด้วยมือเท้าที่คล่องแคล่วว่องไว “ท่านลูกค้า ขนมของพวกท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ” “ขอบคุณมาก” กู้หว่านเยว่ส่งสัญญาณให้ซูจิ่งสิงรับขนมมา หลังคนทั้งสองออกจากแผงของเจ้าของแผง ก็เดินตรงไปที่เหล่าคุณชายพวกนั้น ในเวลานี้ หญิงสาวชุดเหลืองนางนั้นถูกบรรดาคุณชายพวกนั้นรังควานจนไม่อาจสะกดความโมโหได้อีก กำลังจะลงมือกับพวกเขาพอดี จนใจที่นางรู้จักหมัดมวยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พละกำลังก็ไม่มากเท่าบุรุษพวกนั้น ในไม่ช้าก็ถูกพวกเขากดลงกับพื้น “เอ๋ สาวน้อย นิสัยเจ้าอารมณ์ทีเด
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ก็คือมู่หรงฉางเล่อที่พวกเขาเจอที่เขาอินซานก่อนหน้านี้ คนทั้งสองไม่นึกฝันเลยว่า จะมาพบกับนางที่เมืองจี้หนิง “เจ้า เจ้าคือ” มู่หรงฉางเล่อตะลึงไป ทอดสายตาลงบนใบหน้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาร่างของกู้หว่านเยว่อย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้! เป็นท่าน ที่แท้ก็เป็นท่าน โชคดีที่ได้ท่านช่วยข้าไว้” กู้หว่านเยว่ไม่ทันตอบสนองต่อการพุ่งเข้าหาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวของนาง รอจนได้สติกลับมา มู่หรงฉางเล่อก็กอดเอวของนางไว้อย่างแนบแน่นแล้ว ถูไถหัวเข้ามาในอ้อมกอดของนาง ราวกับสุนัขสีเหลืองตัวน้อยที่ได้รับความไม่เป็นธรรม “เจ้าออกมาจากอ้อมแขนของข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน” กู้หว่านเยว่จนใจ คนผู้นี้จะกอดก็ช่างเถิด เหตุใดจึงยังถูไถเข้าหาหน้าอกนางอีกเล่า? “ดีเหลือเกิน พี่สะใภ้ ลูกผู้พี่ ในที่สุดข้าก็ได้พบกับพวกท่านแล้ว” ใบหน้าของมู่หรงฉางเล่อเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หลังร้องไห้ไปสักพักจึงได้ปล่อยกู้หว่านเยว่ แล้วมองคนทั้งสองอย่างน่าสงสาร กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงเห็นนางทุลักทุเลไปทั้งตัว สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ที่จะพูดคุย จึงตัดสินใจพามู่หรงฉางเล่อจากไป ในเวลานั
กู้หว่านเยว่มองมู่หรงฉางเล่อ นางจึงพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ “พวกท่านไม่ได้มอบจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่งหรือ? ข้ามอบให้ท่านแม่แล้ว” “ท่านแม่อ่านจบ ก็พูดอย่างตื่นเต้นว่าพวกท่านคือญาติผู้พี่กับพี่สะใภ้ของข้า” มู่หรงฉางเล่อมองซูจิ่งสิงครั้งหนึ่ง สาวน้อยผู้นี้นับว่าฉลาดไม่เบา ลูกตาดวงน้อยกลอกครั้งหนึ่ง “แต่พวกท่านวางใจ เมื่ออยู่ข้างนอกข้าจะยังคงเรียกพวกท่านว่า ท่านอ๋องกับพระชายา” “เสด็จแม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูจิ่งสิงถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มู่หรงฉางเล่อตอบกลับอย่างว่าง่าย “เสด็จแม่สบายดีมาก หลังกินยาฟื้นคืนจิตวิญญาณลงไปนางก็ฟื้นแล้ว หมอหลวงบอกให้บำรุงร่างกายให้ดี ขอเพียงผ่านฤดูหนาวไปได้ ก็ไม่เป็นไรแล้ว” ยาฟื้นคืนจิตวิญญาณสามารถรักษาผู้ป่วยในภาวะวิกฤติได้ ยากจะหาได้ในโลกหล้า ที่กู้หว่านเยว่มอบยาฟื้นคืนจิตวิญญาณเม็ดนั้นให้นาง มู่หรงฉางเล่อซาบซึ้งอย่างที่สุด เมื่อกล่าวจบจึงหมอบต่ำคารวะกู้หว่านเยว่คราหนึ่ง “ขอบคุณพี่สะใภ้ ในอนาคตฉางเล่อจะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน” สาวน้อยผู้นี้น่ารักไร้เดียงสา กู้หว่านเยว่อดบีบแก้มยุ้ยๆ ของนางไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าหนีออกมาจากจวนองค์หญิง เสด็จแม่ของ
อย่าพูดถึงว่าตีเขาสักหน แม้แต่ตีเขาครั้งเดียว หวงฮูหยินก็ทำใจไม่ลง บัดนี้เห็นบุตรชายถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ หวงฮูหยินจึงร้องไห้จนแทบขาดใจ “ยังเหม่ออะไรอยู่อีก? รีบให้คนไปเชิญท่านหมอ แล้วไปตามนายท่านกลับมา” หวงฮูหยินด้านหนึ่งกอดบุตรชายร้องไห้อย่างเจ็บปวด อีกด้านก็สั่งการด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เด็กรับใช้ชายรีบวิ่งออกไปทันที “รีบพูดมา ลูกชายของข้าออกไปเล่นสนุกกับพวกเจ้าดีๆ ตอนกลับมาเหตุใดจึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้?” หวงฮูหยินมองคุณชายพวกนั้นอย่างแค้นใจยิ่ง เหล่าคุณชายต่างก็ตกใจแทบตาย แม้ครอบครัวของพวกเขาจะมีชื่อเสียงในเมืองจี้หนิง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับสกุลหวงเลย “ท่านน้าหวงโปรดระงับโทสะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลยขอรับ” “มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทำร้ายคุณชายหวง พวกเราแต่ละคนก็ล้วนถูกทุบตีเช่นกันขอรับ” หนึ่งในคุณชายพวกนั้นก้าวออกมา นับได้ว่าครอบครัวเขายังสนิทสนมกับสกุลหวงอยู่บ้าง “สามีภรรยาคู่หนึ่ง?” หวงฮูหยินโกรธอย่างยิ่ง “ช่างกล้านัก ถึงกับกล้าทำร้ายจื่อหานของพวกเราในเมืองจี้หนิง” นางก็ไม่รอให้ใต้เท้าหวงกลับมา รีบสั่งให้คนไปสืบหาเบาะแสของกู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงในเม
กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด มู่หรงฉางเล่อก็รีบอธิบายว่า “ไม่โทษท่านอ๋องกับพระชายา พวกเขาสองคนทำเพื่อช่วยข้า วันนี้ข้าเจอพวกอันธพาลคนหนึ่งบนถนนเข้า เจ้าอันธพาลคนนั้นเป็นคุณชายของสกุลหลิว” มู่หรงฉางเล่อรีบอธิบายเรื่องราวออกมารอบหนึ่ง เกาเจี้ยนจึงได้เข้าใจ “ไอ้พวกชั่วช้าแบบนั้นสมควรโดนสั่งสอนแล้วจริงๆ ยังดีที่ข้าไม่อยู่ หากข้าอยู่ต้องทุบมันจนฟันร่วงเต็มพื้นแน่” “แล้วค่อยหิ้วมันไปหาพ่อแม่ของมันที่จวนสกุลหวง ถกกันดีๆ สักรอบ” เมื่อเทียบกับซูจิ่งสิงแล้ว นิสัยของเกาเจี้ยนยังแย่กว่าอีก ทนเห็นพวกขยะสังคมแบบนี้ไม่ได้ที่สุด “พวกมันยังกล้าตามมาหาเรื่องอีก ช่างไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว” “เรื่องนี้ไม่รีบ รอดูก่อนว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด” ซูจิ่งสิงกับกู้หว่านเยว่ทั้งสองกลับสงบนัก เวลานี้ หวงฮูหยินได้นำบ่าวรับใช้ของสกุลหวงมากปิดกั้นประตูโรงเตี๊ยมไว้แล้ว หลังไต่ถามจนได้ความเรื่องห้องพักของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจากปากผู้ดูแล ก็วางแผนจะนำคนบุกขึ้นมาโดยตรง “ฮูหยิน มีเรื่องอะไรได้โปรดพูดคุยกันดีๆ เถิดขอรับ ร้านเล็กๆ ของเราทำกิจการได้ไม่ง่ายเลย” เมื่อผู้ดูแลร้า
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก