“ใครเข้ามา จับพวกมันมัดไว้” หวงฮูหยินโบกมือ วางจะแผนนำตัวพวกเขากลับจวนไปก่อน แล้วค่อยๆ ลงมือสั่งสอน “ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้า” ผลคือบ่าวรับใช้สองคนเพิ่งก้าวเข้าไป ก็ถูกเกาเจี้ยนถีบลอยออกไปในเท้าเดียว เกาเจี้ยนเรี่ยวแรงมหาศาล ลูกถีบนี้ ถึงกับถีบกระเด็นออกไปนอกโรงเตี๊ยม เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างน่าอนาถดังมาจากหน้าประตูโรงเตี๊ยม เปลือกตาของหวงฮูหยินก็กระตุกขึ้นมา “ช่างบังอาจนัก พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด? ถึงกลับกล้าสามหาวต่อหน้าข้า ฮูหยินผู้นี้” เกาเจี้ยนดูแคลนพวกอาศัยอำนาจรังแกคนเป็นที่สุด หันหัวไปพูดกับซูจิ่งสิงคำหนึ่งว่า “จิ่งสิง เจ้าอย่าขยับ ข้าไม่ได้ขยับเขยื้อนกระดูกเส้นเอ็นมานานแล้ว วันนี้ ก็ให้ข้ามาสั่งสอนคนพวกนี้เถอะ” “ได้” ซูจิ่งสิงยิ้มพลางพยักหน้า จูงมือภรรยาของตนไปยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างไม่รีบเร่ง “คิดจะจับพวกเราไปสั่งสอนใช่ไหม? เข้ามาได้เต็มที่เลย” เกาเจี้ยนกำหมัดทั้งสองข้างจนเสียงดังกรอบแกรบ เมื่อเห็นบรรดาบ่าวรับใช้บุกเข้ามา ก็ก้าวเข้าไปใช้หมัดสอยล้มลงหนึ่งคนในเสี้ยววินาที พลังการต่อสู้ของเขา ทำให้หวงฮูหยินและหวงจื่อหานตกใจไม่น้อย “ท่านแม่ พวกมัน ท
“ท่านแม่!” หวงจื่อหานกรีดร้องเสียงหลง เขาถูกตบจนเลือดกบปาก มุดเข้าไปในอ้อมกอดของหวงฮูหยินด้วยความหวาดหวั่นจนฉี่ราด หวงฮูหยินก็ตกใจจนกอดบุตรชายไว้แน่น เมื่อเห็นเขามีเลือดเต็มปาก ก็สงสารจนใจสลาย “จื่อหาน? ลูกชายของแม่!” “ท่านแม่ พวกมันตีข้า ข้าเจ็บเหลือเกิน ฮือ ๆ ๆ” “พวกเจ้ากล้าตีจื่อหานของข้า?” หวงฮูหยินโมโหจนหน้าอกกระเพื่อม อันธพาลชั่วช้าพวกนี้ช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าทำร้ายลูกชายของนางต่อหน้านาง น่าเสียดายที่ บ่าวรับใช้ที่นางนำมาล้วนถูกเกาเจี้ยนจัดการไปหมดแล้ว แม้หวงฮูหยินจะโมโห แต่ยามนี้ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี ในตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา “พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน?" “ท่านพี่?” เมื่อหวงฮูหยินหันไปเห็นใต้เท้าหวง ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายขึ้นมา พุ่งเข้าไปทันที “ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเรานะ คนพวกนี้ คนพวกนี้ทำร้ายจื่อหานจนเลือดออกแล้ว” นางดึงหวงจื่อหานเข้าไป หวงจื่อหานถูกตีจนร้องไห้สะอึกสะอื้น ดูไปแล้วยังตลกอยู่บ้าง เมื่อเห็นใต้เท้าหวงก็กอดต้นขาเขาเริ่มร้องไห้ยกใหญ่ทันที “เจ็บเหลือเกิน ท่านพ่อต้องให้ความเป็นธรรมกับข้านะขอรั
ซูจิ่งสิงเดินไปถึงเบื้องหน้าของใต้เท้าหวง “ข้าเดินทางผ่านเมืองจี้หนิง เดิมต้องการเข้ามาดูความเป็นอยู่ของราษฎรในเมืองจี้หนิง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าใต้เท้าหวงจะปกครองเมืองจี้หนิงเช่นนี้” แววตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย แต่ทำให้ใต้เท้าหวงตกใจจนคุกเข่าลงดังตึงทันที “ท่านอ๋อง โปรดระงับโทสะ ข้าน้อยไม่ทราบเรื่องนี้เลยจริงๆ ขอรับ” “เจ้าไม่รู้?” เกาเจี้ยนอดไม่อยู่ ส่งเสียงถามออกมาอย่างไม่พอใจ “เรื่องที่ลูกชายเจ้าลวนลามหญิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องวันสองวันแล้วกระมัง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ ใครมันจะไปเชื่อ!” เขาด่าทอต่อไปว่า “เจ้ามีฐานะเป็นนายอำเภอเมืองจี้หนิง แต่กลับให้ท้ายลูกชายของเจ้าไปฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน เจ้ายังมีหน้ามาเป็นขุนนางท้องที่ที่ควรดูแลราษฎรดุจบุตรในอุทรได้อย่างไร?” ใต้เท้าหวงหลั่งเหงื่อเต็มศีรษะ “ข้าน้อย ข้าน้อย…” เขาย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่เป็นเพราะฮูหยินลำเอียงเข้าข้างจื่อหานมากเกินไป ส่วนเขาก็คิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องราวถึงชีวิต จึงปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ “พูดมาสิ…” เกาเจี้ยนโมโหจนถีบเขาพลิกคว่ำในเท้าเดียว “ท่านพ่อ!” หวงจื่อหานหลบอยู่ด้านหลังหวงฮูห
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านจะทิ้งข้าแล้วใช่หรือไม่? ท่านจะทิ้งข้าไม่ได้นะ!” หวงจื่อหานกอดขาของนายท่านหวงไว้แน่นนายท่านหวงฝืนความเจ็บปวดแกะมือของเขา “ทหาร พาคุณชายไปขัง”หวงฮูหยินร้องไห้สะอื้น ครั้นเห็นสามีของตัวเองตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง“จิ่งสิง เจ้าจะปล่อยสกุลหวงไปเช่นนี้หรือ?”เกาเจี้ยนไม่ยอม สำหรับเขาแล้ว การกระทำของหวงจื่อหานร้ายแรงพอที่ส่งสกุลหวงเข้าคุกได้ทั้งตระกูล“เมืองจี้หนิงไม่ได้อยู่ในการปกครองของข้า ผู้ว่าการอำเภอปฏิบัติหน้าที่ได้เพียงเท่านี้”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเรียบนายท่านหวงจำได้ขึ้นใจ จะช้าหรือจะเร็วก็ต้องจัดการเขาพวกเขากลับมากินข้าวในหอต่อ เวลานี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงแล้วมู่หรงถิงเพิ่งจะได้รับรายงาน “มู่หรงฉางเล่อหนีไปแล้ว?”สีหน้าของเขาฉุนโกรธ แทบจะฉีกจดหมายลับตรงหน้าให้กลายเป็นเศษกระดาษเสีย“หนีไปไหน?”เขาตอบตกลงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับซินเจียงแล้ว หากมู่หรงฉางเล่อหนี แล้วเขาจะแต่งงานกับใครเล่า?“ข้าได้ซักถามผู้ใต้บัญชาของจวนองค์หญิงมาแล้ว ว่ากันว่าหนีออกไปทางเจดีย์หนิงกู่ขอรับ”องครักษ์มีเหงื่อเย็นผุดพราย “ยังมีอีกเรื่อง ข้าน้อยมิ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง หมอหญิงลั่วช่างแสนดียิ่งนัก” นางหยางยิ้มอย่างรู้ทัน จากนั้นก็เรียกทุกคนเข้ามาภายในจวนมีอาหารวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ก่อนที่ทั้งสองคนจะกลับมา นางหยางได้สั่งให้สาวใช้ของนางทำความสะอาดห้องที่เป็นที่พักอาศัยของพวกเขาไว้เรียบร้อยแล้ว“กลับบ้านแล้วรูสึกดียิ่งนัก”กู้หว่านเยว่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงอย่างสบายตัวนางยกให้จวนกู้เป็นบ้านของนางไปปริยาย“น้องหญิง ข้าจะไปที่ว่าการอำเภอสักเดี๋ยว เจ้าพักผ่อนอยู่ในจวนไปก่อนนะ”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่บอกกล่าวกัน หลังจากที่กู้หว่านเยว่กลับมาก็มีเรื่องมากมายที่นางต้องจัดการ“ไปเถอะ”นางให้หงเจานำบัญชีล่าสุดของร้านขายชาดเข้ามาให้ หลังจากเปิดดูหนึ่งรอบก็ไม่ได้ถามสิ่งใดกระทั่งจะสั่งให้คนไปสำนักศึกษาถงซัน เรียกเฉินจื่อวั่งกลับมาหงเจากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เวลานี้ฮูหยินอย่าเพิ่งเรียกเขากลับมาเลยเจ้าค่ะ ผู้อำนวยการเฉินกำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวอยู่”“เขาจะแต่งงานหรือ?”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเฉินจื่อวั่งพาเจียงอวิ๋นจิ่นมาหานาง บอกว่าหลังจากที่เจียงฮูหยินมาถึง เขาจะแต่งง
“ฮูหยิน ฮ่องเต้ได้ส่งกองทัพไปโจมตีเจดีย์หนิงกู่แล้ว”นัยน์ตาของซูจิ่งสิงเคร่งขรึมลง ข่าวนี้สร้างความประหลาดใจให้กู้หว่านเยว่อย่างมาก“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ?”แม้ว่าพวกเขาจะวางแผนก่อการกบฏหลังจากที่กลับมาจากทูเจวี๋ยแล้วแต่ก็คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ชั่วจะนั่งไม่ติด ชิงนำหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว“เขาทำสิ่งใด?”“ลักพาตัวองค์หญิงมู่หรง ทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างต้าฉีและหนานเจียง”นัยน์ตาของซูจิ่งสิงเคร่งขรึมลง “ดูท่าทางจวนองค์หญิงจะมีอันตราย”นางมั่นใจว่าข่าวนี้แพร่สะพัดออกมาจากจวนองค์หญิง กู้หว่านเยว่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่งดูท่าทางฮ่องเต้ชั่วคงจะรู้แล้วว่าซูจิ่งสิงรู้ที่มาของเขา จึงได้ร้อนใจเช่นนี้ทันทีที่ออกพระราชโองการ ทหารม้าก็เคลื่อนทัพไปยังเจดีย์หนิงกู่สงครามได้ปะทุขึ้นแล้วกู้หว่านเยว่มีแผนการในใจแล้ว จึงพึมพำออกมาว่า “พรุ่งนี้จะต้องเรียกตัวเกิ่งกวง หลี่เฉินอัน ฟู่หลานเหิง หนานหยางอ๋องและคนอื่น ๆ กลับจวนเพื่อหารือเรื่องสำคัญเสียแล้ว”ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ทันที จึงพยักหน้าคืนนั้น จดหมายจากนกพิราบหลายฉบับได้ถูกส่งออกจากจวนกู้ ไปยัง
คนในห้องต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองคนอยากเห็นภาพนี้มานานแล้ว“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องวางแผนการเดินทางครั้งต่อไปให้รัดกุมกว่านี้”ซูจิ่งสิงพยักหน้า .......วันต่อมา กู้หว่านเยว่ไปหาอวิ๋นมู่อีกครั้ง ให้เขาเตรียมน้ำมันก๊าดให้พร้อม“เกรงว่าเจดีย์หนิงกู่คงจะเกิดสงคราม อวิ๋นมู่ หากเจ้าไม่อยากเกี่ยวข้อง เจ้าพานายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นไปจากที่นี่ก่อนได้นะ”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น กล่าวเตือนด้วยความหวังดีถึงอย่างไรสกุลอวิ๋นก็เป็นกลุ่มพ่อค้ารายย่อยอวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม “ในตอนที่ข้ายกอำนาจเจ้าบ้านให้เจ้า สกุลอวิ๋นของข้าและเจ้าได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าไม่มีทางไปไหน จะอยู่ปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิต”นัยน์ตาของเขาฉายแววลึกล้ำยากคาดเดา ความเร่าร้อนภายในดวงตาคู่นั้นทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกร้อนวูบวาบ “ขอบคุณมาก”ที่นางมาหาอวิ๋นมู่ครั้งนี้ หลัก ๆ คืออยากถามเรื่องดินปืนและน้ำมันก๊าดให้อวิ๋นมู่รีบขนดินปืนทั้งหมดไปยังเมืองตู้เปียนหลังจากหารือกันแล้ว ก็หมุนตัวกลับออกไป ทันทีที่ขึ้นรถม้า ชิงเหลียนก็โผล่หน้ามาด้วยสีหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่าง“ฮูหยิน กู้หว
กู้หว่านหรูกัดริมฝีปากล่างด้วยสีหน้าแค้นเคือง “เขาไม่ยอมสู่ขอข้า ข้ารู้ว่าเป็นเพราะสกุลกู้ของข้ามีความแค้นกับเจ้า บัดนี้ที่เขายังอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ เพราะเขากลัวเจ้า ตราบใดที่เจ้าไปบอกเขา ว่าเจ้าจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ พี่ใหญ่มู่หรงจะต้องมาสู่ขอข้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่ “.......”นางเริ่มสงสัยในสติปัญญาของกู้หว่านหรูเสียแล้ว ทำไมถึงได้กล้าวิ่งมาขอร้องหน้าถึงหน้ารถม้าของนางอย่างไร้ความละอายใจเช่นนี้ หรือลืมว่าก่อนหน้านั้นจวนกู้โหวเคยปฏิบัติกับนางอย่างไร?กู้หว่านหรูยกมือเท้าเอว“ตราบใดที่เจ้าไม่เข้ามาวุ่นวายงานแต่งของข้ากับพี่ใหญ่มู่หรง ยอมไปบอกเขา ข้าสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่ต่อกรกับเจ้าอีก ข้าจะรับเจ้าเป็นพี่สาวของข้าอย่างเต็มใจ ข้า....ข้าจะบอกให้ท่านพ่อยอมรับเจ้าด้วย กู้หว่านเยว่ คนเราอยู่ไม่ได้หากปราศจากครอบครัว ถึงอย่างไรจวนกู้โหวของเราก็เป็นตระกูลฝ่ายแม่ของเจ้า”กู้หว่านเยว่ ‘ขอโทษนะ ข้ามีตระกูลอื่นไปแล้ว’“ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้”“เรื่องของจวนกู้โหว ข้าไม่อยากเกี่ยวข้อง”“เจ้า!”“อย่าให้ทหารของข้าต้องสร้างความลำบากใจให้เจ้าเลย ที่ข้ายังให้เจ้าอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ได้อย่
“ดูเจ้าสิ พูดเรื่องนี้กับหว่านเยว่เพื่ออะไร?”หลินรู่ไห่ดึงนางเก๋อไว้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขารู้ว่าการบอกเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่นั้นไม่มีประโยชน์เมืองเหยาอยู่ไกลจากที่นี่ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับฮ่องเต้ จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาคนที่เมืองเหยา?พวกเขาไม่อยากให้กู้หว่านเยว่ต้องลำบากใจ“ท่านน้า ต้องขอบคุณน้าสะใภ้ที่บอกข้า เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่พูดทันทีที่เข้ามา?”กู้หว่านเยว่ยังจำหลินเพียวเพียวได้ สาวน้อยที่สงบเสงี่ยมมาก เวลาพูดขึ้นมาก็ดูคงแก่เรียนเมื่อคนสกุลหลินไปที่โรงเตี๊ยมเตียงนอนรวมเพื่อส่งเงินให้นาง หลินเพียวเพียวก็มาด้วย แล้วยังปลอบประโลมนางอย่างนุ่มนวล“หว่านเยว่ พวกเราไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้หว่านเยว่จะสามารถช่วยหลินเพียวเพียวกลับมาได้และพวกเขาก็เป็นห่วงว่าซูจิ่งสิงจะรู้สึกว่าสกุลหลินของพวกเขาเป็นปัญหา ถึงตอนนั้นจะทำให้กู้หว่านเยว่เดือดร้อนไปด้วยกู้หว่านเยว่จำพวกเขาได้ จึงขอให้ซูจิ่งสิงส่งคนไปรับพวกเขาที่ฉูโจว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว จะเสนอเงื่อนไขอะไรได้อย่างไร?“พวกท่าน”กู้หว
“ท่านยาย พวกท่านปลอดภัยดีตลอดเส้นทางไหม?”กู้หว่านเยว่สอบถามพวกเขา แม้ว่าซูจิ่งสิงจะส่งคนไปรับพวกเขาเองก็ตามแต่เวลานี้ทั่วแคว้น ความอดอยากแห้งแล้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โจรร่อนเร่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกแห่งการเดินทางมาของสกุลหลินครั้งนี้ ก็คงไม่สงบสุขนัก“ระหว่างทาง ได้พบกับโจรสลัด”เมื่อนายท่านผู้เฒ่าหลินพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ“โจรสลัดเหล่านั้นฆ่าทุกคนที่พบเจอ ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก น่ากลัวจริง ๆ”สกุลหลินเป็นพลเมืองดีที่ทำการค้า การเข่นฆ่าใด ๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตกใจกลัวจนเหลือทน ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่“ท่านยาย พวกท่านลำบากแย่เลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าโจรเร่ร่อนข้างนอกนั้นเหิมเกริมเช่นนี้“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”นายท่านผู้เฒ่าหลินลูบเครา พลางโบกมือ“โชคดีที่แม่ทัพหนุ่มที่ท่านอ๋องส่งไปฉลาดเฉลียว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พาพวกเราหนีไปทางเรือเล็กแต่น่าเสียดายนายท่านผู้เฒ่าหลินเผยแววตาทนไม่ได้ บนเรือใหญ่ยังมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก“พวกเราหนีออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเรือทั้งลำ
“ข้าไม่เป็นอะไร”ลั่วยางชักมือออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติคนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?เหล่าทหารทุกคนกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ทั้งกองทัพรู้แล้วว่าเขาชอบนางนางไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจ มองไปทางซูจิ่งสิง ขณะที่กำลังจะโต้แย้งก็เห็นคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ คว้ามือของกู้หว่านเยว่ไว้โดยไม่ละอาย น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบจะคั้นเป็นน้ำออกมาได้“น้องหญิงเหนื่อยหรือยัง หิวหรือเปล่า ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”เกาเจี้ยนเบิกตากว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”คนผู้นี้มีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก!“ท่านมาที่นี่ทำไม?”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ซูจิ่งสิงแม้ว่าวันนี้จะไม่ร้อนมาก แต่ซูจิ่งสิงก็สวมชุดกราะตลอดเมื่ออยู่ในกองทัพ ถูกแดดตอนเที่ยงวันสาดส่อง จนเหงื่อแตกพลั่ก“เห็นเจ้าไม่กลับมาเสียที ก็เลยเป็นห่วงเจ้า”ซูจิ่งสิงมองเข้าไปในกระโจม กู้หว่านเยว่ก็อธิบายสถานการณ์ของกงซุนฉิงอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะพาคนกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสกุลกงซุน สั่งให้คนแพร่ข่าวออกไปหลี่กวงถิงถูกจับแล้ว กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ก็ไล่ล่าโจมต
ลั่วยางก็ไม่ได้โกรธเช่นกันทักษะทางการแพทย์ของกู้หว่านเยว่นั้นเหนือกว่านางอยู่แล้ว ลู่จิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย ไปเชิญกู้หว่านเยว่มาอีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ“พี่หว่านเยว่”ลั่วยางมีอายุมากกว่ากู้หว่านเยว่ แต่ในด้านทักษะทางการแพทย์ ถือได้ว่ากู้หว่านเยว่อาวุโสกว่านางประโยค “พี่หว่านเยว่” ของลั่วยาง ก็ไม่ได้เรียกผิด“คุณหนูกงซุนไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยจนล้มไปเท่านั้น”ร่างกายของนางเคยถูกทรมานมาก่อน แม้ว่าจะได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บโชคดีที่กงซุนฉิงมีทักษะการต่อสู้ จึงปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทนต่อความยุ่งวุ่นวายในระดับสูงได้“ข้าฝังเข็มให้นางหนึ่งเล่ม แล้วนางก็ตื่นขึ้นมา”ลั่วยางอธิบาย“แต่ว่า นางนอนหลับ กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเสียด้วยซ้ำไป”“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหลับต่ออีกนิดเถอะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน พลางจับชีพจรของกงซุนฉิงครู่หนึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ลั่วยางพูด“ส่วนทางทหารกล้าตายแนวหน้า”กู้หว่านเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ที่กงซุนฉิงเหนื่อยจนล้มไป ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานักรบหมาป่าได้ให้ก
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา