"ใช่อี้เฉินเฟยจริงๆ ข้าเคยเห็นภาพวาดของเขามาก่อน ข้ามั่นใจว่าคือเขา""เซียนกวีคือเทพบุตรของข้า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอตัวจริงของเขาในที่แห่งนี้""หญิงสาวข้างกายเขาคือผู้ใด ดูเหมือนชาติตระกูลจะไม่ธรรมดา""พวกเจ้าว่า ถ้าหากคุณหนูสามประชันกับเซียนกวี ใครจะชนะ ผลงานกลอนของคุณหนูสามกู้ในการประลองศิลปะ ยามนี้เป็นที่เลื่องลื่อไปทั่วทั้งใต้หล้า กลายเป็นผลงานอมตะไปแล้ว""เรื่องนี้ก็พูดยาก กลอนของเซียนกวีดี กลอนของคุณหนูสามก็ดีเช่นกัน"มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนของกู้ชูหน่วนเคาะลงไปที่โต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า พลางเอียงคอพูดด้วยรอยยิ้ม "มีคนจำได้แล้ว ท่านจะยังดีดอยู่ไหม""นานๆ ทีคุณหนูสามจะมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ ข้าจะขัดอารมณ์ท่านได้เช่นไร"พูดจบ อี้เฉินเฟยก็ลุกขึ้น ยืมฉินจากนักบรรเลงฉินผู้หนึ่ง แล้วอุ้มฉินดำขึ้นไปนั่งบนแท่นบรรเลงสิบนิ้วขาวเนียนวางลงบนฉิน อี้เฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มเอาใจ ภายในดวงตาที่ใสสะอาดคู่นั้นสะท้อนภาพยิ้มอ้อยอิ่งและเจ้าเล่ห์ของกู้ชูหน่วนคนทั้งหออู๋โยวล้วนแต่ให้ความสนใจ พากันมองไปยังอี้เฉินเฟยที่นั่งอยู่บนแท่นบรรเลงกลับเห็นเพียงแค่อี้เฉินเฟยยกมือที่ขาวเนียนขึ้นมา แ
"คุณชายเยี่ย ถือว่าทำทาน ช่วยเหลือกันเถอะ แค่ดื่มไม่กี่แก้ว ไม่มีทางให้ท่านทำเรื่องเกินงามเป็นแน่ ท่านดูสิ ข้าเองก็ลำบาก ในหอมีค่าใช้จ่ายมากมาย ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องใช้เงิน ทั้งยังมีสาวน้อยหนุ่มน้อยล้มป่วยจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่ไม่สามารถรับแขกได้ นานๆ ทีข้าจะได้เจอลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้""ขอโทษด้วย ก่อนหน้าข้าเคยบอกไปแล้ว ว่าไม่รับเป็นเพื่อนดื่ม ไม่รับแขก วันนี้ถึงเวลาแล้ว ข้าต้องกลับก่อน""คุณชายเยี่ย หากท่านไป แล้วข้าจะอธิบายกับแขกเช่นไร ถือว่าข้าขอร้องท่านเถอะ ท่านคิดดูสิ ตอนนั้นที่ยายท่านป่วยหนัก ท่านอับจนหนทางไร้ที่พึ่ง ก็เป็นข้าที่ใจดีเชิญหมอมารักษาอาการป่วยให้ยายของท่านไม่ใช่หรือ เห็นแก่ที่ข้าเคยช่วยท่านเอาไว้ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่"กู้ชูหน่วนหันไปถามเด็กของร้านที่อยู่ข้างๆ"พวกเจ้าสนิทกับเยี่ยเฟิงไหม""เรียนแม่หญิง เยี่ยเฟิงเป็นคนเงียบๆ ยามปกติทั่วไปเขาไม่ค่อยพูด และไม่สุงสิงกับผู้ใด พี่น้องในหอล้วนแต่ไม่สนิทกับเขาทั้งสิ้น รู้เพียงแค่บ้านเขายากจนข้นแค้น อาศัยอยู่กับยายตาบอดผู้หนึ่ง""ตอนนั้น ยายของเขาป่วยหนักอาการร่อแร่ ก็เป็นแม่เล้าที่เมตตาช่วยเชิญท่านหมอมา
"ข้ากลั้นแกล้งเจ้าที่ไหน แค่วันนี้ข้าอารมณ์ดี เลยอยากหาคนดื่มด้วยสักสองสามจอก แต่เสี่ยวเชียนเชียนของข้ากลับไม่ยอมให้ข้าดื่มกับชายงามคนอื่นๆ ข้าจึงทำได้แค่เรียกตัวเจ้ามานี่แหละ""กี่จอก" เยี่ยเฟิงพูดจากระชับรวบรัด ไม่ยอมให้กู้ชูหน่วนรั้งไว้ได้นาน"สามจอกก่อนแล้วกัน"กู้ชูหน่วนนั่งอยู่ในท่วงท่าเกรียจคร้าน มือข้างหนึ่งท้าวคางอยู่เงียบๆ มองดูเยี่ยเฟิงมือหนึ่งถือไหเหล้า มือหนึ่งถือจอกเหล้า ก่อนจะดื่มเข้าไปสามจอกด้วยท่าทางสบายๆ"เสี่ยวเฟิงเฟิง เจ้าไม่เพียงแต่หน้าตาดี ท่าทางในการดื่มเหล้าก็ชวนให้คนหลงใหลยิ่ง"เซียวอวี่เชียนต่อว่านาง "หญิงลามก"อี้เฉินเฟยบรรเลงฉินพลางยิ้มฝืดเฝื่อนนางผู้นี้ให้เขามาดีดฉิน แต่ยังบรรเลงไม่จบเพลง นางก็ไปเกี้ยวชายงามคนอื่นแล้ว"ข้าไปได้หรือยัง""แน่นอนว่ายัง เจ้าเป็นนักบรรเลงฉินไม่ใช่หรือ ไม่เช่นนั้นเจ้าบรรเลงให้ข้าฟังสักเพลง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเล่นดีหรือพี่ใหญ่อี้เฉินเฟยเล่นดีกว่า"กู้ชูหน่วนพูดพลางดึงเขามาข้างกายเยี่ยเฟิงผงะถอยหลังไปหลายก้าว ดูเหมือนจะไม่ชอบให้ผู้อื่นถูกตัวเท่าไรนัก"เหตุใดเจ้าต้องตื่นตระหนกขนาดนี้ด้วย ข้าไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย"ระห
"ข้ามีนิสัยอย่างหนึ่ง คือชอบบังคืบขืนใจผู้อื่น""……"กู้ชูหน่วนรู้สึกว่า เย่จิ่งหานความคิดบิดเบี้ยวไปแล้วเขาไม่กลัวตัวเองโดนสวมเขา แล้วนางจะกลัวไปใยเย่จิ่งหานกวาดสายตาไปมองทุกคนในหออู๋โยวปราดหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่บนตัวอี้เฉินเฟย เยี่ยเฟิงและเซียวอวี่เชียนเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากเรียวบางถึงจะเปิดเบาๆ "พาตัวไป""ท่าน...ท่านเผด็จการถึงเพียงนี้เลยหรือ ยัยขี้เหร่ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของท่านเสียหน่อย"เซียวอวี่เชียนฟันสั่นกระทบกันหงึกหงัก ทว่ากลับยืนขวางตรงหน้ากู้ชูหน่วนไม่ยอมหลีกไปไหนอี้เฉินเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม "เทพสงคราม ในเมื่อข้าน้อยอี้รับปากแล้วว่าจะอยู่กับคุณหนูสามเป็นเวลาเจ็ดวัน เช่นนั้นระหว่างเจ็ดวันนี้ย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของนาง""ทำไม...สำนักขงจื่อจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าหรือ" เย่จิ่งหานมองข้ามเซียวอวี่เชียนไปเสียดื้อๆ ดวงตาเรียวบางดุจหงส์กวาดไปทางอี้เฉินเฟย"หากท่านกล้าแตะนางแม้เพียงปลายเส้นผม ไม่เพียงแค่สำนักขงจื่อ ทั้งแคว้นจ้าวก็ไม่มีทางรับปาก" อี้เฉินเฟยยิ้มอย่างใจเย็น ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยการตักเตือนบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาถนัดตา ราวกับเขม่าดินปืนกำ
"ก็จริง ยัยขี้เหร่ฉลาดผิดมนุษย์ ไม่มีทางถูกรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรอก" เพียงแต่คนผู้นั้นกลับเป็นเทพสงคราม เขาถึงได้ไม่วางใจเท่าไหร่อยู่ดีเยี่ยเฟิงทอดมองดูแผ่นหลังของพวกเขาด้วยท่าทางใช้ความคิด ดวงตาเย็นชาคู่นั้นฉายแววความสับสน ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาถึงจะออกไปจากหออู๋โยวด้วยเช่นกันหลังจากเทพสงครามกลับไป ผู้คนทั้งหออู๋โยวถึงจะรู้สึกตัวว่าทั้งร่างของตนอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเมื่อครู่นี้ พวกเขาคิดว่าตัวเองคงต้องตายแล้วจริงๆ"คนผู้นั้นใช่เทพสงครามหานอ๋องที่โหดเหี้ยมเลือดเย็น ฆ่าคนเป็นว่าเล่นจริงหรือ ไม่ใช่ว่ากันว่าเขาป่วยอาการสาหัสหรอกหรือ เหตุใดถึงได้ดูแข็งแรงดีถึงเพียงนั้น""บนโลกใบนี้จะมีผู้ใดกล้าสวมรอยเป็นเทพสงครามหานอ๋องอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายอี้เซียนกวีและคุณชายเซียวก็เรียกเขาว่าเทพสงครามทั้งคู่ พวกเขาสองคนฐานะไม่ธรรมดา จะจำคนผิดได้หรือ""เช่นนั้นหญิงสาวข้างกายเขาผู้นั้น หรือจะเป็นคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดี ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองศิลปะ แล้วยังเป็นคู่หมั้นของเทพสงครามผู้นั้นหรือ""คู่หมั้นของเทพสงครามถึงกลับกล้ามาเที่ยวหอเริงรมย์ สวมเขาอันโตให้กับเทพสงคราม ข้าไม่ไ
"คุณหนูกู้ จวนอ๋องถูกผิดมีกฎแยกแยะชัดเจน ท่าน..."กู้ชูหน่วนขัดจังหวะด้วยความเยือกเย็น "เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูกู้ หมายความว่าข้ายังไม่ใช่คนของจวนอ๋อง ในเมื่อข้าไม่ใช่คนจวนอ๋อง ก็เลิกเอากฎนั่นมาขู่ข้าเสียที""ฟึบฟึบฟึบ..."ร่างแปดร่างโผล่พรวดออกมาจับกู้ชูหน่วนและชิวเอ๋อร์แยกจากกัน คล่องแคล่วว่องไวประดุจเสือชีตาร์เพียงแค่แวบเดียว กู้ชูหน่วนก็รู้เลยว่าวิทยายุทธ์ของแปดคนนั้นไม่ธรรมดา กลัวก็แต่ว่าตัวนางเองจะรับมือไม่ไหวเสียด้วยซ้ำชิวเอ๋อร์ลนลาน ลำตัวสั่นไหวไม่หยุดกู้ชูหน่วนหันไปมองเย่จิ่งหาน หรี่ตาลงพลางเอ่ย "ท่านอ๋อง นี่ท่านหมายความเช่นไร""เจ้าชอบเกี้ยวชายงามนักไม่ใช่หรือ ข้าจะให้สาวใช้ของเจ้าได้สัมผัสดูว่าผู้ใต้บัญชาของข้าฝีมือดีหรือไม่" เย่จิ่งหานจงใจตอกย้ำคำว่าฝีมือพับผ่าสินี่มันเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้มาแล้ว ยังจะฝังใจอยู่อีกหมอนี่ใจแคบยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเย่จิ่งหานเป็นชายหนุ่มเจ้าคิดเจ้าแค้นคนหนึ่ง แค้นชนิดที่ว่าฝังหุ่น"ผู้ใต้บัญชาของท่านย่อมมีฝีมือที่ดีอยู่แล้ว จากที่ข้าดู ไม่จำเป็นต้องลองสัมผัสดูหรอก""ข้าว่า...จำเป็นมาก""เย่จิ่งหาน ท่า
"ท่านพูดแล้วว่าขอเพียงแค่ล้มพวกเขาแปดคนได้ก่อนที่คนของท่านจะพาตัวชิวเอ๋อร์ไป ท่านก็จะไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ข้าไปเที่ยวหอโคมเชียวกับเรื่องของชิวเอ๋อร์ เทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่คงไม่กลับคำหรอกกระมัง"กู้ชูหน่วนไม่ค่อยมั่นใจ นางสามารถมองทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีเพียงเย่จิ่งหานผู้เดียวที่นางมองไม่ออก นัยน์ตาดำสนิทที่นิ่งสงบของเขาคู่นั้น ไม่มีแม้แต่แววตาใดๆ ทำให้นางไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อยผ่านไปนาน นานจนกระทั่งกู้ชูหน่วนคิดว่าเย่จิ่งหานคงคิดคืนคำแล้ว เขาถึงจะค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาเบาๆ หนึ่งประโยค"เรื่องนี้พอเท่านี้ หากมีครั้งหน้าอีก เจ้าก็ลองไตร่ตรองดูเอง""เทพสงครามพูดออกมาเองขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ข้าจะกล้าไปเกี้ยวชายงามที่หอโคมเขียวอีก""เหอะ เทพสงครามหรือ ใหญ่โตมาจากไหนกัน ข้าอยากจะไปหาผู้ใด ต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนหรือ"บ้าจริงหมอนี่สั่งให้คนสะกดรอยตามนาง รู้กระทั่งว่านางเคยพูดอะไรกู้ชูหน่วนยิ้มประจบประแจง "ความชื่นชมศรัทธาที่ข้ามีต่อท่านเหลือคณานับ คำพูดเหล่านั้น แค่พูดไร้สาระเรื่อยเปื่อย ข้าจะกล้าด่าว่าท่านได้อย่างไร""เริ่มกันเถอะ""เริ่มอะไร" กู้ชูหน่วนถามอย่างอึ้งๆ
"เหลวไหล ข้าจะอายได้อย่างไร""เช่นนั้นก็เร็วเข้า อืดอาดยืดยาดเสียเวลานอนของข้า ทั้งเรือนร่างของท่าน มีจุดไหนบ้างที่ข้ายังไม่เคยเห็น""เฮือก..."ไม่ต้องพูดถึงในห้อง ทั้งจวนอ๋อง ไอเย็นพลันลดลงไปถึงจุดเยือกแข็ง ทั้งยังเจือด้วยรังสีอำมหิตอยู่รางๆชิงเฟิงเจี้ยงเสวี่ยมุดหน้าลงต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะมุดออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้คุณหนูสามกู้ไม่รู้กาลเทศะเกินไปแล้ว เรื่องไหนควรพูดเรื่องไหนไม่ควรกู้ชูหน่วนพลันหนาวสั่น รู้สึกได้เลือนๆ ว่าเท้าข้างหนึ่งของตนได้ย่างเข้านรกภูมิไปแล้วนางไม่แคลงใจแม้แต่น้อย ว่าแค่นางพูดอีกเพียงประโยคเดียว เย่จิ่งหานจะต้องเอาชีวิตของนางเป็นแน่"กู้ชูหน่วน เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าใช่หรือไม่""กล้ากล้ากล้า ท่านคือเทพสงคราม คุมกองกำลังทหาร มีอำนาจล้นมือ คิดจะฆ่าข้าง่ายเสียกว่าขยี้มดให้ตายเสียอีก เพียงแต่ ข้าอยากถามท่านคำถามเดียว ท่านยังต้องการรักษาอยู่หรือไม่ หากไม่ต้องการรักษา เช่นนั้นข้าจะกลับไปนอนแล้ว"เห็นท่าทางเหนื่อยคร้านของกู้ชูหน่วนเช่นนั้นแล้ว เย่จิ่งหานอยากจะบดขยี้นางให้แหลกเสียให้รู้แล้วรู้รอดเขาไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนใจ
เยี่ยเฟิงจัดใหม่อีกรอบ เพื่อให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น มุมปากยกขึ้นเบาๆ "ข้าก็คิดว่างามเช่นกัน""ที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าผู้นี้นั้นเลี้ยงง่ายนัก ผัดกับข้าวอะไรก็ได้มาอย่างสองอย่างก็พอแล้ว เจ้า..."กู้ชูหน่วนยังไม่ทันพูดจบ เยี่ยเฟิงเหลือบมองดูฟ้า ก่อนจะปิดฝาตระกร้าสำรับ ริมปีากแดงระเรื่องขยับเบาๆ "พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว จะไม่ทันกาลแล้ว รบกวนเจ้าหลีกทางหน่อย""ห้ะ..."กู้ชูหน่วนตะลึงงันกับข้าวพวกนี้ไม่ได้ให้นางหรอกหรือหรือว่าเขิน จึงจะส่งไปให้ที่ห้องนางอย่างนั้นหรือท่ามกลางความสงสัย เยี่ยเฟิงกลับมาอีกรอบ ก่อนจะปลดผ้าคลุมบนใบหน้าของตนเอง แล้วเอ่ยถาม "แม่นางกู้ สีหน้าข้าดูแย่หรือไม่""ไม่...ไม่หรอก" ก็แค่ตาบวมไปหน่อยก็เท่านั้น"ขอบใจ"เยี่ยเฟิงกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากโรงเจไป เหลือเพียงกู้ชูหน่วนและฝูกวงที่กำลังมองหน้ากันตาปริบๆนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือเยี่ยเฟิงไม่เห็นว่านายหญิงอยู่ที่นี่หรอกหรือกู้ชูหน่วนกระแอมสองสามที "เยี่ยเฟิงหน้าบาง พวกเราต้องเข้าใจ ไป กลับห้องไปกินกับข้าวเจที่เยี่ยเฟิงทำกันเถอะ""ขอรับ"ทั้งสองคนเดินตามกันออกไปจากโรงเจ แต่พวกเข
"ไม่ใช่ปัญหา จากที่นี่ไปเสี่ยวเหอชุน ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็ไม่พอ ไม่สู้อยู่ที่นี่ต่ออีกสักวันสองวัน"เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่าเยี่ยเฟิงรีบอยากจะกลับไปที่สุดหรอกหรือเหตุใดถึงจะไม่กลับอีกแล้วล่ะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่อีกทั้งต้องเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย"เจ้า...คงจะไม่ได้คิดสั้นหรอกนะ..." กู้ชูหน่วนหยั่งเชิงเยี่ยเฟิงชะงัก จากนั้นเมื่อรู้ถึงความเป็นห่วงของกู้ชูหน่วน เขาก็เผยยิ้มอ่อนโยนที่เห็นได้ไม่บ่อยนักออกมา"วางใจเถอะ ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น อีกอย่าง...ข้ายังมีคนในครอบครัวให้ต้องดูเล" นอกจากท่านยาย ยังมีท่านพ่อท่านแม่ที่ล้วนแต่ต้องการการดูแลจากเขาทั้งสิ้นแม้เขาจะไม่สามารถเปิดเผยตัวคนกับท่านพ่อท่านแม่ได้ แต่เขาจะคอยอธิษฐานให้พวกเขาลับหลังอยู่เงียบๆกู้ชูหน่วนโล่งใจ "รีบบอกแต่แรกสิ เจ้าจะซื้อกับข้าวอะไรบ้าง ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่""ไม่ต้อง ข้าไปคนเดียวก็พอ อย่างไรก็ชินแล้ว""ได้ มีสิ่งใดต้องการให้ช่วยก็บอกได้เลย""อืม"แผ่นหลังผอมบางของเยี่ยเฟิงหายไปจากในวัด กู้ชูหน่วนลูบปลายคางพลางพึมพำกับตัวเอง "เสี่ยวฝูกวง เจ้ารู้สึกบ้างไหมว่าเยี่ยเฟิงมีบางอย่างไม่ปกติ""มีด้วยหรือ ข้าน้อย
กู้ชูหน่วนถือหญ้าตี้อวี้ไว้ในมือ แต่กลับไม่มีอารมณ์ที่จะฟื้นฟูใบหน้าเลยแม้แต่น้อย จึงโยนหญ้าตี้อวี้กลับเข้าไปในแหวนปริภูมิ แล้วไปที่ศาลาในวัดเพื่อปล่อยใจให้ว่างเปล่าเพียงลำพังฝูกวงไม่รู้ว่าปรากฏตัวข้างกายนางเมื่อใดและปลอบโยนว่า "นายหญิง คุณชายเยี่ยเฟิงจิตใจดี สวรรค์จะไม่ทอดทิ้งเขาแน่นอน"กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะข้ากำหนดชะตาของข้าเอง ไม่ใช่สวรรค์นางไม่เคยเชื่อสวรรค์หากสวรรค์มีตา ก็คงส่งคนที่รังแกเขาลงนรกไปนานแล้ว จะลอยหน้าลอยตาเช่นนี้ได้อย่างไร"ฝูกวง ช่วยข้าทำอะไรสักหน่อยได้หรือไม่""นายหญิงเชิญสั่ง ข้าจะทำทุกอย่าง""ช่วยข้าสืบประวัติของเยี่ยเฟิง ข้าอยากรู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาคือใคร" บางทีการพบพ่อแม่ที่แท้จริงอาจช่วยบรรเทาใจที่ปวดร้าวลงได้บ้าง"ขอรับ ข้าน้อยจะสืบหาประวัติของคุณชายเยี่ยให้ได้ และจะรีบมารายงานข่าวดีให้นายหญิงทราบ""ได้"เวลาผ่านไปหลายถ้วยน้ำชา ประตูห้องของเยี่ยเฟิงก็เปิดออกกู้ชูหน่วนส่งสายตาให้ฝูกวง เป็นสัญญาณให้ตามนางไปโดยเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้เยี่ยเฟิงบังเอิญเจอพวกเขา ทำให้ศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายลงไปอีก เพราะตาของเขาบวมแดงมาก พวกเขาพยายามจะทำเป็นไม่ส
เยี่ยเฟิงในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่ร้องเรียกให้เขาไปปรากฏตัวแม้เขาจะกลัว ก็อยากเปิดเผยตัวตนแต่คำพูดของซิ่งเอ๋อร์ทำให้ขาที่ยกขึ้นมาแล้วก้าวออกไปไม่ได้อีกต่อไปองค์ชาย......องค์ชายแห่งแคว้นฉู่?แล้วนางก็คือ......ฮองเฮาแห่งแคว้นฉู่?ฮองเฮาฉู่เอ็ดว่า "ระวังจะมีคนได้ยิน""เหนียงเหนียงทรงระแวงมากเกินไป ที่นี่ไม่มีใครหรอก พวกเรามาไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋นทุกปีก็ไม่เคยเห็นคนร้ายเลยสักคน ที่นี่ดูแลดีมากเพคะ""ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไร้สาระ""เพคะๆ ๆ บ่าวพูดผิดไป แต่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งพระสนมนับสามพันคนไว้ประดับบารมี แต่ก็ไม่เคยทรงโปรดปรานพระสนมองค์ใดนอกจากพระองค์เลย พระองค์กับฮ่องเต้ทรงมีองค์ชายเพียงองค์เดียว พระองค์มีสถานะสูงส่งมาก สวรรค์จะไม่คุ้มครองพระองค์แล้วจะคุ้มครองใครเล่าเพคะ""ข้าเพียงเขาปลอดภัยและมีสุขภาพดีก็พอแล้ว ส่วนเขาจะเป็นองค์ชายที่สูงส่งที่สุดในแคว้นฉู่หรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว" ฮองเฮาฉู่ปักธูปลงกระถาง แล้วถอนหายใจด้วยความโศกเศร้าเยี่ยเฟิงพิงประตูอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลอาบแก้มใบหน้าของเขาซีดเผือกทันทีองค์ชาย......สูงส่งมาก......แต่เขา......เขาก็แค่ของเล่นของนาย
ขณะที่เยี่ยเฟิงเดินมาถึงประตูวิหารใหญ่ ซิ่งเอ๋อร์และฮองเฮาฉู่ได้พูดคุยกัน ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ม่านตาหดเล็กลง ราวกับว่าเท้าของเขามีน้ำหนักเป็นพันชั่ง เขาจึงก้าวต่อไปไม่ได้"ฮูหยิน ท่านชายน้อยหายตัวไปนานหลายปีแล้ว แม้ว่ายามนี้เขาจะยืนอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านก็อาจจะจำเขาไม่ได้ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?""ยามนั้นที่ข้าคลอดบุตรยากและสลบไป ข้าเห็นดอกเหมยที่บริเวณไหล่ซ้ายด้านหลังของเขา ดอกเหมยที่กำลังเบ่งบาน ข้ายังคิดว่าทำไมเด็กชายถึงมีปานรูปดอกเหมยที่ไหล่ได้"ปาน......ดอกเหมย?เยี่ยเฟิงหายใจเร็วขึ้นเขาใช้ความพยายามอย่างมากจึงสามารถยืนอยู่หลังประตูได้ร่างกายเย็นเฉียบแนบชิดประตู ราวกับว่าหากไม่แนบชิดประตู เขาก็จะยืนไม่ไหวไหล่ซ้ายด้านหลังของเขา......ก็มีปานเป็นรูปดอกเหมยเช่นกัน และยังเป็นดอกที่กำลังเบ่งบาน......แม่เฒ่าบอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดก็......มี......"แค่ปานรูปดอกท้อ จะสามารถระบุตัวท่านชายน้อยได้อย่างไร? แล้วหากมีคนปลอมตัวล่ะเจ้าคะ?""เป็นไปไม่ได้ ดอกเหมยดอกนั้นแตกต่างจากดอกเหมยอื่นๆ กลีบดอกน้อยกว่าดอกเหมยทั่วไปหนึ่งกลีบ นอกจากข้าและแม่นมแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้ เยี่ยเฟิงหันมองเล็กน้อยฮูหยินผู้นั้นกับลูกชายแท้ๆ ถูกพรากจากกันมานานถึงสิบแปดปี และเขาก็พลัดพรากจากพ่อแม่แท้ๆ มาสิบแปดปี นางอาจเป็นแม่ของเขาใช่หรือไม่?เมื่อมองดูฮูหยินอีกครั้ง ท่าทางสง่างาม พูดจาไพเราะ แม้จะอายุมากแล้ว แต่ใบหน้าก็ดูแลอย่างดี ไม่เหมือนคนยากจนเลยฮูหยินสูงศักดิ์เช่นนี้ จะเป็นแม่แท้ๆ ของเขาได้อย่างไรกันเยี่ยเฟิงหัวเราะเสียงเบาเขาคงคิดถึงพ่อแม่จนเพี้ยนไปแล้วฮองเฮาฉู่ตาแดงก่ำ ความเศร้าโศกแวบผ่านไป "ยามนั้น ลูกชายคนเล็กของข้าหลินเอ๋อร์ถูกขโมยไปที่นอกเมืองชิงหง ราชครูบอกว่า หากอยากจะตามลูกชายคนเล็กกลับมา ก็ต้องมาไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋น ราชครูชำชองวิชาห้าธาตุแปดทิศ สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ เขาไม่โกหกข้าแน่นอน""แต่ท่านมาไหว้พระที่นี่ทุกปี และเมื่อก่อนก็มาสวดมนต์ที่วัดไป๋อวิ๋นทุกวัน ไม่ใช่ว่ายังหาเด็กชายคนนั้นไม่เจอหรอกหรือ"พอนึกถึงเรื่องในอดีต ซิ่งเอ๋อร์ก็ร้องไห้เมื่อเด็กน้อยถูกขโมยไป ฮองเฮาก็คิดถึงทุกวัน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ในช่วงสิบปีแรก อยู่ที่วัดไป๋อวิ๋นสวดมนต์ทุกวัน เพื่อเพิ่มบุญให้กับท่านชายน้อย หวังว่าจะได้กลับมาเป็นครอบครัวก
กู้ชูหน่วนพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นไปพักที่วัดไป๋อวิ๋นก่อนก็แล้วกัน”กู้ชูหน่วนก็ไม่รู้จะปลอบเยี่ยเฟิงอย่างไรเรื่องแบบนี้ต้องให้เขาคิดเองนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะเห็นฉากนั้น เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆเยี่ยเฟิงแม้จะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่นางก็รู้สึกได้เขามองนางเป็นเพื่อน และเพราะว่ามองนางเป็นเพื่อน จึงไม่อยากให้นางเห็นฉากที่น่าอับอายที่สุดของเขา“ร่างกายยังไหวหรือไม่? ห่กไม่ไหว เราพักที่นี่ก่อนก็ได้”“ไหว ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวเหล่าทหารจะไล่ตามมา”เยี่ยเฟิงเดินนำไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ปรากฏสีหน้าใดๆฝูกวงอธิบาย “วันนั้นในป่าไผ่ที่พลัดหลงกับนายหญิง พวกข้าเจอกับนายท่านของเผ่าหมอหลายคน พวกข้ายืนหยัดต่อสู้ไม่ไหว เยี่ยเฟิงขาช้าก็เลยถูกจับไป ข้าน้อยหานายหญิงไม่เจอ จึงแอบแฝงตัวเข้าไปในเผ่าหมอเพื่อไปช่วยเยี่ยเฟิง แต่ไม่นึกว่าจะเจอนายหญิงในเผ่าหมอ เรื่องต่อจากนั้น นายหญิงก็รู้แล้ว”“อืม ไปกันเถอะ”วัดไป๋อวิ๋น ที่นี่เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของวัดชิงหง มีผู้มาทำกราบไหว้ไม่ขาดสาย ภายในวัดมีสามเณรน้อยเดินไปมาให้เห็นกู้ชูหน่วนประนมมือด้วยท่าทางนอบน้อม "ท่านเณรน้อย ได้ยินมาว่าวัดไป๋อวิ๋นศักดิ์สิทธิ์มาก พ
เมื่อพลังของค่ายกลลดลง กู้ชูหน่วนจึงพบทางลับเข้าไปได้แต่ทางลับนี้กลับไม่ใช่ทางลับที่เพิ่งแยกจากหัวหน้าเผ่าหมอมานางรู้สึกสงสัยค่ายกลนี้แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้?เมื่อครู่ยังป้องกันได้อย่างแน่นหนา ไม่มีที่ให้โจมตี แต่ยามนี้กลับกลายเป็นค่ายกลที่พุพังไปได้?มีใครมาช่วยนางทลายค่ายกลไปครึ่งหนึ่งหรือไม่?มีใครในเผ่าหมอช่วยนางทลายค่ายกลหรือไม่?หรือว่าจะเป็นอาโม่?"นายหญิง เราพบทางลับเข้าไปแล้ว ทำไมยังไม่รีบออกไป หรือว่าจะต้องตามหาอะไรอีกหรือ" ฝูกวงถามด้วยความมึนงงไม่ไกลนัก หัวหน้าเผ่าหมอยกมุมปากด้วยรอยยิ้มที่หยิ่งยโส แล้วยกมือขาวขึ้นเบาๆ ดมกลิ่นดอกไม้ในมือด้วยท่าทางกระหาย และเปล่งเสียงออกมาจากมุมปาก"โง่นัก นางกำลังตามหาข้าอยู่แน่นอน หากหาข้าไม่เจอ นางจะหนีไปได้อย่างไร"กู้ชูหน่วนกวาดตามองไปรอบๆ ที่นี่เงียบสงบ ไม่มีเงาของใครเลย แต่ไกลออกไปมีแสงไฟลุกโชน ไม่รู้ว่ามีทหารจำนวนเท่าใดกำลังตามล่าพวกนางอยู่นางเหลือบมองทางลับ แล้วมองไปยังแสงไฟที่อยู่ไกลออกไป กัดฟันแน่น "ไป"อาโม่เดินเล่นในเขาดูดวิญญาณราวกับเดินเล่นในสวนของตัวเอง คงจะรอนางไม่ไหวแล้วน่าจะจากไปแล้วแล้วนางก็รู้ทางลับหลาย
กู้ชูหน่วนเดินวนกลับมาอีกรอบนางเอามือลูบขมับที่ปวดตุบ แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า "พวกเราติดอยู่ในค่ายกลแล้ว และเป้นค่ายกลที่ทรงพลังมากๆ ด้วย""นายหญิง ท่านมีวิธีทลายค่ายกลนี้หรือไม่"กู้ชูหน่วนส่ายศีรษะนางไม่เคยเห็นค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หากจะให้ทลายคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปี"หากทางลับออกไปไม่ได้ ข้าขออาสาคุ้มกันให้พวกเจ้าออกทางประตูใหญ่""ข้าจำได้ว่ามีทางลับหลายทาง ไปทางนี้กันก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกทางประตูใหญ่""ได้"หัวหน้าเผ่าหมอถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเซวี่ยซาก้มศีรษะลงต่ำ แทบอยากหายตัวไปเลยเสียประเดี๋ยวนี้เขาคิดว่าหัวหน้าเผ่าหมอจะโกรธ แต่กลับได้ยินเสียงของหัวหน้าเผ่าหมอที่เรียบเฉยดังขึ้น"ถูกต้องแล้ว ไปทางนี้แหละ เมื่อครู่ข้ารอนางอยู่ที่ทางลับนั่นเอง"เซวี่ยซา "เอิ่ม......""เซวี่ยซา ไปดูกันดีกว่า""ขอรับ"เซวี่ยซาเดินตามหัวหน้าเผ่าหมอ และตามพวกกู้ชูหน่วนติดๆทว่าพวกกู้ชูหน่วนเดินวนไปวนมา ราวกับอยู่ในเขาวงกตขนาดใหญ่ นางทำเครื่องหมายไว้ตลอดทาง แต่ก็ยังวนกลับมาอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเปิดทางให้ คงปะทะกับยามเฝ้าเวรไปแล้วเขาเตือนด้วยความระมัดร