"ข้ามีนิสัยอย่างหนึ่ง คือชอบบังคืบขืนใจผู้อื่น""……"กู้ชูหน่วนรู้สึกว่า เย่จิ่งหานความคิดบิดเบี้ยวไปแล้วเขาไม่กลัวตัวเองโดนสวมเขา แล้วนางจะกลัวไปใยเย่จิ่งหานกวาดสายตาไปมองทุกคนในหออู๋โยวปราดหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่บนตัวอี้เฉินเฟย เยี่ยเฟิงและเซียวอวี่เชียนเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากเรียวบางถึงจะเปิดเบาๆ "พาตัวไป""ท่าน...ท่านเผด็จการถึงเพียงนี้เลยหรือ ยัยขี้เหร่ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของท่านเสียหน่อย"เซียวอวี่เชียนฟันสั่นกระทบกันหงึกหงัก ทว่ากลับยืนขวางตรงหน้ากู้ชูหน่วนไม่ยอมหลีกไปไหนอี้เฉินเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม "เทพสงคราม ในเมื่อข้าน้อยอี้รับปากแล้วว่าจะอยู่กับคุณหนูสามเป็นเวลาเจ็ดวัน เช่นนั้นระหว่างเจ็ดวันนี้ย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของนาง""ทำไม...สำนักขงจื่อจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าหรือ" เย่จิ่งหานมองข้ามเซียวอวี่เชียนไปเสียดื้อๆ ดวงตาเรียวบางดุจหงส์กวาดไปทางอี้เฉินเฟย"หากท่านกล้าแตะนางแม้เพียงปลายเส้นผม ไม่เพียงแค่สำนักขงจื่อ ทั้งแคว้นจ้าวก็ไม่มีทางรับปาก" อี้เฉินเฟยยิ้มอย่างใจเย็น ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยการตักเตือนบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาถนัดตา ราวกับเขม่าดินปืนกำ
"ก็จริง ยัยขี้เหร่ฉลาดผิดมนุษย์ ไม่มีทางถูกรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรอก" เพียงแต่คนผู้นั้นกลับเป็นเทพสงคราม เขาถึงได้ไม่วางใจเท่าไหร่อยู่ดีเยี่ยเฟิงทอดมองดูแผ่นหลังของพวกเขาด้วยท่าทางใช้ความคิด ดวงตาเย็นชาคู่นั้นฉายแววความสับสน ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาถึงจะออกไปจากหออู๋โยวด้วยเช่นกันหลังจากเทพสงครามกลับไป ผู้คนทั้งหออู๋โยวถึงจะรู้สึกตัวว่าทั้งร่างของตนอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเมื่อครู่นี้ พวกเขาคิดว่าตัวเองคงต้องตายแล้วจริงๆ"คนผู้นั้นใช่เทพสงครามหานอ๋องที่โหดเหี้ยมเลือดเย็น ฆ่าคนเป็นว่าเล่นจริงหรือ ไม่ใช่ว่ากันว่าเขาป่วยอาการสาหัสหรอกหรือ เหตุใดถึงได้ดูแข็งแรงดีถึงเพียงนั้น""บนโลกใบนี้จะมีผู้ใดกล้าสวมรอยเป็นเทพสงครามหานอ๋องอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายอี้เซียนกวีและคุณชายเซียวก็เรียกเขาว่าเทพสงครามทั้งคู่ พวกเขาสองคนฐานะไม่ธรรมดา จะจำคนผิดได้หรือ""เช่นนั้นหญิงสาวข้างกายเขาผู้นั้น หรือจะเป็นคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดี ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองศิลปะ แล้วยังเป็นคู่หมั้นของเทพสงครามผู้นั้นหรือ""คู่หมั้นของเทพสงครามถึงกลับกล้ามาเที่ยวหอเริงรมย์ สวมเขาอันโตให้กับเทพสงคราม ข้าไม่ไ
"คุณหนูกู้ จวนอ๋องถูกผิดมีกฎแยกแยะชัดเจน ท่าน..."กู้ชูหน่วนขัดจังหวะด้วยความเยือกเย็น "เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูกู้ หมายความว่าข้ายังไม่ใช่คนของจวนอ๋อง ในเมื่อข้าไม่ใช่คนจวนอ๋อง ก็เลิกเอากฎนั่นมาขู่ข้าเสียที""ฟึบฟึบฟึบ..."ร่างแปดร่างโผล่พรวดออกมาจับกู้ชูหน่วนและชิวเอ๋อร์แยกจากกัน คล่องแคล่วว่องไวประดุจเสือชีตาร์เพียงแค่แวบเดียว กู้ชูหน่วนก็รู้เลยว่าวิทยายุทธ์ของแปดคนนั้นไม่ธรรมดา กลัวก็แต่ว่าตัวนางเองจะรับมือไม่ไหวเสียด้วยซ้ำชิวเอ๋อร์ลนลาน ลำตัวสั่นไหวไม่หยุดกู้ชูหน่วนหันไปมองเย่จิ่งหาน หรี่ตาลงพลางเอ่ย "ท่านอ๋อง นี่ท่านหมายความเช่นไร""เจ้าชอบเกี้ยวชายงามนักไม่ใช่หรือ ข้าจะให้สาวใช้ของเจ้าได้สัมผัสดูว่าผู้ใต้บัญชาของข้าฝีมือดีหรือไม่" เย่จิ่งหานจงใจตอกย้ำคำว่าฝีมือพับผ่าสินี่มันเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้มาแล้ว ยังจะฝังใจอยู่อีกหมอนี่ใจแคบยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเย่จิ่งหานเป็นชายหนุ่มเจ้าคิดเจ้าแค้นคนหนึ่ง แค้นชนิดที่ว่าฝังหุ่น"ผู้ใต้บัญชาของท่านย่อมมีฝีมือที่ดีอยู่แล้ว จากที่ข้าดู ไม่จำเป็นต้องลองสัมผัสดูหรอก""ข้าว่า...จำเป็นมาก""เย่จิ่งหาน ท่า
"ท่านพูดแล้วว่าขอเพียงแค่ล้มพวกเขาแปดคนได้ก่อนที่คนของท่านจะพาตัวชิวเอ๋อร์ไป ท่านก็จะไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ข้าไปเที่ยวหอโคมเชียวกับเรื่องของชิวเอ๋อร์ เทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่คงไม่กลับคำหรอกกระมัง"กู้ชูหน่วนไม่ค่อยมั่นใจ นางสามารถมองทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีเพียงเย่จิ่งหานผู้เดียวที่นางมองไม่ออก นัยน์ตาดำสนิทที่นิ่งสงบของเขาคู่นั้น ไม่มีแม้แต่แววตาใดๆ ทำให้นางไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อยผ่านไปนาน นานจนกระทั่งกู้ชูหน่วนคิดว่าเย่จิ่งหานคงคิดคืนคำแล้ว เขาถึงจะค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาเบาๆ หนึ่งประโยค"เรื่องนี้พอเท่านี้ หากมีครั้งหน้าอีก เจ้าก็ลองไตร่ตรองดูเอง""เทพสงครามพูดออกมาเองขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ข้าจะกล้าไปเกี้ยวชายงามที่หอโคมเขียวอีก""เหอะ เทพสงครามหรือ ใหญ่โตมาจากไหนกัน ข้าอยากจะไปหาผู้ใด ต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนหรือ"บ้าจริงหมอนี่สั่งให้คนสะกดรอยตามนาง รู้กระทั่งว่านางเคยพูดอะไรกู้ชูหน่วนยิ้มประจบประแจง "ความชื่นชมศรัทธาที่ข้ามีต่อท่านเหลือคณานับ คำพูดเหล่านั้น แค่พูดไร้สาระเรื่อยเปื่อย ข้าจะกล้าด่าว่าท่านได้อย่างไร""เริ่มกันเถอะ""เริ่มอะไร" กู้ชูหน่วนถามอย่างอึ้งๆ
"เหลวไหล ข้าจะอายได้อย่างไร""เช่นนั้นก็เร็วเข้า อืดอาดยืดยาดเสียเวลานอนของข้า ทั้งเรือนร่างของท่าน มีจุดไหนบ้างที่ข้ายังไม่เคยเห็น""เฮือก..."ไม่ต้องพูดถึงในห้อง ทั้งจวนอ๋อง ไอเย็นพลันลดลงไปถึงจุดเยือกแข็ง ทั้งยังเจือด้วยรังสีอำมหิตอยู่รางๆชิงเฟิงเจี้ยงเสวี่ยมุดหน้าลงต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะมุดออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้คุณหนูสามกู้ไม่รู้กาลเทศะเกินไปแล้ว เรื่องไหนควรพูดเรื่องไหนไม่ควรกู้ชูหน่วนพลันหนาวสั่น รู้สึกได้เลือนๆ ว่าเท้าข้างหนึ่งของตนได้ย่างเข้านรกภูมิไปแล้วนางไม่แคลงใจแม้แต่น้อย ว่าแค่นางพูดอีกเพียงประโยคเดียว เย่จิ่งหานจะต้องเอาชีวิตของนางเป็นแน่"กู้ชูหน่วน เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าใช่หรือไม่""กล้ากล้ากล้า ท่านคือเทพสงคราม คุมกองกำลังทหาร มีอำนาจล้นมือ คิดจะฆ่าข้าง่ายเสียกว่าขยี้มดให้ตายเสียอีก เพียงแต่ ข้าอยากถามท่านคำถามเดียว ท่านยังต้องการรักษาอยู่หรือไม่ หากไม่ต้องการรักษา เช่นนั้นข้าจะกลับไปนอนแล้ว"เห็นท่าทางเหนื่อยคร้านของกู้ชูหน่วนเช่นนั้นแล้ว เย่จิ่งหานอยากจะบดขยี้นางให้แหลกเสียให้รู้แล้วรู้รอดเขาไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนใจ
"ไม่รักษาแล้วเหรอ ได้เลย รีบบอกแต่แรกสิ เช่นนั้นข้ากลับไปนอนก่อน" "ข้าอนุญาตให้เจ้าไปแล้วหรือ" น้ำเสียงเยือกเย็นของเย่จิ่งหานลอยมากู้ชูหน่วนข้องใจเสียเหลือเกินล้วนแต่พูดกันว่าเทพสงครามอารมณ์รุนแรง เอาแน่เอานอนไม่ได้แต่นางปั่นหัวขนาดนี้แล้ว ชายผู้นี้ก็ยังทนอยู่ได้อีก ?"คุณหนูสามกู้ ข้าขอเตือนเจ้าว่าทางที่ดีเจ้าคิดทบทวนให้ชัดเจนว่าควรรักษาเช่นไร" เขาไม่ได้พูดครึ่งประโยคหลัง แต่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ว่า หากไม่รักษาให้ดี จุดจบจะเป็นเช่นไร"ข้าก็ตั้งใจรักษามาตลอดนี่ รีบดื่มยาเสีย เดี๋ยวเย็นแล้วจะรสชาติไม่ดี"กู้ชูหน่วนส่งถ้วยยาให้เขา จากนั้นก็ยื่นผลไม้แช่อิ่มหนึ่งเม็ดตามไป ก่อนจะยิ้มร่าเผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ สองข้าง "แก้ขม ได้ผลชะงัดนัก"เย่จิ่งหานที่เดิมทีถูกครอบงำด้วยความฉุนเฉียว แต่เพราะผลไม้แช่อิ่มเม็ดนี้ ทำให้คลายความหงุดหงิดลงไปได้บ้างมือที่ขาวเรียวของเขายกถ้วยยาขึ้น แล้วดื่มยาด้านในจนหมด เพียงแต่ผลไม้แช่อิ่มเม็ดนั้นยังคงกำไว้ในมือ ไม่ได้กินเข้าไป"ประครองข้าเข้าไป"ชิงเฟิงเจี้ยงเสวี่ยตะลึงงัน "นายท่าน น้ำในหม้อสามขาเดือดพล่านเลย คนปกติเพียงแค่เข้าไป ก็จะต้องถูกต้มจนสุกเป
กู้ชูหน่วนลูบหม้อสามขา สัมผัสเย็นเฉียบจนมือนางแทบเแข็ง"เหอะๆ ไม่รู้ว่าที่ผ่านมา เหตุใดเจ้าถึงไม่แข็งตาย""คุณหนูสามกู้" ชิงเฟิงเอ็ด"ตะโกนเสียงดังทำไม ข้าไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย โรยผงยานี่ให้รอบหม้อสามขา แล้วเทงูพิษกับแมงป่องพิษลงไปให้หมด""ว่าไง... ไม่ฆ่าเอามาทำยารึ? ยังเป็นๆอยู่เลยนะ?" เกิดกัดนายท่านขึ้นมาจะทำอย่างไร?"ถ้าไม่เป็นข้าไม่ใช้หรอก เร็วเข้า ประเดี๋ยวแข็งขึ้นมาแล้ว ต่อให้พวกเจ้าจับงูพิษมาอีกกี่ตัวก็ไม่มีประโยชน์""นายท่าน..."เรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ พวกเขาสองคนกล้าทำได้อย่างไร เขาเหลียวไปมองเย่จิ่งหาน รอคำสั่งแววตาล้ำลึกของเย่จิ่งหานสว่างวาบ ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา "ทำตามที่นางบอก"ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยปาดเหงื่ออีกครั้งทว่าเหงื่อครั้งนี้นั่นเย็นเฉียบขณะเทตะขาบ แมงมุม และอสรพิษอื่นลงไป ปากพวกเขาสั่นผับๆ หัวใจเต้นรัวสุดขีดเมื่อเหล่าอสรพิษถูกเทลงไป พวกมันวิ่งพล่านตะเกียกตะกากอยู่ในหม้อสามขา แต่ไม่ยักกัดเย่จิ่งหาน แถมยังดูท่ากลัวเย่จิ่งหานด้วยซ้ำพวกมันอยากหนีออกจากหม้อสามขา แต่ก็เหมือนกลัวผงยาที่โรยอยู่รอบหม้อ จึงทำได้เพียงวิ่งไปมาอย่างทุรนทุรายชิงเฟิงและ
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยคุกเข่าลงในทันใด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายตัวเอง กู้ชูหน่วนรีบร้อนอธิบาย "ขอโทษที ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้างูน้อยพวกนี้จะกัดตรง... ตรง... ตรงนั้นของเจ้า เจ้าพวกนี้ไม่มีลูกตารึไง ประเดี๋ยวข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้นๆเอง"เย่จิ่งหานเดือดดาลเดือดจนลุกเป็นไฟที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือ ทุกครั้งที่ถูกกู้ชูหน่วนแกล้ง เขามักจะไร้ทางสู้เสทอครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาอ่อนแอจนไม่แม้แต่แขนยังยกไม่ขึ้นงูน้อยงั้นรึ?นี่คืองูน้อยหรือ?นั่นมันคืองูยักษ์ชัดๆ เจ้าเคยเห็นงูยาวสองเมตรรึ?"ดูสิ มันนาเรื่องเอง กลับไปเจอยมบาลแล้ว"กู้ชูหน่วนชี้ไปที่งูตัวนั้น สีหน้าประหนึ่งผู้ผดุงคุณธรรม จงเกลียดจงชังเจ้างูตัวนั้นเหลือเกินตายไปแล้วตัวหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกไม่รู้กี่ตัว แถมยังมีทั้งตะขาบ แมงป่อง ร่างทั้งร่างของเย่จิ่งหานถูกอสรพิษไต่ต่อม แต่ละตัวจ้องจะกัดกินร่างกายเขาเจ็บปวดไม่รู้จักจบสิ้น เจ็บจนเขาจะขาดใจกู้ชูหน่วนคว้าถ้วยยาที่เขาดื่มเมื่อครู่ยื่นให้เขาด้วยความหวังดี ก่อนจะชะโงกมองไปที่ก้นหม้อสามขา พลางเอ่ยเสียงจริงจัง "อ๋อ ปิดฝาก็สิ้นเรื่อง""…"เสียง "โครม..." ดังขึ้นนิ้วมือของเย
เดิมทีคนของเผ่าเทียนเฝินก็สงสัยในตัวนายท่านหลันอยู่แล้ว เมื่อกู้ชูหน่วนพูดเช่นนี้ คนของเผ่าเทียนเฝินก็อดไม่ได้ที่จะมองนายท่านหลันเป็นศัตรูยิ่งกว่าเดิม กู้ชูหน่วนเอ่ยออกมาเบาๆ อีกประโยค "อีกอย่างหินก้อนใหญ่จากยอดเขากลับร่วงมาบนหัวผู้อาวุโสทุกท่านของเผ่าเทียนเฝิน ทว่าพวกเจ้าทั้งหมดกลับอยู่ริม และหลบได้อย่างง่ายดาย" "กู้ชูหน่วน เจ้าหมายความเช่นไร หรือเจ้าสงสัยว่าเป็นแผนของข้ารึ" "ข้าไม่มีความกล้าที่จะพูดเช่นนั้นหรอก ชีวิตน้อยๆ ของข้ายังอยู่ในมือเจ้า" "เช่นนั้นหินก็ไม่ได้ร่วงใส่เจ้าไม่ใช่หรือ" "ข้าไม่โดนหินทับตาย เพราะข้าดวงแข็ง ใครจะรู้ว่าอีกเดี๋ยวทางที่เจ้าพาไป จะหลอกข้าไปตายหรือไม่" "หากวันนี้ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ใช่นายท่านหลันแห่งกองธงทั้งสิบสองของเผ่าหมออีก" นายท่านหลันเดือดดาล ไม่ลังเลที่จะลงมืออีกต่อไป ทุกกระบวนท่าล้วนแต่ต้องการจะสังหารกู้ชูหน่วนให้ถึงแก่ชีวิต ผู้อาวุโสเผ่าเทียนเฝินก็มีน้ำโหด้วยเช่นกัน บวกกับกู้ชูหน่วนคอยยุแยงทุกประโยค คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอจึงแตกหักกันโดยสิ้นเชิง หันมาฆ่าฟันกันเอง ผู้อาวุโสจวินพูดด้วยความฉุนเฉียว "พวกหัวขโมยอ
ไฟโทสะในใจของนายท่านหลันสุมเป็นกองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา เขาคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “กู้ชูหน่วน เจ้าวกไปวนมา จะวนไปถึงไหนกัน” “พวกเจ้าให้ข้าพาพวกเจ้าไปสุดยอดเขาเพื่อตามหาแก้วมังกรไม่ใช่รึ ข้ากำลังหาทางอยู่นี่อย่างไร” นายท่านหลันโกรธจนอยากจะฟาดฝ่ามือใส่นางให้ตาย กู้ชูหน่วนพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ “ที่แห่งนี้มีทางแยกมากมาย ข้าพยายามหาเส้นทางเต็มที่แล้ว อีกอย่างทุกเส้นทางที่ไป ล้วนแต่ผ่านความเห็นชอบของพวกเจ้าแล้ว นายท่านหลัน เจ้าจะใส่ร้ายว่าข้าจงใจพาพวกเจ้าวกไปวนมาได้อย่างไร” นายท่านหลันหงุดหงิด ทั้งๆ ที่กู้ชูหน่วนจงใจหลอกพวกเขา ทว่านางกลับเอาเหตุผลมาอ้างทุกประโยค แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ ทำให้เขาหาข้อกังขาไม่ได้ ทุกครั้งที่นางจะวนอยู่ที่ทางแยก นางถามพวกเขาก่อนแล้ว แต่นางแทบไม่ให้เวลาเขาดูแผนที่ก็มุ่งหน้าเดินต่อไปแล้ว ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเริ่มจะหมดความอดทน พวกเขาวนอยู่ในถ้ำมาครึ่งวันแล้ว ขืนวนต่อไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดของพวกเขาก็จะถูกใช้จนหมด ต้องไปถึงยอดเขาให้ได้โดยเร็ว เขาเอ่ยเสียงขรึม พยายามข่มความเหลืออดไว้ในใจ “ยังต้องเดินอีกไกลเพียงใด” “เ
ครั้งนี้ เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฝินเองก็ไม่ใจเย็นอีกต่อไปแล้ว อยากจะแทงกู้ชูหน่วนให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น ทว่ากู้ชูหน่วนกลับชิงร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาเสียก่อน พลางสะอึกสะอื้น "เหล่าสหายทั้งหลาย เป็นข้าเองที่ทำร้ายพวกเจ้า หากรู้แต่แรกว่าที่นี่อันตรายถึงเพียงนี้ หากรู้แต่แรกว่าถ้าบุกเข้ามาจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างทรมานที่นี่ ข้ายอมถูกพวกเจ้าตีตายไปเสีย แต่จะไม่ยอมยกกระดิ่งภินวิญญาณให้เด็ดขาด ข้าผิดต่อพวกเจ้า" "ข้าสมควรตาย ข้าทำผิดต่อพวกเจ้า พวกเจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ ชีวิตคนมากมายเช่นนี้ คุณพระช่วย...ข้าควรชดใช้เช่นไร" นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ปวดใจเป็นที่สุด คนของเผ่าเทียนเฝินพลันใจอ่อนฮวบในทันที คนของเผ่าหมอก็คลายความโกรธลงไปไม่น้อย มีเพียงแค่นายท่านกองธงที่กัดฟันกรอด เส้นเลือดสีเขียวปูดจนจะระเบิดออกมา "ในเมื่อเจ้าอยากตายถึงเพียงนี้ เช่นนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง" หัวหน้ากองธงพูดพลางฟาดฝ่ามือไปที่กะโหลกของนาง คนของเผ่าเทียนเฝินมองดูหน้าตาเฉย อยากเห็นว่ากู้ชูหน่วนคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไร คิดไม่ถึงว่ากู้ชูหน่วนเพียงแค่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งยังไม่ตอบโต้ ท่าทางรอคว
เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงเป็นกังวล ยามนี้พวกเขาต่างก็เจ็บหนัก หากฝืนตามไป ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรอาการของแต่ละคนก็สาหัสปางตายกันทั้งสิ้น แต่หากไม่ไปแล้วแก้วมังกรถูกชิงไป คิดจะแย่งกลับมา เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว พวกเขาออกตามหามาหลายปี ใช้คนไปตั้งมากมาย จนมาพบที่ตั้งของแก้วมังกรในที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรยอมแพ้ กู้ชูหน่วนพิงอยู่ข้างโขดหิน มองดูท่าทีลังเลของพวกเขาอยู่เงียบๆ มุมปากยกยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น แก้วมังกรล่อตาล่อใจเสียขนาดนั้น มีหรือที่พวกเขาจะไม่ติดกับ เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ คนเหล่านี้กัดฟันเค้นออกมาหนึ่งประโยค "ไป ขึ้นเขาไปดูเสียหน่อย เจ้าก็ไปกับพวกข้าด้วย" กู้ชูหน่วนแสร้งทำเป็นตกใจ "เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งรับปากว่าจะให้ข้าออกไปอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ หรือท่านจะกลับคำพูด" "แผนที่ที่เจ้าให้มามีเพียงครึ่งเดียว นอกเสียจากเจ้าช่วยพวกข้าตามหาอีกครึ่งหรือหาแก้วมังกรพบ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะได้ไปไหน" "ท่านไม่รักษาคำพูดนี่" "เช่นนั้นเจ้าอยากถูกฝังอยู่ที่นี่หรือไม่" คนของเผ่าเทียนเฝินผลักนางไปด้านหน้า กู้ชูหน่วนทำได้เพียงแค่มุ่งหน้า
ทุกคนต่างก็จ้องไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความโกรธ กู้ชูหน่วนผงะถอยหลังไปหลายก้าว พูดด้วยความระวัง "อีกครึ่งถูกชาวเขาตานหุยชิงไป พวกเจ้าจ้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ หากข้ามีแผนที่อีกครึ่ง อย่างไรก็ต้องส่งให้พวกเจ้าอยู่ดี" "ชาวเขาตานหุย ?" นายท่านหลันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง "ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่า เหตุใดชาวเขาตานหุยถึงใจเย็นได้ขนาดนั้น รอพวกเจ้าต่อสู้อยู่ด้านนอกตั้งนาน เว้นเสียแต่นอกจากทางลงเขาเส้นนี้ บริเวณปากเขาน้ำเต้ายังมีทางอีกเส้นที่สามารถออกไปจากเขาน้ำเต้าแห่งนี้ได้ หากพวกเขาได้แก้วมังกรแล้ว ก็น่าจะลงเขาไปทางนั้นเลย" นายท่านหลันสงสัยเคลือบแคลงในคำพูดของนางเป็นอย่างยิ่ง"ทุกท่าน สตรีนางนี้ไม่เคยมีความจริงออกจากปากนาง พวกเจ้าอย่าไปเชื่อนางเด็ดขาด" ผู้อาวุโสอวิ๋นสองจิตสองใจ "คนของพวกเราเข้ามาในเขาน้ำเต้า บาดเจ็บเสียหายอย่างหนัก แต่ชาวเขาตานหุยดูเหมือนจะราบรื่นตลอดทาง อีกทั้งยังไม่พบเจออุปสรรคใดๆ เลย" เมื่อผู้อาวุโสอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสจวินก็คิดขึ้นมาได้ "เป็นจริงอย่างที่พูด ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าเหตุใดชาวเขาตานหุยถึงได้โชคดีเพียงนี้ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ยามนี้มาคิด
"เยี่ยเฟิงออกไปจากเขาน้ำเต้าแล้ว" "เจ้าซ่อนสิ่งใดเอาไว้" สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว นางวางมือทั้งสองข้างลง แสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ใส่ใจ "ข้าสตรีอ่อนแอตัวคนเดียว จะมีสิ่งใดในครอบครองได้ ก็แค่กลัวว่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเจ้าจะเสียมารยาทกับข้าก็เท่านั้น" คำพูดนี้ของนี้ ไม่มีผู้ใดเชื่อ เพราะสีหน้าที่แสดงออกมาเล็กๆ น้อยๆ ของนางได้หักหลังนางหมดแล้ว ต่อให้นางจะนิ่งเพียงใด ทุกคนก็จับได้อยู่ดี คนของเผ่าหมอพากันเข้ามาล้อมนางเอาไว้ คนของเผ่าเทียนเฝินแม้จะนิ่งดูดาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะปล่อยกู้ชูหน่วนไป "นังหนู ข้าขอเตือนเจ้าให้ส่งของมาดีๆ ไม่เช่นนั้น...เหอะ..." คำพูดของนายท่านหลันเต็มไปด้วยความตักเตือน นายท่านหมู่ตานกลับพูดจีบปากจีบคอ "นังเด็กคนนี้แม้จะสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่รูปร่างดีใช้ได้ เอามาใช้อุ่นเตียงแก้ขัดก็น่าจะไม่เลว" "เจ้า...พวกเจ้าคิดจะทำอะไร..." "ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน ข้าเป็นถึงหานอ๋องเฟย ขืนพวกเจ้ากล้าทำอะไรข้า หานอ๋องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่" "ว่าอย่างไรนะ...เจ้าคือภรรยาของเย่จิ่งหาน เช่นนั้นพวกเราเผ่าเทียนเฝินยิ่
ด้านล่างตีนเขาของเขาน้ำเต้า คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอลงจากเขาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส และกองทัพที่แพ้จนหมดสภาพ สีหน้าของพวกเขาต่างก็ไม่สู้ดีนัก ข่มความฉุนเฉียวเอาไว้ เลือดสีแดงสดไหลคดเคี้ยวลงมาจากร่างของพวกเขา ผู้อาวุโสจวินแห่งเผ่าเทียนเฝินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ "หากคนเผ่าหมอของพวกเจ้าลงมือตั้งแต่แรก พวกเราก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้จนมีสภาพเช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกชาวเขาตานหุยได้ประโยชน์ไป" นายท่านหลันยิ้มเยาะ "พวกเจ้าเผ่าเทียนเฝินยังเหลือยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยไว้ระวังพวกข้า หากร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกัน มังกรอสูรขั้นเจ็ดก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าลงมือ พวกเจ้าจัดการเองก็ได้แล้ว สุดท้ายแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ไว้ใจพวกข้า" ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟยเย่มีนิสัยใจร้อนมาแต่ไหนแต่ไร เขาเดือดดาลขึ้นมาทันที "หากพวกข้าเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนต่างก็เจ็บหนักกันหมด หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ไปได้ง่ายๆ น่ะสิ" ผู้อาวุโสหวงหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงติเตียน "พอได้แล้ว แทนที่จะมัวมาพูดมากอยู่ตรงนี้ ไม่สู้คิดหาหนทางว่าจะชิงแก้วมังกรมาจากชาวเขาตานหุยอย่างไรจะดีกว่า" ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเอ่ย ก
"โฮ่ว..." "โฮก..." "เฮือก..." นายท่านกองธงเผ่าหมอและมังกรอสูรต่างก็เจ็บหนัก ครั้งนี้ล้วนแต่บาดเจ็บเสียหายกันทั้งคู่ "นายหญิง นายท่านสองคนนั้นเป็นนายท่านจากอีกสองกองธง หนึ่งในนั้นนายท่านเถาฮวาถูกมังกรอสูรโจมตีบาดเจ็บสาหัส อาการปางตาย เกรงว่าคงไม่อาจรอดไปได้แล้ว มังกรอสูรก็เจ็บไม่เบาเช่นกัน กรงเล็บหักไปเล็บหนึ่งแล้ว นายหญิง พวกเราเข้าไปตอนนี้เลยดีหรือไม่" "เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรืออย่างไร จะร้อนรนกระวนกระวายไปไหน" "แต่ขืนพวกเรายังไม่ไป แล้วแก้วมังกร..." "หากแก้วมังกรชิงไปได้ง่ายเพียงนั้น พวกเจ้าคงได้ไปนานแล้ว ต้องรอถึงตอนนี้อีกรึ เสี่ยวฝูกวง ข้าเห็นปกติเจ้าก็ฉลาดดีอยู่หรอก เหตุใดพอเกี่ยวกับแก้วมังกร เจ้าถึงได้กลายเป็นคนโง่แบบนี้ไปได้" แน่นอนว่าต้องโง่อยู่แล้ว เขาจะไม่กระวนกระวายได้อย่างไร คนทั้งเผ่าต่างก็ตั้งตารอแก้วมังกรเพื่อจะได้ถอนคำสาปเลือด นั่นคือชีวิตนับพันนับหมื่นชีวิต "เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวพวกเขาก็จะเริ่มการโจมตีครั้งต่อไปแล้ว" ไม่ผิดไปจากที่กู้ชูหน่วนคาดการณ์ไว้ คนของเผ่าหมอและเผ่าเทียนเฝินลงมือโจมตีอีกครั้ง สู้กันสนั่นหวั่นไหว มืดฟ้ามัวดิน
ฮองเฮาฉู่และเยี่ยเฟิงไม่ยอมแยกจากัน กู้ชูหน่วนเปลืองแรงไปมากมายกว่าจะส่งพวกเขาสองคนกลับไปได้ บนฟ้ามีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังไม่หยุด ลมฝนโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องราวกับพายุรุนแรง ยอดเขาโลหิตน้ำเต้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น เพราะความสั่นไหวอย่างแรงของยอดเขาทำให้ลาวาประทุขึ้นมา ซัดกระเซ็นไปบนโขดหิน ดอกไม้ใบหญ้าบนโขดหินที่แสนน่าสงสารจมอยู่ใต้ลาวา นี่คือศึกใหญ่ที่มีเพียงแค่ยอดฝีมืออันดับต้นๆ เท่านั้นที่จะก่อได้ กู้ชูหน่วนเงยหน้าไปมอง กลับพบว่ากลางอากาศมีมังกรไฟตัวสีทองที่ทั้งตัวโชกไปด้วยเลือดกำลังทะยานโลดแล่นพลางกรีดร้องไม่หยุด มังกรตัวใหญ่ยักษ์เพียงแค่สะบัดปลายหาง ยอดเขาลูกเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงก็ราบเป็นหน้ากอง ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือ ลูกไฟที่มันพ่นออกมา มีพื้นที่แผ่ขยายไปถึงครึ่งหนึ่งของเขาโลหิตน้ำเต้า คล้ายจะแผดเผาทำลายเขาโลหิตน้ำเต้าทั้งหมดให้สิ้นซาก นอกจากมังกรไฟ ยังมีผู้อาวุโสผมขาวอีกสี่คน ฝูกวงเอ่ย "นายหญิง สี่สุดยอดผู้อาวุโสระดับสูงแห่งเผาเทียนเฝินวิทยายุทธแก่กล้านัก พวกเขาปลีกวิเวกมานานหลายปี น้อยครั้งที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวทางโลก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เผ่าเทียนเฝิน