เวลาล่วงเลยมาเดือนกว่าแล้วที่เพ่ยเพ่ยได้เข้ามาอยู่ในร่างใหม่นี้ ยามนี้ร่างกายเธอกลับมาแข็งแรงดีแล้ว มีเพียงรอยแผลตรงข้อมือและข้อเท้าที่ยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่ารอยแผลจะไม่ปรากฏหรือบางทีอาจจะมีรอยจางๆ ให้เห็นไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
ตอนนี้เพ่ยเพ่ยเริ่มชินกับสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตประจำวันที่นี่ รวมถึงนิสัยใจคอของชิงชิงบ้างแล้ว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอ๋องหมิงไม่เคยย่างกรายเข้ามาในตำหนักจันทราเลย ไม่แม้แต่กระทั่งจะมาเยี่ยมดูอาการป่วยของนางเลยสักนิด แต่นั่นคือสิ่งที่เพ่ยเพ่ยต้องการ นางไม่ได้อยากเจอเขาเสียหน่อย
วันนี้อากาศดีกว่าทุกวันเพ่ยเพ่ยจึงได้ชวนชิงชิงให้ออกมาเดินเล่นที่สวนข้างตำหนักของนาง
ไม่ไกลจากตำหนักมีบ่อน้ำขนาดกลาง ภายในบ่อน้ำมีปลามากมายแหวกว่ายไปมา ดูแล้วก็ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง เพ่ยเพ่ยนั่งดูพวกมันแล้วปล่อยใจที่ว่างเปล่านึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายในอดีตจนไม่ได้สนใจรอบกาย
"คนอย่างเจ้ามีเรื่องต้องทุกข์ใจอันใด"
เพ่ยเพ่ยสะดุ้งตกใจเพราะเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ แต่เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่จึงไม่ได้ฟังว่าเขาพูดว่าอะไร
"ท่านอ๋องมีอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ"
"หึ ข้าถามว่าคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างเจ้า วันๆ จะมีเรื่องทุกข์ใจอันใด"
อะไรของเค้าวะ มาถึงก็แซะ
"อ้อ ก็ไม่มีหรอกเพคะ คุณหนูตระกูลใหญ่อย่างหม่อมฉันจะมีเรื่องทุกข์ใจอันใดได้ล่ะเพคะ ชีวิตสุขสบายออกปานนี้ หม่อมฉันเพียงแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น แล้วคนอย่างท่านอ๋องล่ะเพคะ มีเรื่องทุกข์ใจอันใดกับเขาด้วยหรือ"
"เจ้า อย่ามายอกย้อนกับเปิ่นหวาง"
"อ้าว ก็เห็นหน้าท่านอ๋องบูดเบี้ยวเช่นนั้น หม่อมฉันก็นึกว่าท่านอ๋องเป็นอันใดไปเสียอีก ดูเหมือนท่านอ๋องจะไม่สบายนะเพคะ"
เพ่ยเพ่ยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงถึงความห่วงใย
"หน้าข้ามันเป็นเช่นไร"
"ก็หน้าเหมือนไม่ได้ถ่ายท้องมาหลายวัน อย่างไรให้หมอหลวงจัดยาให้ท่านอ๋องดูสิเพคะ เผื่อว่าสีหน้าของท่านอ๋องจะดีขึ้นบ้าง"
พูดเสร็จเพ่ยเพ่ยก็ย่อตัวลา พร้อมกับสะบัดหน้าเดินหนีออกไปจากศาลาริมน้ำทันทีโดยไม่ต้องรอให้เขาไล่
'หมับ'
อ๋องหมิงคว้าข้อมือกระชากแขนของเพ่ยเพ่ยเอาไว้ ก่อนที่จะดึงแขนนางอย่างแรงจนตัวนางหมุนเข้ามาประจันหน้ากับเขา
"อย่ามาสามหาวกับข้า"
"หม่อมฉันเปล่านะเพคะ ทุกอย่างล้วนเตือนท่านอ๋องด้วยความหวังดี หม่อมฉันพูดอันใดผิดหรือเพคะ"
"เจ้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขในตำหนักอ๋องนี่แล้วก็จงบอกมา ข้าจะได้สนองให้"
"หึ ใครจะไม่อยากอยู่อย่างเป็นสุขล่ะเพคะ ทุกวันนี้หม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยที่ท่านอ๋องเมตตาไม่มาปรากฏกายให้เห็น หากท่านอ๋องจะทรงเมตตามากกว่านี้ หม่อมฉันว่าท่านอ๋องอย่างทรงลดตัวลงมาเสวนากับหม่อมฉันเลยเพคะ เจอหน้ากันก็ต่างคนต่างอยู่เถอะเพคะ"
เพ่ยเพ่ยจ้องตาอ๋องหมิงอย่างไม่เกรงกลัว นางพูดความในใจออกไปจนหมด
"หึ อย่ามาเล่นไม้นี้กับเปิ่นหวาง คราก่อนยังวางยาปลุกกำหนัดกับข้าอยู่แท้ๆ ครานี้มาทำเป็นไม่อยากรู้จักกันเพื่อจะดึงความสนใจจากข้าอย่างนั้นรึ ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ใช้กับข้าไม่ได้หรอก"
"เหอะ หม่อมฉันพูดจริงๆ จากใจเลยเพคะ หากท่านอ๋องไม่ทรงเชื่อก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วเพคะว่าหม่อมฉันคิดจริงอย่างที่พูดออกไปหรือไม่"
เพ่ยเพ่ยหมุนข้อมือแล้วสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดออกจากมือแกร่งของอ๋องหมิง
"หม่อมฉันขอตัวเพคะ…เบื่อ!"
เพ่ยเพ่ยกล่าวเน้นคำว่าเบื่อออกมาอย่างจงใจแล้วเร่งเดินหนีออกไปในทันที
"หึ…มารยาสาไถย"
อ๋องหมิงมองตามร่างบางอย่างไม่คิดที่จะเดินตามนางไป แม้ในใจจะโมโหกับกิริยามารยาทที่นางแสดงออกมามากเพียงใดก็ตาม เห็นว่านางเพิ่งจะหายดีจากการป่วย ครั้งนี้เขาจะปล่อยนางไปก่อนก็แล้วกัน
-ตำหนักจันทรา-
เพ่ยเพ่ยเอาแต่จ้องมองดูใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกทองเหลือง แม้จะมองเห็นไม่ชัดนัก แต่เธอก็พอจะดูออกว่าใบหน้านี้เรียกได้ว่างดงามมาก ดวงตากลมโต แพขนตายาวงอน ปากบางเป็นกระจับ ใบหน้าเรียวรูปไข่ จมูกรั้นเชิดขึ้นนิดหน่อย
เพอร์เฟค!
เพ่ยเพ่ยยกยิ้มพออกพอใจในรูปโฉมของตน แม้ว่าในชาติที่แล้วนางก็ถือว่าหน้าตาดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้งดงามถึงเพียงนี้ อีกทั้งความอ่อนเยาว์เช่นสาวแรกรุ่นนั่นก็ยิ่งทำให้หยางเพ่ยเพ่ยดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
"เฮ้อ!" อยู่ๆ เพ่ยเพ่ยก็ถอนหายใจออกมา
"ทำไมคนงามเช่นเราต้องมาติดแหง็กอยู่ในตำหนักอ๋องนี่ด้วยเล่า"
"คุณหนูว่าอะไรนะเจ้าคะ ข้าฟังไม่ถนัดเจ้าค่ะ"
เสียงใสจากชิงชิง ที่เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัย
"ไม่มีอะไรหรอกชิงชิง ข้าเพียงบ่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ข้าก็แค่เบื่อน่ะ อยากจะออกไปเปิดหูเปิดตาสูดอากาศข้างนอกบ้าง เราออกไปข้างนอกกันดีไหม"
"มันจะไม่งามนะเจ้าคะหรือถ้าคุณหนูอยากออกไปจริงๆ ลองไปทูลขออนุญาตจากท่านอ๋องก่อนดีไหมเจ้าคะ"
ชิงชิงแอบเป็นกังวลแทนเจ้านาย หากคุณหนูออกไปโดยไม่แจ้งท่านอ๋องก่อน อาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันตามมาหากว่าท่านอ๋องจับได้
"ไม่เป็นไรหรอกน่าชิงชิง เจ้าอย่ากลัวไปเลย ท่านอ๋องคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราออกไปจากตำหนัก เขาเคยมาสนใจพวกเราเสียที่ไหนกัน"
อย่าว่าแต่อ๋องหมิงเลย บ่าวไพร่คนอื่นก็ไม่เคยย่างกรายมาที่ตำหนักจันทราของเพ่ยเพ่ยเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าตำแหน่งพระชายาเอกของนางนั้นไร้ซึ่งความหมาย
"แต่ว่า..."
ชิงชิงยังพูดไม่ทันจบ เพ่ยเพ่ยก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
"ชิงชิง เจ้านี่กังวลเกินไปแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นมา ข้าจะรับผิดชอบเอง รีบไปเตรียมตัวซะ แล้วกลับมาเปลี่ยนชุดให้ข้าด้วย"
"อืม...ขอเป็นชุดบุรุษละกัน น่าจะปลอดภัยกว่า"
เพ่ยเพ่ยจ้องชิงชิง ส่งสายตาท่าทางจริงจังให้นาง
"เอ่อ…เจ้าค่ะ"
ข้าคงจะห้ามคุณหนูไม่ได้แล้วจริงๆ
ชิงชิงพยักหน้ารับคำอย่างจำใจ แล้วรีบไปเตรียมตัวทันที
-ห้องหนังสือ ตำหนักใหญ่-
"ศิษย์พี่ทานอีกหน่อยนะเจ้าคะ"
ฝูเหวินป้อนองุ่นให้อ๋องหมิง ที่กำลังเคร่งเครียดอยู่กับกองงานตรงหน้า
"อืม ขอบใจเจ้ามากเหวินเอ๋อ"
อ๋องหมิงรับองุ่นเข้าปาก แต่ก็ยังไม่ละสายตาออกมาจากกองกระดาษเหล่านั้น
"ศิษย์พี่พักผ่อนสักนิดดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านดูเคร่งเครียดเกินไปแล้ว"
"อืม ก็ดีเหมือนกัน"
อ๋องหมิงละสายตาจากกองเอกสารแล้วหันมายิ้มให้หญิงสาวข้างกาย
"ศิษย์พี่ เราออกไปนั่งจิบชากันที่ศาลาริมน้ำกันดีกว่านะเจ้าคะ วันนี้อากาศดี ข้าอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกเจ้าค่ะ"
ฝูเหวินเอ่ยแล้วช้อนสายตาออดอ้อนอย่างที่นางชอบทำและอ๋องหมิงเองก็เอ็นดูนางยิ่งนักยามที่นางออดอ้อนเขาเช่นนี้
"เจ้าหายดีแล้วหรือเหวินเอ๋อ หากออกไปตากลมยามนี้ศิษย์พี่เกรงว่าเจ้าจะไม่สบายไปอีก"
"ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะไม่เป็นอันใดแล้ว เราออกไปกันนะเจ้าคะ"
ฝูเหวินสบตาออดอ้อนและอ๋องหมิงก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ลูกอ้อนของนางทุกที
"ตามแต่ใจเจ้า ขอข้าอ่านรายงานฉบับนี้จบแล้วเราออกไปเดินเล่นกัน"
ฝูเหวินยิ้มให้อ๋องหมิง รู้สึกพอใจที่เขานั้นตามใจตนเสมอ
-ตำหนักจันทรา-
"คุณหนูแต่งเช่นนี้แล้วเหมือนบัณฑิตหนุ่มรูปงามเลยนะเจ้าคะ"
ชิงชิงชื่นชมคุณหนูของนางที่บัดนี้แปลงโฉมใส่ชุดบุรุษเรียบร้อยแล้ว
"เจ้าก็หล่อเหลาไม่แพ้กันนะชิงชิง มานี่มา เจ้าต้องลบเครื่องประทินโฉมพวกนี้ออกเสียก่อน มันมากจนเกินไป เกินกว่าที่จะดูเป็นบุรุษ"
เพ่ยเพ่ยรวบพัดแล้วเคาะไปบนหัวชิงชิงเบาเบาอย่างคุณชายเจ้าสำราญ นางยกยิ้มหัวเราะ ตื่นเต้นดีใจสุดๆ ที่จะได้ออกไปเดินเยี่ยมชมตลาด
เมื่อทั้งสองนายบ่าวแปลงโฉมเรียบร้อยแล้วก็พากันย่องเดินไปยังประตูท้ายตำหนักที่มีไว้ให้พวกคนรับใช้เข้าออกและก็เป็นดังที่เพ่ยเพ่ยคิด ไม่มีใครสนใจพวกนางเลย
เพ่ยเพ่ยมองดูถนนสายหลักที่ทอดยาวในตลาดอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอแวะเข้าออกร้านนู้นทีร้านนี้ที อันที่จริงแล้วเธอเดินเข้าแทบจะทุกร้าน เรียกได้ว่าเป็นการสำรวจตลาดแบบทุกซอกทุกมุมเลยก็ว่าได้
เพ่ยเพ่ยเดินเข้าออกหลายร้านก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ร้านขายมีดร้านหนึ่ง
"คุณชาย ท่านต้องการมีดแบบไหนรึขอรับ ร้านข้ามีมีดหลายแบบหลายขนาดเลย ท่านสนใจมีดแบบไหนเป็นพิเศษ ข้าช่วยแนะนำให้ท่านได้นะขอรับ"
"เถ้าแก่พอจะมีมีดสั้นที่เอาไว้ใช้สำหรับป้องกันตัวหรือไม่ข้าขอดูหน่อย"
เพ่ยเพ่ยถามด้วยความสนใจ
"มีขอรับคุณชาย"
ไม่นานเถ้าแก่ก็นำมีดสี่ห้าเล่มออกมาจากหลังร้านให้เพ่ยเพ่ยได้เลือกสรร
เพ่ยเพ่ยจับมีดพลิกไปพลิกมา เธอลองโยนมีดไปมาเพื่อหาเล่มที่นางใช้ถนัดมือมากที่สุด
"ข้าเอาเล่มนี้ก็แล้วกันเถ้าแก่"
"แล้วท่านพอจะมีมีดบินหรือไม่ ขอมีดเล็กสักสองสามเล่มที่พอจะซ่อนไว้ใช้เป็นอาวุธลับได้บ้างไหม"
เพ่ยเพ่ยลดเสียงขณะถามคำถามกับเถ้าแก่ร้านมีด
"มีขอรับคุณชาย ท่านต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ขอรับ"
เถ้าแก่ถามพลางส่งมีดบินให้เพ่ยเพ่ยดู
"เอาแค่เท่านี้ก่อนเถ้าแก่"
"ขอรับคุณชาย"
เพ่ยเพ่ยจ่ายเงินเสร็จก็เดินออกจากร้านไป พร้อมกับชิงชิงที่ทำหน้าฉงน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าคุณหนูจะเอามีดพวกนี้ไปทำอะไรกัน
หึ…ช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจนัก
บุรุษรูปงามในชุดสีน้ำเงินยกยิ้มในใจ เขาพอจะดูออกว่าพวกนางเป็นสตรีที่ปลอมเป็นชาย ขนาดปลอมเป็นชายยังดูรูปงามขนาดนี้ หากแต่งเป็นหญิงนางจะงดงามขนาดไหน
ท่าทางที่นางโยนมีดไปมานั้นดูชำนาญอย่างมาก เหมือนคนที่เคยใช้มีดในการต่อสู้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมของนางที่ดูสะดุดตา จึงทำให้เขานึกสนใจนางอยู่ไม่น้อยเลย
เขาลอบมองดูเพ่ยเพ่ยตั้งแต่ที่พวกนางเดินเข้ามาในร้านขายมีดแล้ว แต่ด้วยความตื่นเต้นเพ่ยเพ่ยจึงไม่ได้สังเกตเห็นเขา
"คารวะท่านรองแม่ทัพไป๋ มีดที่ท่านสั่งทำไว้ได้แล้วขอรับ ไม่คิดว่าท่านจะมารับด้วยตัวเอง ข้ากำลังจะให้ลูกน้องนำไปให้ที่จวนอยู่พอดีเลยขอรับ"
เถ้าแก่ร้านมีดกล่าวทักทายบุรุษชุดน้ำเงินผู้นั้น
"ไม่ลำบากท่านหรอกเถ้าแก่ ข้าผ่านมาแถวนี้พอดีจึงแวะเข้ามาดูว่าของที่สั่งไว้ทำเสร็จแล้วหรือยัง"
"ไม่ลำบากอะไรเลยขอรับ นี่ขอรับมีดที่ท่านรองแม่ทัพสั่งทำ เชิญท่านตรวจสอบได้เลยขอรับ"
เถ้าแก่ยื่นมีดให้เขาอย่างนอบน้อม
'ไป๋หลิงฟง' รับมีดเล่มนั้นมา เมื่อตรวจสอบจนพอใจแล้วจึงเดินออกมาจากร้านขายมีด เขากวาดสายตามองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสตรีปลอมเป็นบุรุษสองนางนั้นแล้ว
"หากมีวาสนาคงได้เจอกันอีก"
ไป๋หลิงฟงกล่าวกับตัวเอง สายตาก็จับจ้องไปบนถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน
เพ่ยเพ่ยเดินเล่นในตลาดจนเริ่มเหนื่อยและเริ่มหิว เธอจึงชวนชิงชิงเข้าไปหาอะไรทานในโรงเตี๊ยมหรูหราที่ตั้งอยู่ใจกลางตลาด
เพ่ยเพ่ยมองสถานที่ตรงหน้า 'โรงเตี๊ยมมู่เหอ'
ทำเลดีไม่น้อยเลย กิจการก็ใหญ่โต หากข้าสามารถมีกิจการแบบนี้ได้บ้างก็คงดี
"คุณหนูจะรับสำรับที่นี่หรือเจ้าคะ"
ชิงชิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
"ใช่สิ ทำไมล่ะ ไม่ได้หรือ ข้าหิวมากแล้ว อีกอย่างเจ้าห้ามเรียกข้าว่าคุณหนู เจ้าต้องเรียกข้าว่าคุณชาย เข้าใจไหม"
"เอ่อ…ขอรับคุณชาย ข้าเพียงคิดว่าที่นี่เป็นร้านดัง ผู้คนพลุกพล่านมากเกินไป ข้ากลัวว่าคุณชายอาจจะพบปะคนรู้จักเข้าได้ขอรับ"
"จริงสิ ข้าก็ลืมไป แต่กินที่นี่แหล่ะ ไม่มีใครจำเราได้หรอกอย่าลืมสิว่าวันนี้เราปลอมตัวเป็นบุรุษ"
เพ่ยเพ่ยพูดจบก็ไม่รอให้ชิงชิงคัดค้าน เธอหมุนตัวแล้วรีบเดินเข้าไปในร้านทันที เธอหิวมากและไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยนร้านแล้ว
"คุณชายมากันสองท่านใช่ไหมขอรับ"
เสี่ยวเอ้อเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
"ใช่แล้ว ช่วยหาที่นั่งเงียบๆ ให้ข้าที แล้วช่วยจัดชาชั้นดีกับอาหารขึ้นชื่อของที่นี่มาให้ข้าสักสองสามอย่างด้วย"
เพ่ยเพ่ยกดเสียงเข้ม สั่งอาหารฉะฉานราวกับว่าเป็นคนในยุคสมัยนี้ แต่หารู้ไม่ นางนั้นพูดตามบทในนิยายจีนที่ตัวเองเคยอ่านมาเป๊ะๆ
เพ่ยเพ่ยและชิงชิงนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง
อืม…วิวดีมากจริงๆ
เพ่ยเพ่ยคิดแล้วก็มองออกไปชมวิวนอกร้านสอดส่ายสายตาดูวิถีชีวิตของชาวบ้านในตลาด
ที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากโต๊ะที่พวกนางนั่งอยู่ บุรุษรูปงามสองคนก็กำลังนั่งสนทนากันอยู่ บุรุษในชุดสีน้ำเงินสอดส่ายสายตาไปมองเพ่ยเพ่ยทันทีที่นางเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง
หรือเราจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ สาวน้อย
เขายกยิ้มมุมปากขึ้นจนบุรุษชุดขาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องหันไปมองตามสายตาของเขาด้วยความสงสัยใครรู้
หืมบุรุษงั้นรึ นึกว่าจะมองคุณหนูบ้านไหนเสียอีก
แล้วทำไมบุรุษร่างบางสองคนนั้นจึงดูคุ้นตานัก ชายชุดขาวมองบุรุษสองคนไปมาจนหัวคิ้วเริ่มย่นเข้าหากัน
หึ…คงจะไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดหรอกนะ!
เพ่ยเพ่ยรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอจึงได้หันหน้าไปมองอย่างไม่เกรงกลัว เธอสบสายตาเข้ากับบุรุษชุดขาว พลันความทรงจำของหยางเพ่ยเพ่ยก็ปรากฏชัดขึ้นมาในหัว
"ซวยแล้ว! ชิงชิงนั่นคงจะไม่ใช่พี่ชายของข้าหรอกใช่ไหม"
เพ่ยเพ่ยหน้าตาบูดเบี้ยวแทบจะดูไม่ได้ ชิงชิงหันไปมองตามเพ่ยเพ่ย ก่อนที่จะตกใจจนเกือบจะทำจอกน้ำชาหล่นลงพื้น
"คุณชายใหญ่!"