เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเกี้ยวหน้าจวน อนุลิ่วเดินจูงบุตรสาวมาส่งขึ้นเกี้ยวที่หน้าประตูจวนตระกูลหยู โดยมีนายท่านหยูและฮูหยินรวมถึงบุตรสาวและบุตรชายบางคนมายืนอยู่ด้วย ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดจะมายืนรอส่งเจ้าสาวที่เป็นบุตรสาวตระกูลหยูเช่นกัน แต่พวกเขามายืนรอดูเพื่อให้แน่ใจว่าเพ่ยอันขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว และเกี้ยวนี้ทางวังหลวงส่งมาพร้อมกับสินสอดหนึ่งหีบเล็ก นับเป็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถใจไม่่น้อย
ขบวนเจ้าสาวที่ออกเดินทางมีเพียงเกี้ยวและบ่าวชายที่หาบสินสอดหีบเล็กใส่ตระกร้าสานใบใหญ่และอีกด้านของตระกร้าสานนั้นเป็นหีบใส่ข้าวของๆเจ้าสาว เดินตามขบวนเกี้ยวไปเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนติดตามเจ้าสาว ไม่มีสาวใช้แม้สักคนเดียวไปกับเกี้ยวด้วย สินเดิมของเจ้าสาวนั้นไม่มี สินสอดนั้นก็มีที่ทางวังหลวงจัดมาให้เพียงหีบเดียว ส่วนสินสอดของเจ้าบ่าวนั้นไม่มี และย่อมไม่มีเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวด้วยเช่นกัน
อนุลิ่วจ้องมองเกี้ยวเจ้าสาวอย่างสะท้อนใจ บุตรสาวของตนเป็นบุตรีขุนนาง มีราชโองการได้สมรสกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่ขบวนส่งเจ้าสาวกลับน่าอนาถเพียงนี้ ยิ่งกว่าที่นางเคยเห็นขบวนเจ้าสาวของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในเมืองนี้เสียอีก นางกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะเกรงว่าจะไม่เป็นมงคลต่อบุตรสาวของตนเอง มืออูมที่ด้านในมือสากเพราะต้องทำงานหนักมาแทบจะทั้งชีวิต เป็นอนุอยู่ในจวนขุนนางแต่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายเลย เบี้ยหวัดที่ควรได้มายังชีพก็เพียงเล็กน้อย แทบจะไม่พอประทังชีวิตของสองแม่ลูก แต่นางก็เพียรไปหางานรับจ้างมาทำที่เรือนให้พอมีเงินประทังชีวิตโดยไม่ถึงกับอดอยากมากนักและยังมีเงินเก็บออมเอาไว้บ้าง เผื่อยามฉุกเฉินจะได้มีเงินทองเอาให้ใช้จ่าย
อนุลิ่วควักถุงผ้าเล็กๆออกมาจากเอวของนาง แล้วใส่เอาไว้ในมือของบุตรสาว “ อันเอ๋อ เจ้าเอาเงินนี้ติดตัวไว้นะ แม่ไม่รู้ว่าที่จวนของท่านอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่เราควรมีเงินติดตัวเอาไว้บ้างเผื่อยามลำบาก ” เพ่ยอันแทบไม่อยากจะรับเงินจากมารดามาเลย เพราะนางเป็นห่วงมารดาที่อยู่เพียงลำพังจะลำบาก เผื่อยามเจ็บไข้จะได้มีเงินซื้อหยุกยาบ้าง “ แม่แบ่งเงินเอาไว้แล้ว แค่แบ่งให้ลูกติดตัวไปบ้าง ไม่ต้องห่วงตอนนี้แม่แข็งแรงดีและยังมีงานทำอยู่เรื่อยๆ คงจะพอเก็บเงินได้อีก ไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ” นางยัดเงินใส่มือของบุตรสาวจนได้ สองแม่ลูกกอดกันแน่นอย่างแสนคิดห่วงหาอาทรกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยแยกห่างกันเลย และไม่คิดว่าวันที่ต้องจากกันจะมาถึงเร็วปานนี้
“ เอาละ อย่าอ้อยสร้อยให้มันมากนัก มันจะเลยฤกษ์มงคลไปเสียเปล่า ” เสียงของฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้น เพราะนางเห็นสองแม่ลูกร่ำลากันนานมากแล้ว “ ใช่ รีบไปเสียเถิด มันจะเลยฤกษ์ยาม ไม่ต้องเป็นห่วงกันมากขนาดนั้น นางได้แต่งเป็นชายาอ๋องนะ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ” นายท่านหยูหลี่กงเอ่ยขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดจนจบประโยคว่า อ๋องที่ไร้บรรดาศักดิ์ ไร้ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจเท่านั้น แถมจวนยังถูกยึดไปต้องย้ายไปอยู่จวนร้างท้ายตลาดอีกด้วย นับเป็นบิดาที่ใช้ไม่ได้ ไม่มีความเป็นห่วงบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ เอาละ อันเอ๋อรีบขึ้นเกี้ยวไปเสียเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ หากเจ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมแม่ หรือว่าหากแม่ไปส่งงานที่ร้านอาภรณ์ที่ตลาดแม่จะแวะไปเยี่ยมนะ เราไม่ได้จากกันไกล เรายังพบกันได้ ” อนุลิ่วเอ่ยขึ้น เพ่ยอันพยักหน้านางกอดมารดาอีกครั้งแล้วก็ยอมเดินขึ้นเกี้ยวไปแต่โดยดี ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนในตระกูลหยูที่เกรงกลัวอาญาจากฮ่องเต้หากไม่ทำตามมราชโองการ จึงโล่งใจนักที่บัดนี้กาฝากตระกูลหยูอย่างหยูเพ่ยอันนั้นได้จากไปแล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองเบี้ยหวัดในการเลี้ยงดูอีก เหลือเพียงมารดาของนางที่คงจะต้องลดเบี้ยหวัดที่เคยให้ลงไป เพราะตอนนี้เหลือแค่ปากท้องเดียวจะต้องใช้เงินอะไรกันมากมาย
ฮูหยินใหญ่ครุ่นคิดตามภาษาคนใจดำ ที่มีความเมตตาต่อคนที่ไม่ใช่ครอบครัวของตนเองน้อยเต็มที แล้วทั้งหมดก็หันหลังเดินกลับเข้าจวนไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เหลือเพียงอนุลิ่วที่ยังคงจ้องมองตามเกี้ยวของบุตรสาวไปจนลับตา นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วปลอบใจตนเองว่าคงไม่เป็นไร บุตรสาวแค่จากไปไม่ไกลนัก นางจะหมั่นไปเยี่ยมเพื่อดูความเป็นอยู่ของนาง หากทำได้นางจะลาออกจากจวนนี้ไปอยู่กับบุตรสาวในอนาคต เมื่อคิดได้เช่นนี้อนุลิ่วก็ใจชื้นขึ้น แล้วเดินกลับเข้าจวนไป
เมื่อผ่านเรือนหลักก็ไม่เห็นใครสักคนแล้ว คนพวกนั้นไร้น้ำใจต่อนางและบุตรสาวจริงๆ ไม่เห็นว่าบุตรสาวของนางก็เป็นบุตรของตระกูลหยูเช่นกัน อนุลิ่วถอนหายใจน้อยๆระหว่างที่เดินกลับไปยังเรือนเล็กที่ท้ายจวนของตนเอง มีสามีผิดคิดจนตัวตายอย่างแท้จริง นางครุ่นคิด
เมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าประตูจวนที่ดูเงียบเชียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้น ทั้งขบวนมีเพียงคนหามเกี้ยวตามประเพณีและคนหาบสินสอดที่มีเพียงหีบเล็กๆใบเดียวและมีหีบเก่าๆใส่ข้าวของๆเจ้าสาวเพียงเท่านั้น ตามหลังมานั้นหยุดลงที่หน้าประตูแล้ว ก็มีเสียงร้องบอกให้กับเจ้าสาวรู้ เพ่ยอันเปิดผ้าม่านดูก็พบว่ามาถึงที่จวนของเจ้าบ่าวแล้ว แต่มันดูทรุดโทรมและเงียบเชียบยิ่งนัก ไม่มีคนออกมารอรับที่หน้าประตูจวนเหมือนที่นางเคยเห็นในงานแต่งของคนอื่น เพ่ยอันก้าวเท้าลงจากเกีี้ยวและบ่าวชายคนที่หาบตระกร้าสานใส่หีบสองใบนั้นก็เดินตรงมาหานาง
“ คุณหนูขอรับหีบสองใบนี้จะเอาวางไว้ที่ใดขอรับ ข้าจะได้หาบเข้าไปไว้ด้านในให้ ” เพ่ยอันเปิดประตูจวนออกกว้างแล้วเดินเข้าไปในลานกว้างนั้น นางชี้มือไปที่หน้าเรือน “ เอาวางไว้ที่หน้าเรือนก็ได้จ๊ะ ข้ายังไม่รู้ว่าจะพักห้องไหน ” บ่าวชายคนนั้นจึงได้หาบตระกร้าสานใบใหญ่นั้นตรงไปที่หน้าเรือนที่มีเพียงหลังเดียวในจวนเล็กนั้น เขายกหีบใบใหญ่วางริมผนังเรือนและยกหีบใบเล็กวางซ้อนกันเอาไว้ แล้วเดินกลับมาหาเพ่ยอัน
“ คุณหนูขอรับ ข้าส่งคุณหนูแค่นี้นะขอรับ แล้วจะกลับกันเลย ขอให้คุณหนูมีความสุขมากๆ มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ร่ำรวย เฮงๆ นะขอรับ ” บ่าวชายผู้นั้นออกปากอวยพรคุณหนูเล็กของจวนหยูที่เขาเป็นบ่าวอยู่ที่นั่นเพราะเขาเวทนานางเต็มทน เมื่อเห็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถเช่นนี้ เขาเป็นบ่าวมาหลายสิบปีก็เพิ่งเคยเห็น แต่ก็นั่นแหละเขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าสภาพของสองแม่ลูกที่จวนหยูนั้นเป็นอย่างไร น่าสงสารกว่าหญิงชาวบ้านทั่วไปอีก
หลังจากบ่าวชายที่อุตส่าห์มีน้ำใจเอ่ยคำอวยพรให้นางกลับไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวที่ก็กลับไปเช่นกัน ที่หน้าประตูจวนนั้นมีเพียงเพ่ยอันยืนอยู่เพียงผู้เดียว ในลานหน้าบ้านนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว ตรงหน้าของนางคือเรือนขนาดเล็กเป็นเรือนแถวยาวคงจะมีห้องอยู่เพียงไม่กี่ห้องและมองไปเห็นเรือนเล็กที่ปลูกติดกันนั่นน่าจะเป็นโรงครัว เพราะที่ด้านหน้าเรือนมีโอ่งน้ำขนาดใหญ่สามโอ่งตั้งเรียงรายอยู่และมีชั้นวางของอยู่ใกล้ๆกันในลานกว้างมีต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่สามต้นปลูกอยู่ในลานหน้าเรือน และมีกระถางต้นไม้เรียงรายอยู่หลายกระถางแต่ต้นไม้ในนั้นล้วนเหี่ยวแห้งเหมือนไม่มีคนรดน้ำมานานแล้ว มีอ่างบัวขนาดไม่ใหญ่มากสองอ่างที่ใต้ชายคาเรือนแต่ในอ่างบัวไม่มีน้ำสักหยดในอ่างนั้นก็แห้งผากมีแต่ซากต้นไม้แห้งอยู่ในนั้นนางหันไปรอบๆก็ไม่พบใครสักคน จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องใกล้กับโรงครัวแล้วเปิดประตูออกมองเข้าไปพบว่ามันเป็นห้องว่างเปล่า มีเตียงไม้ขนาดกลางวางอยู่ริมผนัง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆ อยู่หนึ่งชุด มีโต๊ะเครื่องแป้งที่เก่าพอๆกับเครื่องเรือนทุกอย่างในห้อง แต่มันก็พอใช้งานได้ ในห้องนี้มีฝุ่นจับหนามาก คง
“ ก่อนอื่นข้าจะไปสำรวจในครัวก่อนก็แล้วกันนะว่ามีอะไรกินบ้าง แล้วจะลงมือทำความสะอาดห้องพักของข้าก่อน พวกท่านกินอะไรกันหรือยัง ” ชายร่างผอมส่ายหน้า “ ยัง วันนี้ข้ายังไม่ได้ลงจากเตียงเลย ” เพ่ยอันจ้องมองบนเตียงของเขาพบว่าเขาน่าจะยังไม่ได้อาบน้ำและบุตรสาวของเขาก็มอมแมมพอกัน เพราะคนขาเจ็บคงจะลุกจากเตียงลำบากมาก“ ข้าจะพยุงท่านไปเข้าห้องน้ำและอาบน้ำให้สะอาดก่อนนะ แล้วจะอาบน้ำให้เด็กน้อยคนนี้ เจ้าชื่อว่าลี่หลิน น้าเรียกเจ้าว่าอาหลินก็แล้วกันนะ จะได้เรียกง่ายๆ ดีไหมจ๊ะ ” นางหันไปพูดกับเด็กน้อยที่ดวงตากลมโตจ้องมองนางตาแป๋วแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ อาหลินจะตามไปด้วยกันก็ได้นะ น้าจะได้อาบน้ำให้เจ้าพร้อมกับท่านพ่อเลย ” เพ่ยอันพับแขนเสื้อของตนเองแล้วผูกเอาไว้ วันนี้คงจะเหนื่อยแน่ งานยังมีให้ทำอีกมากมาย นางเข็นรถเข็นไม้ไปจนชิดกับเตียงหลังใหญ่ของเขา แล้วค่อยๆพยุงเขาขยับมานั่งบนรถเข็นของตนเองจนได้ ขาของเขาน่าจะหักหลายที่ มันคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด “ ท่านยังเจ็บอยู่ไหม ” ชายหนุ่มพยักหน้า“ เจ็บอยู่ คิดว่ากระดูกคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด แต่แผลนั้นหายแล้ว ไม่ต้องล้างแผลแล้ว ” เขาบอกขณะที่เพ่ยอันจัดท่
เมื่อข้าวสุกและอาหารก็เสร็จแล้ว เพ่ยอันก็ตักข้าวใส่ในจานสองจานและถ้วยใบเล็กสำหรับเด็ก แล้วตักไข่เป็นสามส่วน เอาชิ้นใหญ่สุดให้กับพ่อเด็ก แล้วตักชิ้นเล็กใส่ลงมาชามใบเล็กนั้น แล้วเดินถือชามใบเล็กออกไปส่งให้กับเด็กน้อยที่รอคอยอยู่ด้วยความหิว เด็กหญิงรับชามข้าวไปอย่างยินดีแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยส่วนเพ่ยอันเดินไปหาพ่อเด็กที่บัดนี้ห่มผ้าที่นางพาดเอาไว้ให้แล้ว และกำลังพยายามเข็นรถไปที่ห้องนอนของตนเอง “ ข้าช่วยท่านเข็นดีกว่ามือจะได้ไม่เปื้อน ” แล้วนางก็เดินตรงไปช่วยเข็นรถนั้นตรงไปที่หน้าห้องของเด็กหญิงตอนนี้แดดยังร่มเพราะชายคาของเรือนนี้ก็กว้างพอสมควร กว่าแดดจะส่องมาที่บริเวณระเบียงหน้าเรือนก็คงจะเป็นช่วงบ่ายคล้อยแล้ว “ ท่านนั่งอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปหยิบชามข้าวมาให้ ” แล้วเพ่ยอันก็เดินกลับไปในครัวแล้วยกจานข้าวมาส่งให้เขา อ๋องหนุ่มรับเอาไว้ แล้วจ้องมองใบหน้าหวานของเมียหมาดๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันโดยราชโองการที่คนออกคำสั่งนั้นต้องการหยามหน้าเชาโดยการให้แต่งงานกับบุตรีของขุนนางที่ต่ำต้อยและไม่มีความสำคัญใด ไม่มีความสามารถโดดเด่น ที่ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับนี้ได้ก็เพราะการหนุนหลังของครอบครัวเ
ตระกูลหยูของหยูหลี่กงขุนนางขั้นสองได้รับราชโองการให้บุตรสาวของเขาแต่งงานกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่แทนที่ตระกูล หยูจะดีใจที่บุตรสาวนั้นจะได้เป็นถึงพระชายาของท่านอ๋อง กลับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องน้อมรับราชโองการนั้นเอาไว้ หลังจากเฉากงกงเดินออกไปจากจวนตระกูลหยูแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็หันไปพูดกับสามี“ ท่านพี่เจ้าคะ ข้าไม่ยอมให้ลูกของเราแต่งงานกับอ๋องนั่นอย่างเด็ดขาด คนไม่มีอนาคตอย่างนั้นใครจะอยากส่งบุตรสาวไปเป็นภรรยาของเขากัน ” นายท่านหยูขุนนางการคลังขั้นสองนิ่งอึ้งไปเช่นกัน “ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า ในเมื่อมันเป็นราชโองการที่ต้องให้บุตรสาวของข้าแต่งงานกับอ๋องผู้นั้นแล้วไปอยู่ที่จวนกับเขา ” ฮูหยินใหญ่ที่ไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวที่นางรักและเลี้ยงดูมาอย่างกับไข่ในหินแต่งงานไปกับคนพิการแถมยังไร้สิ้นยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินเพราะถูกริบไปหมดแล้ว จึงได้ตัดสินใจเอ่ยว่า“ ก็บุตรสาวของท่านพี่ไม่ได้มีแค่ลูกของเรานี่เจ้าคะ ยังมีเพ่ยอันอีกคน ถ้าเช่นนั้นให้นางแต่งงานกับอ๋องนั่นไปก็แล้วกัน ท่านพี่จะขัดข้องไหมเจ้าคะ “ นางหันไปจ้องมองสามี และแน่นอนว่านายท่านหยูหลี่กงที่ไม่เคยมีปากเสียงกับฮูหยินของต
เมื่อข้าวสุกและอาหารก็เสร็จแล้ว เพ่ยอันก็ตักข้าวใส่ในจานสองจานและถ้วยใบเล็กสำหรับเด็ก แล้วตักไข่เป็นสามส่วน เอาชิ้นใหญ่สุดให้กับพ่อเด็ก แล้วตักชิ้นเล็กใส่ลงมาชามใบเล็กนั้น แล้วเดินถือชามใบเล็กออกไปส่งให้กับเด็กน้อยที่รอคอยอยู่ด้วยความหิว เด็กหญิงรับชามข้าวไปอย่างยินดีแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยส่วนเพ่ยอันเดินไปหาพ่อเด็กที่บัดนี้ห่มผ้าที่นางพาดเอาไว้ให้แล้ว และกำลังพยายามเข็นรถไปที่ห้องนอนของตนเอง “ ข้าช่วยท่านเข็นดีกว่ามือจะได้ไม่เปื้อน ” แล้วนางก็เดินตรงไปช่วยเข็นรถนั้นตรงไปที่หน้าห้องของเด็กหญิงตอนนี้แดดยังร่มเพราะชายคาของเรือนนี้ก็กว้างพอสมควร กว่าแดดจะส่องมาที่บริเวณระเบียงหน้าเรือนก็คงจะเป็นช่วงบ่ายคล้อยแล้ว “ ท่านนั่งอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปหยิบชามข้าวมาให้ ” แล้วเพ่ยอันก็เดินกลับไปในครัวแล้วยกจานข้าวมาส่งให้เขา อ๋องหนุ่มรับเอาไว้ แล้วจ้องมองใบหน้าหวานของเมียหมาดๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันโดยราชโองการที่คนออกคำสั่งนั้นต้องการหยามหน้าเชาโดยการให้แต่งงานกับบุตรีของขุนนางที่ต่ำต้อยและไม่มีความสำคัญใด ไม่มีความสามารถโดดเด่น ที่ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับนี้ได้ก็เพราะการหนุนหลังของครอบครัวเ
“ ก่อนอื่นข้าจะไปสำรวจในครัวก่อนก็แล้วกันนะว่ามีอะไรกินบ้าง แล้วจะลงมือทำความสะอาดห้องพักของข้าก่อน พวกท่านกินอะไรกันหรือยัง ” ชายร่างผอมส่ายหน้า “ ยัง วันนี้ข้ายังไม่ได้ลงจากเตียงเลย ” เพ่ยอันจ้องมองบนเตียงของเขาพบว่าเขาน่าจะยังไม่ได้อาบน้ำและบุตรสาวของเขาก็มอมแมมพอกัน เพราะคนขาเจ็บคงจะลุกจากเตียงลำบากมาก“ ข้าจะพยุงท่านไปเข้าห้องน้ำและอาบน้ำให้สะอาดก่อนนะ แล้วจะอาบน้ำให้เด็กน้อยคนนี้ เจ้าชื่อว่าลี่หลิน น้าเรียกเจ้าว่าอาหลินก็แล้วกันนะ จะได้เรียกง่ายๆ ดีไหมจ๊ะ ” นางหันไปพูดกับเด็กน้อยที่ดวงตากลมโตจ้องมองนางตาแป๋วแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ อาหลินจะตามไปด้วยกันก็ได้นะ น้าจะได้อาบน้ำให้เจ้าพร้อมกับท่านพ่อเลย ” เพ่ยอันพับแขนเสื้อของตนเองแล้วผูกเอาไว้ วันนี้คงจะเหนื่อยแน่ งานยังมีให้ทำอีกมากมาย นางเข็นรถเข็นไม้ไปจนชิดกับเตียงหลังใหญ่ของเขา แล้วค่อยๆพยุงเขาขยับมานั่งบนรถเข็นของตนเองจนได้ ขาของเขาน่าจะหักหลายที่ มันคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด “ ท่านยังเจ็บอยู่ไหม ” ชายหนุ่มพยักหน้า“ เจ็บอยู่ คิดว่ากระดูกคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด แต่แผลนั้นหายแล้ว ไม่ต้องล้างแผลแล้ว ” เขาบอกขณะที่เพ่ยอันจัดท่
หลังจากบ่าวชายที่อุตส่าห์มีน้ำใจเอ่ยคำอวยพรให้นางกลับไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวที่ก็กลับไปเช่นกัน ที่หน้าประตูจวนนั้นมีเพียงเพ่ยอันยืนอยู่เพียงผู้เดียว ในลานหน้าบ้านนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว ตรงหน้าของนางคือเรือนขนาดเล็กเป็นเรือนแถวยาวคงจะมีห้องอยู่เพียงไม่กี่ห้องและมองไปเห็นเรือนเล็กที่ปลูกติดกันนั่นน่าจะเป็นโรงครัว เพราะที่ด้านหน้าเรือนมีโอ่งน้ำขนาดใหญ่สามโอ่งตั้งเรียงรายอยู่และมีชั้นวางของอยู่ใกล้ๆกันในลานกว้างมีต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่สามต้นปลูกอยู่ในลานหน้าเรือน และมีกระถางต้นไม้เรียงรายอยู่หลายกระถางแต่ต้นไม้ในนั้นล้วนเหี่ยวแห้งเหมือนไม่มีคนรดน้ำมานานแล้ว มีอ่างบัวขนาดไม่ใหญ่มากสองอ่างที่ใต้ชายคาเรือนแต่ในอ่างบัวไม่มีน้ำสักหยดในอ่างนั้นก็แห้งผากมีแต่ซากต้นไม้แห้งอยู่ในนั้นนางหันไปรอบๆก็ไม่พบใครสักคน จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องใกล้กับโรงครัวแล้วเปิดประตูออกมองเข้าไปพบว่ามันเป็นห้องว่างเปล่า มีเตียงไม้ขนาดกลางวางอยู่ริมผนัง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆ อยู่หนึ่งชุด มีโต๊ะเครื่องแป้งที่เก่าพอๆกับเครื่องเรือนทุกอย่างในห้อง แต่มันก็พอใช้งานได้ ในห้องนี้มีฝุ่นจับหนามาก คง
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเกี้ยวหน้าจวน อนุลิ่วเดินจูงบุตรสาวมาส่งขึ้นเกี้ยวที่หน้าประตูจวนตระกูลหยู โดยมีนายท่านหยูและฮูหยินรวมถึงบุตรสาวและบุตรชายบางคนมายืนอยู่ด้วย ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดจะมายืนรอส่งเจ้าสาวที่เป็นบุตรสาวตระกูลหยูเช่นกัน แต่พวกเขามายืนรอดูเพื่อให้แน่ใจว่าเพ่ยอันขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว และเกี้ยวนี้ทางวังหลวงส่งมาพร้อมกับสินสอดหนึ่งหีบเล็ก นับเป็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถใจไม่่น้อยขบวนเจ้าสาวที่ออกเดินทางมีเพียงเกี้ยวและบ่าวชายที่หาบสินสอดหีบเล็กใส่ตระกร้าสานใบใหญ่และอีกด้านของตระกร้าสานนั้นเป็นหีบใส่ข้าวของๆเจ้าสาว เดินตามขบวนเกี้ยวไปเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนติดตามเจ้าสาว ไม่มีสาวใช้แม้สักคนเดียวไปกับเกี้ยวด้วย สินเดิมของเจ้าสาวนั้นไม่มี สินสอดนั้นก็มีที่ทางวังหลวงจัดมาให้เพียงหีบเดียว ส่วนสินสอดของเจ้าบ่าวนั้นไม่มี และย่อมไม่มีเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวด้วยเช่นกัน อนุลิ่วจ้องมองเกี้ยวเจ้าสาวอย่างสะท้อนใจ บุตรสาวของตนเป็นบุตรีขุนนาง มีราชโองการได้สมรสกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่ขบวนส่งเจ้าสาวกลับน่าอนาถเพียงนี้ ยิ่งกว่าที่นางเคยเห็นขบวนเจ้าสาวของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในเมือง
ตระกูลหยูของหยูหลี่กงขุนนางขั้นสองได้รับราชโองการให้บุตรสาวของเขาแต่งงานกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่แทนที่ตระกูล หยูจะดีใจที่บุตรสาวนั้นจะได้เป็นถึงพระชายาของท่านอ๋อง กลับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องน้อมรับราชโองการนั้นเอาไว้ หลังจากเฉากงกงเดินออกไปจากจวนตระกูลหยูแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็หันไปพูดกับสามี“ ท่านพี่เจ้าคะ ข้าไม่ยอมให้ลูกของเราแต่งงานกับอ๋องนั่นอย่างเด็ดขาด คนไม่มีอนาคตอย่างนั้นใครจะอยากส่งบุตรสาวไปเป็นภรรยาของเขากัน ” นายท่านหยูขุนนางการคลังขั้นสองนิ่งอึ้งไปเช่นกัน “ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า ในเมื่อมันเป็นราชโองการที่ต้องให้บุตรสาวของข้าแต่งงานกับอ๋องผู้นั้นแล้วไปอยู่ที่จวนกับเขา ” ฮูหยินใหญ่ที่ไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวที่นางรักและเลี้ยงดูมาอย่างกับไข่ในหินแต่งงานไปกับคนพิการแถมยังไร้สิ้นยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินเพราะถูกริบไปหมดแล้ว จึงได้ตัดสินใจเอ่ยว่า“ ก็บุตรสาวของท่านพี่ไม่ได้มีแค่ลูกของเรานี่เจ้าคะ ยังมีเพ่ยอันอีกคน ถ้าเช่นนั้นให้นางแต่งงานกับอ๋องนั่นไปก็แล้วกัน ท่านพี่จะขัดข้องไหมเจ้าคะ “ นางหันไปจ้องมองสามี และแน่นอนว่านายท่านหยูหลี่กงที่ไม่เคยมีปากเสียงกับฮูหยินของต