เมื่อข้าวสุกและอาหารก็เสร็จแล้ว เพ่ยอันก็ตักข้าวใส่ในจานสองจานและถ้วยใบเล็กสำหรับเด็ก แล้วตักไข่เป็นสามส่วน เอาชิ้นใหญ่สุดให้กับพ่อเด็ก แล้วตักชิ้นเล็กใส่ลงมาชามใบเล็กนั้น แล้วเดินถือชามใบเล็กออกไปส่งให้กับเด็กน้อยที่รอคอยอยู่ด้วยความหิว เด็กหญิงรับชามข้าวไปอย่างยินดีแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนเพ่ยอันเดินไปหาพ่อเด็กที่บัดนี้ห่มผ้าที่นางพาดเอาไว้ให้แล้ว และกำลังพยายามเข็นรถไปที่ห้องนอนของตนเอง “ ข้าช่วยท่านเข็นดีกว่ามือจะได้ไม่เปื้อน ” แล้วนางก็เดินตรงไปช่วยเข็นรถนั้นตรงไปที่หน้าห้องของเด็กหญิงตอนนี้แดดยังร่มเพราะชายคาของเรือนนี้ก็กว้างพอสมควร กว่าแดดจะส่องมาที่บริเวณระเบียงหน้าเรือนก็คงจะเป็นช่วงบ่ายคล้อยแล้ว
“ ท่านนั่งอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปหยิบชามข้าวมาให้ ” แล้วเพ่ยอันก็เดินกลับไปในครัวแล้วยกจานข้าวมาส่งให้เขา อ๋องหนุ่มรับเอาไว้ แล้วจ้องมองใบหน้าหวานของเมียหมาดๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันโดยราชโองการที่คนออกคำสั่งนั้นต้องการหยามหน้าเชาโดยการให้แต่งงานกับบุตรีของขุนนางที่ต่ำต้อยและไม่มีความสำคัญใด ไม่มีความสามารถโดดเด่น ที่ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับนี้ได้ก็เพราะการหนุนหลังของครอบครัวเดิมของภรรยา และถ้าเขาคาดไม่ผิดบุตรสาวคนนี้คงจะเป็นบุตรของอนุอีกด้วย เพราะได้ยินมาว่าขุนนางคนนี้นั้นมีภรรยามาก ในจวนมีอนุหลายคน
แม้นางได้ชื่อว่าแต่งงานกับเขา แต่ก็ยังไม่ได้เข้าพิธีไหว้ฟ้าดิน เขามองตามหลังนางไปอย่างครุ่นคิด เพ่ยอันเดินเข้าไปในห้องนอนของอ๋องหนุ่ม แล้วยกตัวโต๊ะเล็กที่วางป้านน้ำชาของเขาออกมาวางไว้ข้างๆเขา แล้วกลับไปยกป้านน้ำชาและจานรองที่มีถ้วยชาอยู่บนนั้นสองสามถ้วยกลับมาวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างๆเขา
“ ท่านอ๋อง ข้าจะไปตลาดนะ เพราะต้องไปซื้อข้าวสารและของใช้ส่วนตัวของข้าด้วย แล้วจะกลับมาซักผ้ากับทำความสะอาดกบ้าน เพราะออกไปตลาดสายเกินไปแดดมันร้อน ข้าไปก่อนล่ะ ” เพ่ยอันบอกกับสามีหมาดๆ แล้วเดินไปที่ห้องของตนเองแล้วก็เดินกลับออกมาอีกครั้ง แล้วเดินเลยออกจากประตูจวนหายไป โดยมีสองพ่อลูกมองตามหลังนางไปจนลับตา อ๋องหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะพบสตรีที่ดีเช่นนี้
นางต่างกับอดีตชายาของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย อดีตชายาที่เป็นมารดาของลี่หลินทำงานอะไรก็ไม่เป็นเพราะนางเป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่และเมื่อนางคลอดลี่หลินแล้วก็เสียชีวิตไปเพราะร่างกายนางก็ไม่ค่อยจะแข็งแรง เขาและนางไม่ได้รักกัน แต่ด้วยการแต่งงานเกิดขึ้นจากการคลุมถุงชนเช่นเดียวกับเจ้าสาวหมาดๆคนนี้ ที่มีคนมาบอกเขาว่านางเป็นบุตรของขุนนางระดับล่างคนหนึ่ง เขามองนางทำงานไปมาจนเวียนหัว นางเก่งมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณหนูในห้องหอจะทำงานเก่งเช่นเดียวกับสาวใช้ในจวนที่ทำงานบ้านมาทั้งชีวิตเสียอีก กับข้าวง่ายๆของนางกับข้าวร้อนๆนี่ก็อร่อยมาก เขาเพิ่งรู้ว่าการแต่งงานกับบุตรขุนนางต่ำต้อยมันจะดีเช่นนี้
อ๋องหนุ่มแม้ยังทำใจเรื่องขาที่หักไปและชีวิตที่ผกพันของตนเองยังไม่ได้มากนัก แต่เพราะบุตรสาวคนเดียวที่นั่งพุ้ยข้าวเข้าปากอยู่นั่นมันเป็นกำลังใจให้เขาสู้ต่อไป และยิ่งเขาเห็นภรรยาใหม่ที่มีจิตใจดีเหลือเกิน ไม่รังเกียจสภาพของเขาและบุตรสาวทั้งนางยังทำงานอย่างขันแข็งทั้งที่นางนั้นงดงามไม่น้อย หากแต่งกายดีๆนางก็นับเป็นคุณหนูในห้องหอที่งามพร้อม นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของเขาที่ได้นางมาเป็นภรรยา
ส่วนเพ่ยอันที่เดินเข้าไปในห้องของตนเองแล้วเปิดหีบใบเล็กที่วังหลวงให้มาเป็นสินสอด นางพบเงินหนึ่งตำลึงในนั้นและมีปิ่นรูปดอกไม้ที่มีพลอยประดับและกำไลหยกอีกหนึ่งวงด้วย แม้จะดูน้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย นางจะนำของทั้งหมดไปขายเพื่อนำเงินมาประทังชีวิต เพราะของในครัวแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินที่มารดาให้มานั้นคงจะพอประทังชีวิตไปได้อีกไม่นาน นางจึงคิดว่าจะนำของพวกนี้ไปขายก่อนดีกว่า นางเก็บเงินตำลึงซุุกเอาไว้ใต้ที่นอนก่อน แล้วหยิบปิ่นกับกำไลเหน็บไว้ที่เอวแล้วเดินออกไป
เมื่อถึงตลาดนางก็มองหาร้านรับจำนำแล้วเดินเข้าไปในร้าน เมื่อเถ้าแก่เจ้าของร้านมองดูปิ่นปักผมกับกำไลหยกของนางแล้วหยิบมาส่องดู ครู่หนึ่งเขาก็เขียนตั๋วเงินให้นาง แล้วเงยหน้าขึ้นมาถามว่าจะขายขาดเลยหรือว่าจำนำเอาไว้ก่อน เพ่ยอันนิ่งคิดดูว่า นางคงไม่มีเงินมาไถ่คืนในเร็ววันนี้จึงได้บอกว่าจะขายขาดไปเลย เขาจึงได้เขียนตัวเลขลงไปในตั๋วเงิน แต่เพ่ยอันรีบพูดขึ้นมาก่อน
“ ขอเป็นเงินตำลึงเอาไว้บางส่วนเจ้าค่ะ ที่เหลือค่อยรับเป็นตั๋วเงิน ” นางบอกกับเถ้าแก่จึงเขียนตัวเลขเสียใหม่ แล้วหยิบเงินส่งให้นางสามสิบตำลึง เพ่ยอันตะลึงงัน ของสองชิ้นนั้นมีราคาไม่น้อย นางรับตั๋วเงินนั้นมาดูพบว่าเป็นจำนวนเจ็ดสิบตำลึง เรารวยแล้วไม่น่าเชื่อเลย นางรำพึงกับตนเองอย่างตื่นเต้น นางพับตั๋วเงินเก็บไว้ที่เอวแล้วจึงใส่เงินตำลึงเอาไว้ในถุงเงินของนางจนถุงแทบจะปริแตก ในชีวิตไม่เคยมีเงินมากขนาดนี้มาก่อน เพ่ยอันแทบจะไชโยโห่ร้องด้วยซ้ำไป
นางไม่คิดว่าวังหลวงจะให้ของมีค่าเช่นนี้มาเป็นสินสอดแต่ก็ดีแล้ว อย่างน้อยครอบครัวน้อยๆนี้จะไม่อดอยากปากแห้งอีกต่อไป และนางจะไปรับท่านแม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่มีห้องว่างให้นอนกับนางหรือนอนห้องอาหลินไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยขยับขยายก็ยังได้ เพ่ยอันคิดอย่างยินดีไม่น้อย
นางเดินไปที่ร้านขายข้าวสารสั่งข้าวสารหนึ่งกระสอบเกลือสองชั่งซีอี๊วหนึ่งไห ผักดองหนึ่งไห เต้าหูหนึ่งแผ่นใหญ่ บอกว่านางจะกลับมาขอฝากของเอาไว้ก่อน แล้วจะบอกว่าให้ไปส่งที่ไหน เถ้าแก่ก็รับปากอย่างยินดี เพ่ยอันเดินต่อไปที่ร้านหมูก็สั่งเขาหั่นหมูให้ชิ้นใหญ่ทั้งหมดห้าชิ้น นางจะแบ่งเอาไว้ทำหมูหวานไว้ให้กับอาหลินกินกับข้าวสวย เพราะมันอร่อยและเก็บเอาไว้ได้นานอีกด้วย
จากนั้นก็เดินต่อไปพบป้าแก่ๆกับหลานชายนั่งขายไข่ไก่อยู่ข้างทาง จึงได้เหมาของแกทั้งหมดแต่มันก็เหลือไม่มากแล้ว และให้หลานชายของแกไปส่งให้ที่ร้านขายข้าวสาร แล้วนางก็เลือกซื้อผลไม้และผักสดที่ชาวบ้านนำมากองขายได้ผักสดๆต้นอวบมาสามกำ หัวผักกาด หัวไชเท้า และนางเห็นมีหมูแดงหมูกรอบขายจึงได้ซื้อติดมือมาด้วยเพื่อเป็นอาหารเย็นนี้ เพราะวันนี้กลับไปจะต้องทำความสะอาดบ้านและซักผ้าอีก คงจะเหนื่อยมากจนแทบไม่มีแรงทำอาหารเย็น ข้าวก็หุงเอาไว้แล้ว ซื้อกับข้าวกลับไปก็ง่ายดี เด็กก็กินได้ด้วย
ตระกูลหยูของหยูหลี่กงขุนนางขั้นสองได้รับราชโองการให้บุตรสาวของเขาแต่งงานกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่แทนที่ตระกูล หยูจะดีใจที่บุตรสาวนั้นจะได้เป็นถึงพระชายาของท่านอ๋อง กลับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องน้อมรับราชโองการนั้นเอาไว้ หลังจากเฉากงกงเดินออกไปจากจวนตระกูลหยูแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็หันไปพูดกับสามี“ ท่านพี่เจ้าคะ ข้าไม่ยอมให้ลูกของเราแต่งงานกับอ๋องนั่นอย่างเด็ดขาด คนไม่มีอนาคตอย่างนั้นใครจะอยากส่งบุตรสาวไปเป็นภรรยาของเขากัน ” นายท่านหยูขุนนางการคลังขั้นสองนิ่งอึ้งไปเช่นกัน “ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า ในเมื่อมันเป็นราชโองการที่ต้องให้บุตรสาวของข้าแต่งงานกับอ๋องผู้นั้นแล้วไปอยู่ที่จวนกับเขา ” ฮูหยินใหญ่ที่ไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวที่นางรักและเลี้ยงดูมาอย่างกับไข่ในหินแต่งงานไปกับคนพิการแถมยังไร้สิ้นยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินเพราะถูกริบไปหมดแล้ว จึงได้ตัดสินใจเอ่ยว่า“ ก็บุตรสาวของท่านพี่ไม่ได้มีแค่ลูกของเรานี่เจ้าคะ ยังมีเพ่ยอันอีกคน ถ้าเช่นนั้นให้นางแต่งงานกับอ๋องนั่นไปก็แล้วกัน ท่านพี่จะขัดข้องไหมเจ้าคะ “ นางหันไปจ้องมองสามี และแน่นอนว่านายท่านหยูหลี่กงที่ไม่เคยมีปากเสียงกับฮูหยินของต
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเกี้ยวหน้าจวน อนุลิ่วเดินจูงบุตรสาวมาส่งขึ้นเกี้ยวที่หน้าประตูจวนตระกูลหยู โดยมีนายท่านหยูและฮูหยินรวมถึงบุตรสาวและบุตรชายบางคนมายืนอยู่ด้วย ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดจะมายืนรอส่งเจ้าสาวที่เป็นบุตรสาวตระกูลหยูเช่นกัน แต่พวกเขามายืนรอดูเพื่อให้แน่ใจว่าเพ่ยอันขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว และเกี้ยวนี้ทางวังหลวงส่งมาพร้อมกับสินสอดหนึ่งหีบเล็ก นับเป็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถใจไม่่น้อยขบวนเจ้าสาวที่ออกเดินทางมีเพียงเกี้ยวและบ่าวชายที่หาบสินสอดหีบเล็กใส่ตระกร้าสานใบใหญ่และอีกด้านของตระกร้าสานนั้นเป็นหีบใส่ข้าวของๆเจ้าสาว เดินตามขบวนเกี้ยวไปเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนติดตามเจ้าสาว ไม่มีสาวใช้แม้สักคนเดียวไปกับเกี้ยวด้วย สินเดิมของเจ้าสาวนั้นไม่มี สินสอดนั้นก็มีที่ทางวังหลวงจัดมาให้เพียงหีบเดียว ส่วนสินสอดของเจ้าบ่าวนั้นไม่มี และย่อมไม่มีเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวด้วยเช่นกัน อนุลิ่วจ้องมองเกี้ยวเจ้าสาวอย่างสะท้อนใจ บุตรสาวของตนเป็นบุตรีขุนนาง มีราชโองการได้สมรสกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่ขบวนส่งเจ้าสาวกลับน่าอนาถเพียงนี้ ยิ่งกว่าที่นางเคยเห็นขบวนเจ้าสาวของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในเมือง
หลังจากบ่าวชายที่อุตส่าห์มีน้ำใจเอ่ยคำอวยพรให้นางกลับไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวที่ก็กลับไปเช่นกัน ที่หน้าประตูจวนนั้นมีเพียงเพ่ยอันยืนอยู่เพียงผู้เดียว ในลานหน้าบ้านนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว ตรงหน้าของนางคือเรือนขนาดเล็กเป็นเรือนแถวยาวคงจะมีห้องอยู่เพียงไม่กี่ห้องและมองไปเห็นเรือนเล็กที่ปลูกติดกันนั่นน่าจะเป็นโรงครัว เพราะที่ด้านหน้าเรือนมีโอ่งน้ำขนาดใหญ่สามโอ่งตั้งเรียงรายอยู่และมีชั้นวางของอยู่ใกล้ๆกันในลานกว้างมีต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่สามต้นปลูกอยู่ในลานหน้าเรือน และมีกระถางต้นไม้เรียงรายอยู่หลายกระถางแต่ต้นไม้ในนั้นล้วนเหี่ยวแห้งเหมือนไม่มีคนรดน้ำมานานแล้ว มีอ่างบัวขนาดไม่ใหญ่มากสองอ่างที่ใต้ชายคาเรือนแต่ในอ่างบัวไม่มีน้ำสักหยดในอ่างนั้นก็แห้งผากมีแต่ซากต้นไม้แห้งอยู่ในนั้นนางหันไปรอบๆก็ไม่พบใครสักคน จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องใกล้กับโรงครัวแล้วเปิดประตูออกมองเข้าไปพบว่ามันเป็นห้องว่างเปล่า มีเตียงไม้ขนาดกลางวางอยู่ริมผนัง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆ อยู่หนึ่งชุด มีโต๊ะเครื่องแป้งที่เก่าพอๆกับเครื่องเรือนทุกอย่างในห้อง แต่มันก็พอใช้งานได้ ในห้องนี้มีฝุ่นจับหนามาก คง
“ ก่อนอื่นข้าจะไปสำรวจในครัวก่อนก็แล้วกันนะว่ามีอะไรกินบ้าง แล้วจะลงมือทำความสะอาดห้องพักของข้าก่อน พวกท่านกินอะไรกันหรือยัง ” ชายร่างผอมส่ายหน้า “ ยัง วันนี้ข้ายังไม่ได้ลงจากเตียงเลย ” เพ่ยอันจ้องมองบนเตียงของเขาพบว่าเขาน่าจะยังไม่ได้อาบน้ำและบุตรสาวของเขาก็มอมแมมพอกัน เพราะคนขาเจ็บคงจะลุกจากเตียงลำบากมาก“ ข้าจะพยุงท่านไปเข้าห้องน้ำและอาบน้ำให้สะอาดก่อนนะ แล้วจะอาบน้ำให้เด็กน้อยคนนี้ เจ้าชื่อว่าลี่หลิน น้าเรียกเจ้าว่าอาหลินก็แล้วกันนะ จะได้เรียกง่ายๆ ดีไหมจ๊ะ ” นางหันไปพูดกับเด็กน้อยที่ดวงตากลมโตจ้องมองนางตาแป๋วแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ อาหลินจะตามไปด้วยกันก็ได้นะ น้าจะได้อาบน้ำให้เจ้าพร้อมกับท่านพ่อเลย ” เพ่ยอันพับแขนเสื้อของตนเองแล้วผูกเอาไว้ วันนี้คงจะเหนื่อยแน่ งานยังมีให้ทำอีกมากมาย นางเข็นรถเข็นไม้ไปจนชิดกับเตียงหลังใหญ่ของเขา แล้วค่อยๆพยุงเขาขยับมานั่งบนรถเข็นของตนเองจนได้ ขาของเขาน่าจะหักหลายที่ มันคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด “ ท่านยังเจ็บอยู่ไหม ” ชายหนุ่มพยักหน้า“ เจ็บอยู่ คิดว่ากระดูกคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด แต่แผลนั้นหายแล้ว ไม่ต้องล้างแผลแล้ว ” เขาบอกขณะที่เพ่ยอันจัดท่
เมื่อข้าวสุกและอาหารก็เสร็จแล้ว เพ่ยอันก็ตักข้าวใส่ในจานสองจานและถ้วยใบเล็กสำหรับเด็ก แล้วตักไข่เป็นสามส่วน เอาชิ้นใหญ่สุดให้กับพ่อเด็ก แล้วตักชิ้นเล็กใส่ลงมาชามใบเล็กนั้น แล้วเดินถือชามใบเล็กออกไปส่งให้กับเด็กน้อยที่รอคอยอยู่ด้วยความหิว เด็กหญิงรับชามข้าวไปอย่างยินดีแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยส่วนเพ่ยอันเดินไปหาพ่อเด็กที่บัดนี้ห่มผ้าที่นางพาดเอาไว้ให้แล้ว และกำลังพยายามเข็นรถไปที่ห้องนอนของตนเอง “ ข้าช่วยท่านเข็นดีกว่ามือจะได้ไม่เปื้อน ” แล้วนางก็เดินตรงไปช่วยเข็นรถนั้นตรงไปที่หน้าห้องของเด็กหญิงตอนนี้แดดยังร่มเพราะชายคาของเรือนนี้ก็กว้างพอสมควร กว่าแดดจะส่องมาที่บริเวณระเบียงหน้าเรือนก็คงจะเป็นช่วงบ่ายคล้อยแล้ว “ ท่านนั่งอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปหยิบชามข้าวมาให้ ” แล้วเพ่ยอันก็เดินกลับไปในครัวแล้วยกจานข้าวมาส่งให้เขา อ๋องหนุ่มรับเอาไว้ แล้วจ้องมองใบหน้าหวานของเมียหมาดๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันโดยราชโองการที่คนออกคำสั่งนั้นต้องการหยามหน้าเชาโดยการให้แต่งงานกับบุตรีของขุนนางที่ต่ำต้อยและไม่มีความสำคัญใด ไม่มีความสามารถโดดเด่น ที่ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับนี้ได้ก็เพราะการหนุนหลังของครอบครัวเ
“ ก่อนอื่นข้าจะไปสำรวจในครัวก่อนก็แล้วกันนะว่ามีอะไรกินบ้าง แล้วจะลงมือทำความสะอาดห้องพักของข้าก่อน พวกท่านกินอะไรกันหรือยัง ” ชายร่างผอมส่ายหน้า “ ยัง วันนี้ข้ายังไม่ได้ลงจากเตียงเลย ” เพ่ยอันจ้องมองบนเตียงของเขาพบว่าเขาน่าจะยังไม่ได้อาบน้ำและบุตรสาวของเขาก็มอมแมมพอกัน เพราะคนขาเจ็บคงจะลุกจากเตียงลำบากมาก“ ข้าจะพยุงท่านไปเข้าห้องน้ำและอาบน้ำให้สะอาดก่อนนะ แล้วจะอาบน้ำให้เด็กน้อยคนนี้ เจ้าชื่อว่าลี่หลิน น้าเรียกเจ้าว่าอาหลินก็แล้วกันนะ จะได้เรียกง่ายๆ ดีไหมจ๊ะ ” นางหันไปพูดกับเด็กน้อยที่ดวงตากลมโตจ้องมองนางตาแป๋วแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ อาหลินจะตามไปด้วยกันก็ได้นะ น้าจะได้อาบน้ำให้เจ้าพร้อมกับท่านพ่อเลย ” เพ่ยอันพับแขนเสื้อของตนเองแล้วผูกเอาไว้ วันนี้คงจะเหนื่อยแน่ งานยังมีให้ทำอีกมากมาย นางเข็นรถเข็นไม้ไปจนชิดกับเตียงหลังใหญ่ของเขา แล้วค่อยๆพยุงเขาขยับมานั่งบนรถเข็นของตนเองจนได้ ขาของเขาน่าจะหักหลายที่ มันคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด “ ท่านยังเจ็บอยู่ไหม ” ชายหนุ่มพยักหน้า“ เจ็บอยู่ คิดว่ากระดูกคงจะยังไม่สมานกันทั้งหมด แต่แผลนั้นหายแล้ว ไม่ต้องล้างแผลแล้ว ” เขาบอกขณะที่เพ่ยอันจัดท่
หลังจากบ่าวชายที่อุตส่าห์มีน้ำใจเอ่ยคำอวยพรให้นางกลับไปพร้อมกับคนหามเกี้ยวที่ก็กลับไปเช่นกัน ที่หน้าประตูจวนนั้นมีเพียงเพ่ยอันยืนอยู่เพียงผู้เดียว ในลานหน้าบ้านนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว ตรงหน้าของนางคือเรือนขนาดเล็กเป็นเรือนแถวยาวคงจะมีห้องอยู่เพียงไม่กี่ห้องและมองไปเห็นเรือนเล็กที่ปลูกติดกันนั่นน่าจะเป็นโรงครัว เพราะที่ด้านหน้าเรือนมีโอ่งน้ำขนาดใหญ่สามโอ่งตั้งเรียงรายอยู่และมีชั้นวางของอยู่ใกล้ๆกันในลานกว้างมีต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่สามต้นปลูกอยู่ในลานหน้าเรือน และมีกระถางต้นไม้เรียงรายอยู่หลายกระถางแต่ต้นไม้ในนั้นล้วนเหี่ยวแห้งเหมือนไม่มีคนรดน้ำมานานแล้ว มีอ่างบัวขนาดไม่ใหญ่มากสองอ่างที่ใต้ชายคาเรือนแต่ในอ่างบัวไม่มีน้ำสักหยดในอ่างนั้นก็แห้งผากมีแต่ซากต้นไม้แห้งอยู่ในนั้นนางหันไปรอบๆก็ไม่พบใครสักคน จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องใกล้กับโรงครัวแล้วเปิดประตูออกมองเข้าไปพบว่ามันเป็นห้องว่างเปล่า มีเตียงไม้ขนาดกลางวางอยู่ริมผนัง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆ อยู่หนึ่งชุด มีโต๊ะเครื่องแป้งที่เก่าพอๆกับเครื่องเรือนทุกอย่างในห้อง แต่มันก็พอใช้งานได้ ในห้องนี้มีฝุ่นจับหนามาก คง
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเกี้ยวหน้าจวน อนุลิ่วเดินจูงบุตรสาวมาส่งขึ้นเกี้ยวที่หน้าประตูจวนตระกูลหยู โดยมีนายท่านหยูและฮูหยินรวมถึงบุตรสาวและบุตรชายบางคนมายืนอยู่ด้วย ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดจะมายืนรอส่งเจ้าสาวที่เป็นบุตรสาวตระกูลหยูเช่นกัน แต่พวกเขามายืนรอดูเพื่อให้แน่ใจว่าเพ่ยอันขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว และเกี้ยวนี้ทางวังหลวงส่งมาพร้อมกับสินสอดหนึ่งหีบเล็ก นับเป็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถใจไม่่น้อยขบวนเจ้าสาวที่ออกเดินทางมีเพียงเกี้ยวและบ่าวชายที่หาบสินสอดหีบเล็กใส่ตระกร้าสานใบใหญ่และอีกด้านของตระกร้าสานนั้นเป็นหีบใส่ข้าวของๆเจ้าสาว เดินตามขบวนเกี้ยวไปเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนติดตามเจ้าสาว ไม่มีสาวใช้แม้สักคนเดียวไปกับเกี้ยวด้วย สินเดิมของเจ้าสาวนั้นไม่มี สินสอดนั้นก็มีที่ทางวังหลวงจัดมาให้เพียงหีบเดียว ส่วนสินสอดของเจ้าบ่าวนั้นไม่มี และย่อมไม่มีเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวด้วยเช่นกัน อนุลิ่วจ้องมองเกี้ยวเจ้าสาวอย่างสะท้อนใจ บุตรสาวของตนเป็นบุตรีขุนนาง มีราชโองการได้สมรสกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่ขบวนส่งเจ้าสาวกลับน่าอนาถเพียงนี้ ยิ่งกว่าที่นางเคยเห็นขบวนเจ้าสาวของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในเมือง
ตระกูลหยูของหยูหลี่กงขุนนางขั้นสองได้รับราชโองการให้บุตรสาวของเขาแต่งงานกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่แทนที่ตระกูล หยูจะดีใจที่บุตรสาวนั้นจะได้เป็นถึงพระชายาของท่านอ๋อง กลับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องน้อมรับราชโองการนั้นเอาไว้ หลังจากเฉากงกงเดินออกไปจากจวนตระกูลหยูแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็หันไปพูดกับสามี“ ท่านพี่เจ้าคะ ข้าไม่ยอมให้ลูกของเราแต่งงานกับอ๋องนั่นอย่างเด็ดขาด คนไม่มีอนาคตอย่างนั้นใครจะอยากส่งบุตรสาวไปเป็นภรรยาของเขากัน ” นายท่านหยูขุนนางการคลังขั้นสองนิ่งอึ้งไปเช่นกัน “ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า ในเมื่อมันเป็นราชโองการที่ต้องให้บุตรสาวของข้าแต่งงานกับอ๋องผู้นั้นแล้วไปอยู่ที่จวนกับเขา ” ฮูหยินใหญ่ที่ไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวที่นางรักและเลี้ยงดูมาอย่างกับไข่ในหินแต่งงานไปกับคนพิการแถมยังไร้สิ้นยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินเพราะถูกริบไปหมดแล้ว จึงได้ตัดสินใจเอ่ยว่า“ ก็บุตรสาวของท่านพี่ไม่ได้มีแค่ลูกของเรานี่เจ้าคะ ยังมีเพ่ยอันอีกคน ถ้าเช่นนั้นให้นางแต่งงานกับอ๋องนั่นไปก็แล้วกัน ท่านพี่จะขัดข้องไหมเจ้าคะ “ นางหันไปจ้องมองสามี และแน่นอนว่านายท่านหยูหลี่กงที่ไม่เคยมีปากเสียงกับฮูหยินของต