เมิ่งจิ่นเหยามองดูแผ่นหลังของกู้ซิวหมิงที่เดินจากไป ดวงตาสงบและลึกล้ำ จนกระทั่งเงาร่างนั้นลับหายไปจากสายตา นางถึงได้เบนสายตากลับมา หันหน้าไปมองบุรุษที่อยู่ข้างกาย พลางถามอย่างสับสนว่า “ท่านพี่ ท่านว่าวันนี้บุตรชายคนโตคนดีของพวกเรากินยาอันใดผิดไปหรือไม่เจ้าคะ?”สีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักเล็กน้อย ถามกลับไปว่า “ฮูหยินคิดว่าเช่นไรเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ได้คิดที่จะแสร้งทำเป็นมารดาที่มีเมตตาอันใดต่อหน้าเขา หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ข้าคิดว่าถ้าเขาไม่กินยาผิด ก็คงถูกผีเข้าเจ้าค่ะ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอโทษข้าจริง ๆ และกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่”เมื่อได้ยินดังนั้น กู้จิ่งซีก็เหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย ไม่ได้คัดค้านคำพูดของนางเมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ท่านพี่ ท่านคิดว่าเขากำลังคิดที่จะทำอันใดเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีเงียบงันไปชั่วครู่ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาจะทำอันใดฮูหยินไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ ขอเพียงเขาไม่ก่อเรื่องก็พอแล้ว หากว่าก่อเรื่องขึ้นมา ข้าจะลงโทษเขาด้วยตัวเอง”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า ขอเพียงกู้ซิวหมิงไม่มาหาเรื่องนางก่อน นางก็สามารถคิดเสียว่ากู้ซิวหมิง
หนิงตงตะลึงงัน รีบกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นให้เขาเป็นแบบเมื่อก่อนยังดีกว่าเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาที่จริงแล้วบุ่มบ่ามและโง่เขลาบ้างคงดีกว่า เช่นนั้นก็ง่ายต่อการรับมือ ตอนนี้เป็นเช่นนี้กลับรับมือไม่ได้โดยง่ายแล้วแต่ว่าคนผู้นี้ ผ่านความพ่ายแพ้มามากมาย ท้ายที่สุดก็จะเติบโต แผนการก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ กู้ซิวหมิงก็คงจะเป็นแบบนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ทุกอย่างราบรื่น ตั้งแต่หนีการแต่งงานและถูกจับกลับมาก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทำลายความภาคภูมิใจอย่างไม่มีใครเปรียบของเขา ได้เรียนรู้ที่จะอดทน และสวมหน้ากากจอมปลอมเพียงแต่ไม่รู้ว่า กู้ซิวหมิงจะเสแสร้งได้นานถึงเพียงใด......โถงโซ่วอันฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้รู้ว่าก็ซิวหมิงมาแล้ว ก็คิดขึ้นมาได้ในภายหลังว่า ครั้งที่แล้วเขากับซิวเหวินรวมถึงเฉิงจางทะเลาะกันจึงถูกกักบริเวณ และไม่ได้พบกับเขามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ทว่ากลับไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น คงจะเป็นเพราะว่าผิดหวังกับหลานชายผู้นี้ยิ่งนักเฝิงหมอมอเห็นท่าทางไม่ยินดียินร้ายของนาง คิดได้ว่าถึงอย่า
กู้ซิวหมิงรีบตอบรับ “หลานจะเชื่อฟังคำสอนของท่านย่าอย่างเคร่งครัดขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พยักหน้าเล็กน้อย และให้เขานั่งลงเพื่อพูดคุยอีกครั้ง หลานชายทั้งสองเหมือนจะกลับไปสมัยก่อน ทั้งพูดคุยและหัวเราะ เข้ากันได้เป็นอย่างดีเวลานี้ เฝิงหมอมอรับยามาแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้ยกน้ำเข้ามาอีกหนึ่งอ่าง และทำความสะอาดบาดแผลให้กู้ซิวหมิง จากนั้นจึงใส่ยาให้เขา เมื่อเห็นบาดแผลของเขา ก็รู้ว่าตอนที่เขาโขกศีรษะใช้แรงมากเพียงใด และนั่นไม่ใช่ทำแบบขอไปทีเลยแม้แต่น้อย หลังใส่ยา กู้ซิวหมิงก็ยังไม่ออกจากโถงโซว่อัน แต่กลับไปโถงพระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ท่องพระคัมภีร์ ส่วนเขาคัดพระคัมภีร์อยู่ด้านข้างและบอกว่าอยากจะคัดเพื่ออธิษฐานให้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พอถึงช่วงกลางวัน กู้ซิวหมิงก็ยังคงไม่กลับ และอยู่รับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ที่โถงโซว่อันฮูหยินผู้เฒ่ากู้เชื่อในพระพุทธ มักจะกินอาหารมังสวิรัติและท่องบทสวด อาหารกลางวันมื้อนี้แม้แต่เนื้อหมูสับยังไม่มีเลย ล้วนเป็นผักทั้งหมด นางกลัวหลานชายไม่เคยชิน จึงสั่งสาวใช้ “ไปให้ห้องครัวทำอาหารคาวเข้ามาสองอย่าง”กู้ซิวหมิงรีบกล่าว “ท่านย่
เฝิงหมอมอตกใจ “เช่นนั้นท่านซื่อจื่อจะไม่มีภรรยาเอกได้อย่างไรเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนหายใจเบา ๆ “รอซิวหมิงหมดความหลงไหลที่มีต่อหลี่อี๋เหนียง และค่อย ๆ เข้าใจถึงความสำคัญของภรรยาเอก ไม่แน่ว่าอาจอยากแต่งภรรยาเอกก็ได้ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้อาวุโสบีบบังคับเขา เขาคงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ทำร้ายแม่นางดี ๆ ที่ไร้ความผิดเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นคู่รักที่ขุ่นเคืองกันอีก และเขาก็จะยิ่งชื่นชอบหลี่อี๋เหนียงมากขึ้นเรื่อย ๆ การไม่แทรกแซงอะไรจึงจะดีที่สุด”หลังจากเฝิงหมอมอฟังก็ชะงัก นางกลับลืมว่ามีหลี่อี๋เหนียงคนนี้ เพื่อหลี่อี๋เหนียงแล้ว ท่านซื่อจื่อยังกล้าหนีงานแต่งงาน หากบังคับท่านซื่อจื่อแต่งงาน ไม่แน่ว่าอาจจะหนีงานแต่งงานครั้งที่สอง เมื่อมีอีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นชื่อเสียงของจวนฉางซิงโหวจะต้องพังพินาศลงอย่างสิ้นเชิงต่อเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปล่อยวางได้แล้ว ตราบใดที่หลานชายรู้ความเป็นพอ อนาคตจะยิ่งรู้ความ และเข้าใจถึงความหวังดีของผู้อาวุโสมากขึ้นด้วย จึงกล่าว “ความรักช่วงเริ่มแรกนั้นร้อนแรงที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะจืดจางลงมาก ตอนนี้เขากับ หลี่อี๋เหนียงอยู่ด้วยกันทั้งเช้าท
เรือนชิงอวี้เซวียนกู้ซิวหมิงกลับมาจากโถงโซ่วอัน เพิ่งจะเข้าห้อง ก็เห็นร่างที่งดงามโผล่เข้ามาทางตนเอง เขาจึงรีบอ้าแขนกอดคนไว้ แถมยังถอยหลังไปสองก้าวด้วย“พี่ซิวหมิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”แม่นางในอ้อมแขนน้ำเสียงแหบทุ้ม เหมือนกับจะร้องไห้แล้วกู้ซิวหมิงหัวใจกระตุกวูบ และรีบถาม “หว่านเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? ตอนที่ข้าไม่อยู่ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่?หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ขอบตาเต็มไปด้วยน้ำตา จนใกล้จะร้องไห้ออกมา ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “พี่ซิวหมิง ข้ากลัวมาก กลัวมากจริง ๆ เจ้าค่ะ” กู้ซิวหมิงทนเห็นนางร้องไห้ไม่ได้ จึงตบหลังนางเบา ๆ และปลอบด้วยคำพูดที่อ่อนโยน “หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่? หากมีคนรังแกเจ้า ข้าคนนี้จะเป็นคนจัดการ และลงโทษสาวใช้ที่ไม่มีตาพวกนั้นให้ดีแทนเจ้า”“ไม่ใช่ ไม่มีใครรังแกข้าเจ้าค่ะ”หลี่หว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าเบา ๆ น้ำตาก็ไหลพรากลงมาจากขอบตาทันที และกล่าวด้วยความกังวล “พี่ซิวหมิง ท่านออกไปเมื่อเช้า บอกว่าจะไปคารวะยามเช้าให้ท่านโหวกับฮูหยินที่เรือนเวยหรุยเซวียน แต่นานแล้วก็ยังไม่กลับ
หลี่หว่านเอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือเจ้าคะ?”“จริงแท้แน่นอน”กู้ซิวหมิงพยักหน้า และเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มของนาง เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างขมขื่น ในใจก็ไม่สบายใจอย่างมากหลี่หว่านเอ๋อร์กกล่าวเสียงสะอื้น “พี่ซิวหมิง ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น หากวันใดท่านไม่ชอบข้าแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรแล้วเจ้าค่ะ”กู้ซิวหมิงปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เด็กโง่ ข้าจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร? หากไม่ชอบเจ้า ข้าคงแต่งงานกับเมิ่งจิ่นเหยาตั้งแต่แรกแล้ว ในใจข้า หว่านเอ๋อร์เป็นแม่นางที่ดีที่สุด และใจดีที่สุดในใต้หล้า”เมื่อได้ยิน หัวใจที่กระวนกระวายของหลี่หว่านเอ๋อร์ถึงจะได้รับการปลอบโยน นางจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ชายหนุ่มมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สง่างามยืนตระหง่านต้านลม นางรู้สึกชอบ ครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในวัด แม้ชายหนุ่มจะถูกพิษงูจนหมดสติ แต่ด้วยกริยาท่าทางอันสูงศักดิ์ที่แพร่ออกมาจากร่างกาย และรูปลักษณ์ที่หล่อเหล่าเป็นพิเศษ จึงทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น โดยไม่กลัวจะสร้างความเดือดร้อน ก็รีบไปหาคนในวัดมาช่วยชีวิตชายหนุ่มภายหลังพบว่าชายหนุ่มเป็นซื่อจื่อของจวนฉางซินโหว แถมยัง
กู้ซิวหมิงดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้วจริง ๆ เปลี่ยนเป็นคนที่อ่อนโยน มีความถ่อมตน และมีความก้าวหน้าในการเรียน แถมทุกวันยังไปคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เมื่อกู้จิ่งซีเลิกงานกลับมา ก็มาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเพื่อขอคำแนะนำจากกู้จิ่งซีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้เรือนใหญ่กับเรือนรองต่างตกใจ ซึ่งต้องทราบว่าก่อนหน้านี้พฤติกรรมขายหน้าเหล่านั้นของกู้ซิวหมิง พวกเขาต่างเกือบจะคิดว่ากู้ซิวหมิงไม่มีอนาคต และกลายเป็นคนไร้ความสามารถไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนที่ไร้ความสามารถไม่ต้องพยุงก็สามารถปีนขึ้นกำแพงได้บุตรอกตัญญูจู่ ๆ กลายเป็นบุตรกตัญญู เมิ่งจิ่นหยาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน วันนี้กลางวันยาวกลางคืนสั้น นางจึงตื่นเช้าขึ้น ทุกวันหลังจากตื่นและนอนล้างตัวจะเห็นบุตรอกตัญญูเข้ามาคารวะยามเช้า ทุกครั้งล้วนแสดงความเคารพทั้งยังกตัญญู ไม่มีการทำแบบส่ง ๆ เลยแม้แต่น้อยไม่ว่ากู้ซิวหมิงจะจริงใจ หรือว่าเสแสร้ง นางล้วนต้องเล่นบทมารดาที่เมตตา ดังนั้นทุกครั้งที่มารดาและบุตรมาเจอกัน จึงไม่มีการโต้ตอบแบบเมื่อก่อน และจะมีแต่ภาพบรรยากาศที่กลมเกลียวของมารดาผู้เมตตากับลูกที่กตัญญูเท่านั้น
เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ ตระหนักได้ว่าตนเองกับอาหนิงไม่ได้พบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เรื่องของท่านหญิงจิ้งหนิง นางยังไม่ได้บอกกับอาหนิงเลย ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงรีบกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ตอนนี้ข้ากับท่านหญิงจิ้งหนิงเป็นสหายกันแล้ว ท่านหญิงจิ้งหนิงได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเมิ่งจิ่นอวี้แล้วเช่นกัน และไม่ได้สนใจเมิ่งจิ่นอวี้อีก”เมื่อได้ฟังดังนั้น ในแววตาของซ่งซินหนิงก็ฉายแววแห่งความผิดหวัง รู้สึกว่าพออาเหยามีสหายคนใหม่ ก็เฉยเมยนางเสียแล้ว จึงบ่นพึมพำออกมา “อาเหยา เจ้าชอบของใหม่จึงเบื่อของเก่าแล้วใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยามองนางอย่างขุ่นเคือง เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ไหนกัน เป็นเพราะช่วงนี้เจ้ายุ่ง ๆ อยู่มิใช่หรือ ข้าถึงไม่ได้นัดเจ้าน่ะ? หากว่าพบเจอเจ้า จะต้องบอกกับเจ้าเป็นแน่ อาหนิงในใจของข้า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” เมื่อซ่งซินหนิงได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย ความเศร้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วมลายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าอาเหยาเป็นผู้ที่มีความรู้สึกยืนยาวผู้หนึ่ง ไม่มีทางชอบของใหม่แล้วเบื่อของเก่าเป็นแน่ คนที่รักมา
กู้จิ่งเซิ่งสูดลมหายใจเข้าอย่างเจ็บปวด สีหน้าย่ำแย่ “ฮูหยิน นี่เจ้าทำอันใดกัน? ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว จะทำอันใดได้อีก? ถึงเซวียนอี๋รับมือไม่ได้ก็ต้องทำ ให้นางฉลาดสักหน่อยก็พอแล้วไม่ใช่หรือไร?”คุยไม่ถูกคอ เพียงครึ่งคำก็มากเกินไป นางจางถูกพวกเขาพ่อลูกทำให้โมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ จ้องมองเขาอยู่นานด้วยความโกรธ ถึงอย่างไรก็อดทนไหว ไม่ได้ด่าเขาว่าโง่เง่า สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที เมื่อเห็นดังนั้น กู้จิ่งเซิ่งก็มีโทสะยิ่งนัก รู้สึกแต่เพียงว่าภรรยานับวันยิ่งเจ้าอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่เขา ความอ่อนโยนและใส่ใจเมื่อตอนยังเยาว์หายไปหมดแล้ว เขาจึงไปที่เรือนของอนุภรรยาด้วยความหงุดหงิด เพื่อเสาะหาเรื่องที่ทำให้มีความสุข นางจางกระวนกระวาย ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้มุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน เพื่อดูว่าแม่สามีมีวิธีช่วยเซวียนอี๋ได้หรือไม่ โถงโซ่วอัน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้อยู่ในโถงพระเกือบจะทั้งวัน ไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากภายนอก และยังไม่รู้เรื่องของหลานสาวคนโต มีสาวใช้มารายงานว่าสะใภ้ใหญ่มาหานาง นางถึงได้ออกมาจากโถงพระ และไปพบกับสะใภ้ใหญ่ เมื่อมองเห็นสะใภ้ใหญ่ดวงตาแดงก่ำ สีหน้า
สู่ของั้นหรือ?เมื่อนางจางได้ฟังคำพูดสองคำนี้ ก็มึงงงไปชั่วขณะเดิมทีนางคิดว่าหลังจากที่อู่อันป๋อฮูหยินไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน เช่นนั้นอู่อันป๋อซื่อจื่อก็น่าจะไม่ได้ถูกใจเซวียนอี๋ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอันใด ถือเสียว่าเป็นการนัดพบกันระหว่างสหายตามปกติเท่านั้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กันเล่า?หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ตอนแรกนางคงรีบบอกกับอู่อันป๋อฮูหยินไปแล้วว่าไม่เหมาะสม แบบนี้อู่อันป๋อฮูหยินจะต้องพูดคุยกับอู่อันป๋อซื่อจื่อเป็นแน่ และก็จะไม่ไปมาหาสู่กับเซวียนอี๋เป็นการส่วนตัวอีกตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว คนคำนวนมิสู้ฟ้าลิขิตอย่างแท้จริง เป็นภัยพิบัติที่มิอาจหลีกเลี่ยงกู้เซวียนอี๋เห็นมารดานิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา จึงกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าก็ชอบพอเขาเช่นกันเจ้าค่ะ อยากแต่งงานกับเขาเท่านั้น”นางจางมองบุตรสาวที่ถลำเข้าไปเรียบร้อยแล้ว อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา กล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “เซวียนอี๋ เจ้าเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ในภายหน้าหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเสียใจเป็นแน่ จวนอู่อันป๋อไม่ได้สงบเหมือนดังเปลือกนอก มีเรื่องให้ทุกข์ใจมากมายนัก”กู้เซวียนอี๋กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “จวนอ
กู้เซวียนอี๋ตะลึงงัน หันกลับไปยกยิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผลว่า “ท่านแม่ ข้าคิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อดียิ่งนักเจ้าค่ะ ท่านย่าบอกว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อไม่ดี ก็เพราะว่าข้ามิใช่หลานสาวแท้ ๆ หรือไม่เจ้าคะ นางไม่อยากให้ข้าแต่งงานดี ๆ งั้นหรือเจ้าคะ? พอข้าแต่งงานกับเขาแล้ว ข้าก็จะเป็นฮูหยินของซื่อจื่อ และต่อไปก็จะเป็นฮูหยินท่านป๋อ มีอันใดไม่ดีกันเจ้าคะ?”เมื่อนางจางได้ฟังก็เกือบจะเป็นลมเพราะโทสะ ซักไซ้ว่า “เซวียนอี๋ เจ้าบอกแม่มา ว่ามีคนยุยงเจ้าใช่หรือไม่? ทั้ง ๆ ที่วันนั้นเจ้ารับปากแม่ไว้ดิบดีแล้ว ว่าจะไม่มีความรู้สึกใดต่ออู่อันป๋อซื่อจื่อ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจได้เล่า? ”ร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกวาบผ่านสายตาของกู้เซวียนอี๋ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดยุยงข้า เป็นข้าเองที่คิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อนั้นดียิ่งนัก เขารูปงาม มีชาติตระกูล และยังมีใจให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”นางจางโมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ นิ้วมือที่ชี้ไปยังกู้เซวียนอี๋สั่นเทาเล็กน้อย “เซวียนอี๋ เจ้า เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว!” นางกล่าว น้ำตาหยดลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ตำหนิตนเองยิ่งนัก “ต้องโทษแม่ เป็นแม่เอง
“แย่แล้วเจ้าค่ะ!”“ฮูหยินใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ!”นางจางเตรียมตัวจะไปที่เรือนของกู้เซวียนอี๋ เมิ่งจิ่นเหยาก็กำลังจะจากไป อยู่ ๆ ก็มีเสียงของสาวใช้ดังออกมาจากด้านนอก ราวกับว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตอันใดเมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝีเท้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักค้างใจของนางจางเต้นแรงและเร็วยิ่งนัก สัญชาตญาณบอกนางว่านั่นไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด ในทันใดนั้นเอง ก็มีเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของนาง รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในฉับพลันหลังจากที่สาวใช้รีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้ว นางจางก็จิตใจร้อนรน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องอันใดกัน ถึงได้ตื่นตกใจเช่นนี้? บุ่มบ่ามถึงเพียงนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย โชคดีที่วันนี้ไม่มีแขกอยู่ด้วย”เมื่อสาวใช้ฟังจบก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ รีบคารวะให้นางและเมิ่งจิ่นเหยา แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อนางจางได้ฟัง เบื้องหน้าก็มืดดับลง แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น โชคดีที่เมิ่งจิ่นเหยาอยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบเอื้อมมือไปพยุงนาง สาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวเช่นเดียวกัน พุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยุงนางไว้ นางถึงไ
ทั้งสองคนรับคำ แล้วสั่งให้สาวใช้ไปนำไพ่ใบไม้มา......จวนฉางซินโหวหลังจากเมิ่งจิ่นเหยากลับจวน ก็มุ่งหน้าไปที่เรือนของนางจางโดยทันทีการล่องเรือในวันนี้ ฉากนั้นที่นางเห็น นางคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากกับนางจาง หากว่านางจางรู้เรื่องอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ถือเสียว่านางยุ่งเรื่องของผู้อื่นหากว่านางจางไม่รู้เรื่อง การรู้ล่วงหน้าย่อมสามารถทำให้มีการเตรียมพร้อมได้ด้วยเช่นกัน อย่าปล่อยให้กู้เซวียนอี๋ก้าวเข้าไปในกองเพลิง มิเช่นนั้นเมื่อยามที่ได้รู้จากปากของกู้เซวียนอี๋ อาจจะสายเกินไปแล้วก็เป็นได้ และจะยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ หนิงตงถามว่า “ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องของบ้านใหญ่ ท่านจะสนใจมากมายทำไมกันหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ข้าก็เป็นสตรีเหมือนกัน ในเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว ย่อมทนเห็นนางกระโดดเข้าสู่กองเพลิงไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ชอบจวนอู่อันป๋อเท่าใดนัก”หนิงตงตะลึงงัน หลังจากนั้นก็พยักหน้านางจางรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยามาหานาง ก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญขึ้นมาเล็กน้อยในฉับพลัน ต้องรู้ว่าทุกครั้งมีเพียงนางเท่านั้นที่ไปพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาที่เรือนเวยห
ในชั่วขณะนั้นเอง ซ่งซินหนิงก็กล่าวว่า “จริงด้วย ครอบครัวสามีมั่งคั่งร่ำรวย ยังมิสู้ตนเองมั่งคั่งร่ำรวย”นางกล่าวแล้วยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน กล่าวอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นว่า “ก็เหมือนกับป้าสะใภ้เสิ่นของข้า นางมีเงินดังนั้นจึงได้เข้มแข็ง และใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาลุงเสิ่นของข้า กลับเป็นลุงเสิ่นที่พอมีปากเสียงกับนาง ชีวิตก็ลำบากขึ้นมาก ว่ากันว่าการเปลี่ยนจากความประหยัดไปสู่ความฟุ่มเฟือยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือยเป็นความประหยัดนั้นเป็นเรื่องยาก ตอนนี้แบกหน้าไปขอโทษป้าสะใภ้เสิ่นของข้าอีกครั้ง ขอการให้อภัย ทว่าป้าสะใภ้เสิ่นไม่แยแสแม้แต่น้อย”สีหน้าของเมิ่งจิ่นชะงักเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “มิใช่ว่าทุกความผิดจะได้รับการให้อภัย” เช่นเดียวกับเสิ่นฮูหยิน ยามเยาว์วัยรักกันอย่างปักใจ สามีภรรยารักใคร่กันเหมือนเก่าก่อนมานานหลายปี อยู่ ๆ ก็ได้รับการโจมตีครั้งใหญ่ โรคเก่ากำเริบจนเกือบจะสิ้นชีวิต จะให้อภัยต่อการทรยศของใต้เท้าเสิ่นได้เยี่ยงไรกัน?ใต้เท้าเสิ่นในตอนนี้ สำหรับเสิ่นฮูหยินแล้ว เป็นเพียงแค่บิดาของลูก ๆ เท่านั้น ในสายตาไม่มีสามีแบบเขาอยู่อีกแล้ว เพียงแค่พึ่งพาต
ท่านหญิงจิ้งหนิงพยักหน้าอีกครั้ง “ก็จริง อาเหยาของพวกเราเปิดเผยตรงไปตรงมา ถึงได้ไม่เกรงกลัวภูตผีปีศาจ หากผีต้องการทำร้ายคน นั่นก็คือคนชั่วที่ไปทำร้ายพวกเขา จึงได้ตามหาคนเลวเพื่อเอาชีวิต”ซ่งซินหนิงกล่าวอีกว่า “ไม่รู้ว่านักพรตผู้นั้นเก่งกาจหรือไม่เก่งกาจ และจะสามารถขับไล่ผีไปได้หรือไม่”รอยยิ้มของเมิ่งจิ่นเหยาลึกขึ้น พลางกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “น่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็คงจะไม่รับเงินมาทำงานหรอก จะสามารถกำจัดภูตผีได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ คงต้องดูว่านักพรตมีความสามารถเพียงพอหรือไม่เพียงพอ หากว่ามีความสามารถไม่พอ การขับไล่ภูตผีนี้ก็คงขับไล่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าความสามารถของนักพรตจะมีไม่เพียงพอ” ซ่งซินหนิงกล่าว พลางหัวเราะเสียงต่ำ “คนเช่นข้าอาจจะดูเหมือนขาดคุณธรรมไปบ้าง แต่ว่าคนแบบนางซุน ให้ภูติผีปีศาจหลอกหลอนเสียหน่อยถึงจะดี”เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่ แต่ข้าก็ชอบนะ”ซ่งซินหนิงหัวเราะคิกคัก หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็กล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านบิดามารดาเจ้าเช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาถาม “เรื่องอัน
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็เบิกตากว้างในฉับพลัน รู้สึกตกใจยิ่งนัก “เขาคืออู่อันป๋อซื่อจื่องั้นหรือ?”เมื่อท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นดังนั้น ก็ไม่เข้าใจสาเหตุ เหลือบมองนางด้วยความสับสน พยักหน้าพลางตอบกลับว่า “ใช่แล้ว เขาก็คืออู่อันป๋อซื่อจื่อ เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้แม่สามีเคยคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ไว้แล้ว ว่าสถานการณ์ของครอบครัวอู่อันป๋อซับซ้อน คุณหนูตระกูลใหญ่ปกติล้วนไม่คิดที่จะแต่งเข้าไปให้ทรมาน เรื่องกลัดกลุ้มใจมากมาย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่สะใภ้ใหญ่ในวันนั้น คงจะล้มเลิกความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับจวนอู่อันป๋ออย่างสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดกู้เซวียนอี๋ถึงได้มาล่องเรือด้วยกันกับอู่อันป๋อซื่อจื่อได้เล่า? หรือว่าเป็นเพราะกู้เซวียนอี๋กับอู่อันป๋อซื่อจื่อพึงใจกันและกัน จากนั้นจึงได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ?ซ่งซินหนิงเห็นนางผิดปกติ คิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อาเหยา เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้สติกลับมา ส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสตรี ถึงแม้กับสหายสนิ
เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ ตระหนักได้ว่าตนเองกับอาหนิงไม่ได้พบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เรื่องของท่านหญิงจิ้งหนิง นางยังไม่ได้บอกกับอาหนิงเลย ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงรีบกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ตอนนี้ข้ากับท่านหญิงจิ้งหนิงเป็นสหายกันแล้ว ท่านหญิงจิ้งหนิงได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเมิ่งจิ่นอวี้แล้วเช่นกัน และไม่ได้สนใจเมิ่งจิ่นอวี้อีก”เมื่อได้ฟังดังนั้น ในแววตาของซ่งซินหนิงก็ฉายแววแห่งความผิดหวัง รู้สึกว่าพออาเหยามีสหายคนใหม่ ก็เฉยเมยนางเสียแล้ว จึงบ่นพึมพำออกมา “อาเหยา เจ้าชอบของใหม่จึงเบื่อของเก่าแล้วใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยามองนางอย่างขุ่นเคือง เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ไหนกัน เป็นเพราะช่วงนี้เจ้ายุ่ง ๆ อยู่มิใช่หรือ ข้าถึงไม่ได้นัดเจ้าน่ะ? หากว่าพบเจอเจ้า จะต้องบอกกับเจ้าเป็นแน่ อาหนิงในใจของข้า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” เมื่อซ่งซินหนิงได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย ความเศร้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วมลายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าอาเหยาเป็นผู้ที่มีความรู้สึกยืนยาวผู้หนึ่ง ไม่มีทางชอบของใหม่แล้วเบื่อของเก่าเป็นแน่ คนที่รักมา