เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็เบิกตากว้างในฉับพลัน รู้สึกตกใจยิ่งนัก “เขาคืออู่อันป๋อซื่อจื่องั้นหรือ?”เมื่อท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นดังนั้น ก็ไม่เข้าใจสาเหตุ เหลือบมองนางด้วยความสับสน พยักหน้าพลางตอบกลับว่า “ใช่แล้ว เขาก็คืออู่อันป๋อซื่อจื่อ เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้แม่สามีเคยคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ไว้แล้ว ว่าสถานการณ์ของครอบครัวอู่อันป๋อซับซ้อน คุณหนูตระกูลใหญ่ปกติล้วนไม่คิดที่จะแต่งเข้าไปให้ทรมาน เรื่องกลัดกลุ้มใจมากมาย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่สะใภ้ใหญ่ในวันนั้น คงจะล้มเลิกความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับจวนอู่อันป๋ออย่างสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดกู้เซวียนอี๋ถึงได้มาล่องเรือด้วยกันกับอู่อันป๋อซื่อจื่อได้เล่า? หรือว่าเป็นเพราะกู้เซวียนอี๋กับอู่อันป๋อซื่อจื่อพึงใจกันและกัน จากนั้นจึงได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ?ซ่งซินหนิงเห็นนางผิดปกติ คิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อาเหยา เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้สติกลับมา ส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสตรี ถึงแม้กับสหายสนิ
ท่านหญิงจิ้งหนิงพยักหน้าอีกครั้ง “ก็จริง อาเหยาของพวกเราเปิดเผยตรงไปตรงมา ถึงได้ไม่เกรงกลัวภูตผีปีศาจ หากผีต้องการทำร้ายคน นั่นก็คือคนชั่วที่ไปทำร้ายพวกเขา จึงได้ตามหาคนเลวเพื่อเอาชีวิต”ซ่งซินหนิงกล่าวอีกว่า “ไม่รู้ว่านักพรตผู้นั้นเก่งกาจหรือไม่เก่งกาจ และจะสามารถขับไล่ผีไปได้หรือไม่”รอยยิ้มของเมิ่งจิ่นเหยาลึกขึ้น พลางกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “น่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็คงจะไม่รับเงินมาทำงานหรอก จะสามารถกำจัดภูตผีได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ คงต้องดูว่านักพรตมีความสามารถเพียงพอหรือไม่เพียงพอ หากว่ามีความสามารถไม่พอ การขับไล่ภูตผีนี้ก็คงขับไล่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าความสามารถของนักพรตจะมีไม่เพียงพอ” ซ่งซินหนิงกล่าว พลางหัวเราะเสียงต่ำ “คนเช่นข้าอาจจะดูเหมือนขาดคุณธรรมไปบ้าง แต่ว่าคนแบบนางซุน ให้ภูติผีปีศาจหลอกหลอนเสียหน่อยถึงจะดี”เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่ แต่ข้าก็ชอบนะ”ซ่งซินหนิงหัวเราะคิกคัก หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็กล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านบิดามารดาเจ้าเช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาถาม “เรื่องอัน
ในชั่วขณะนั้นเอง ซ่งซินหนิงก็กล่าวว่า “จริงด้วย ครอบครัวสามีมั่งคั่งร่ำรวย ยังมิสู้ตนเองมั่งคั่งร่ำรวย”นางกล่าวแล้วยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน กล่าวอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นว่า “ก็เหมือนกับป้าสะใภ้เสิ่นของข้า นางมีเงินดังนั้นจึงได้เข้มแข็ง และใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาลุงเสิ่นของข้า กลับเป็นลุงเสิ่นที่พอมีปากเสียงกับนาง ชีวิตก็ลำบากขึ้นมาก ว่ากันว่าการเปลี่ยนจากความประหยัดไปสู่ความฟุ่มเฟือยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือยเป็นความประหยัดนั้นเป็นเรื่องยาก ตอนนี้แบกหน้าไปขอโทษป้าสะใภ้เสิ่นของข้าอีกครั้ง ขอการให้อภัย ทว่าป้าสะใภ้เสิ่นไม่แยแสแม้แต่น้อย”สีหน้าของเมิ่งจิ่นชะงักเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “มิใช่ว่าทุกความผิดจะได้รับการให้อภัย” เช่นเดียวกับเสิ่นฮูหยิน ยามเยาว์วัยรักกันอย่างปักใจ สามีภรรยารักใคร่กันเหมือนเก่าก่อนมานานหลายปี อยู่ ๆ ก็ได้รับการโจมตีครั้งใหญ่ โรคเก่ากำเริบจนเกือบจะสิ้นชีวิต จะให้อภัยต่อการทรยศของใต้เท้าเสิ่นได้เยี่ยงไรกัน?ใต้เท้าเสิ่นในตอนนี้ สำหรับเสิ่นฮูหยินแล้ว เป็นเพียงแค่บิดาของลูก ๆ เท่านั้น ในสายตาไม่มีสามีแบบเขาอยู่อีกแล้ว เพียงแค่พึ่งพาต
ทั้งสองคนรับคำ แล้วสั่งให้สาวใช้ไปนำไพ่ใบไม้มา......จวนฉางซินโหวหลังจากเมิ่งจิ่นเหยากลับจวน ก็มุ่งหน้าไปที่เรือนของนางจางโดยทันทีการล่องเรือในวันนี้ ฉากนั้นที่นางเห็น นางคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากกับนางจาง หากว่านางจางรู้เรื่องอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ถือเสียว่านางยุ่งเรื่องของผู้อื่นหากว่านางจางไม่รู้เรื่อง การรู้ล่วงหน้าย่อมสามารถทำให้มีการเตรียมพร้อมได้ด้วยเช่นกัน อย่าปล่อยให้กู้เซวียนอี๋ก้าวเข้าไปในกองเพลิง มิเช่นนั้นเมื่อยามที่ได้รู้จากปากของกู้เซวียนอี๋ อาจจะสายเกินไปแล้วก็เป็นได้ และจะยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ หนิงตงถามว่า “ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องของบ้านใหญ่ ท่านจะสนใจมากมายทำไมกันหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ข้าก็เป็นสตรีเหมือนกัน ในเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว ย่อมทนเห็นนางกระโดดเข้าสู่กองเพลิงไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ชอบจวนอู่อันป๋อเท่าใดนัก”หนิงตงตะลึงงัน หลังจากนั้นก็พยักหน้านางจางรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยามาหานาง ก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญขึ้นมาเล็กน้อยในฉับพลัน ต้องรู้ว่าทุกครั้งมีเพียงนางเท่านั้นที่ไปพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาที่เรือนเวยห
“แย่แล้วเจ้าค่ะ!”“ฮูหยินใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ!”นางจางเตรียมตัวจะไปที่เรือนของกู้เซวียนอี๋ เมิ่งจิ่นเหยาก็กำลังจะจากไป อยู่ ๆ ก็มีเสียงของสาวใช้ดังออกมาจากด้านนอก ราวกับว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตอันใดเมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝีเท้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักค้างใจของนางจางเต้นแรงและเร็วยิ่งนัก สัญชาตญาณบอกนางว่านั่นไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด ในทันใดนั้นเอง ก็มีเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของนาง รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในฉับพลันหลังจากที่สาวใช้รีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้ว นางจางก็จิตใจร้อนรน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องอันใดกัน ถึงได้ตื่นตกใจเช่นนี้? บุ่มบ่ามถึงเพียงนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย โชคดีที่วันนี้ไม่มีแขกอยู่ด้วย”เมื่อสาวใช้ฟังจบก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ รีบคารวะให้นางและเมิ่งจิ่นเหยา แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อนางจางได้ฟัง เบื้องหน้าก็มืดดับลง แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น โชคดีที่เมิ่งจิ่นเหยาอยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบเอื้อมมือไปพยุงนาง สาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวเช่นเดียวกัน พุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยุงนางไว้ นางถึงไ
กู้เซวียนอี๋ตะลึงงัน หันกลับไปยกยิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผลว่า “ท่านแม่ ข้าคิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อดียิ่งนักเจ้าค่ะ ท่านย่าบอกว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อไม่ดี ก็เพราะว่าข้ามิใช่หลานสาวแท้ ๆ หรือไม่เจ้าคะ นางไม่อยากให้ข้าแต่งงานดี ๆ งั้นหรือเจ้าคะ? พอข้าแต่งงานกับเขาแล้ว ข้าก็จะเป็นฮูหยินของซื่อจื่อ และต่อไปก็จะเป็นฮูหยินท่านป๋อ มีอันใดไม่ดีกันเจ้าคะ?”เมื่อนางจางได้ฟังก็เกือบจะเป็นลมเพราะโทสะ ซักไซ้ว่า “เซวียนอี๋ เจ้าบอกแม่มา ว่ามีคนยุยงเจ้าใช่หรือไม่? ทั้ง ๆ ที่วันนั้นเจ้ารับปากแม่ไว้ดิบดีแล้ว ว่าจะไม่มีความรู้สึกใดต่ออู่อันป๋อซื่อจื่อ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจได้เล่า? ”ร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกวาบผ่านสายตาของกู้เซวียนอี๋ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดยุยงข้า เป็นข้าเองที่คิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อนั้นดียิ่งนัก เขารูปงาม มีชาติตระกูล และยังมีใจให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”นางจางโมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ นิ้วมือที่ชี้ไปยังกู้เซวียนอี๋สั่นเทาเล็กน้อย “เซวียนอี๋ เจ้า เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว!” นางกล่าว น้ำตาหยดลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ตำหนิตนเองยิ่งนัก “ต้องโทษแม่ เป็นแม่เอง
สู่ของั้นหรือ?เมื่อนางจางได้ฟังคำพูดสองคำนี้ ก็มึงงงไปชั่วขณะเดิมทีนางคิดว่าหลังจากที่อู่อันป๋อฮูหยินไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน เช่นนั้นอู่อันป๋อซื่อจื่อก็น่าจะไม่ได้ถูกใจเซวียนอี๋ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอันใด ถือเสียว่าเป็นการนัดพบกันระหว่างสหายตามปกติเท่านั้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กันเล่า?หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ตอนแรกนางคงรีบบอกกับอู่อันป๋อฮูหยินไปแล้วว่าไม่เหมาะสม แบบนี้อู่อันป๋อฮูหยินจะต้องพูดคุยกับอู่อันป๋อซื่อจื่อเป็นแน่ และก็จะไม่ไปมาหาสู่กับเซวียนอี๋เป็นการส่วนตัวอีกตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว คนคำนวนมิสู้ฟ้าลิขิตอย่างแท้จริง เป็นภัยพิบัติที่มิอาจหลีกเลี่ยงกู้เซวียนอี๋เห็นมารดานิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา จึงกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าก็ชอบพอเขาเช่นกันเจ้าค่ะ อยากแต่งงานกับเขาเท่านั้น”นางจางมองบุตรสาวที่ถลำเข้าไปเรียบร้อยแล้ว อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา กล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “เซวียนอี๋ เจ้าเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ในภายหน้าหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเสียใจเป็นแน่ จวนอู่อันป๋อไม่ได้สงบเหมือนดังเปลือกนอก มีเรื่องให้ทุกข์ใจมากมายนัก”กู้เซวียนอี๋กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “จวนอ
กู้จิ่งเซิ่งสูดลมหายใจเข้าอย่างเจ็บปวด สีหน้าย่ำแย่ “ฮูหยิน นี่เจ้าทำอันใดกัน? ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว จะทำอันใดได้อีก? ถึงเซวียนอี๋รับมือไม่ได้ก็ต้องทำ ให้นางฉลาดสักหน่อยก็พอแล้วไม่ใช่หรือไร?”คุยไม่ถูกคอ เพียงครึ่งคำก็มากเกินไป นางจางถูกพวกเขาพ่อลูกทำให้โมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ จ้องมองเขาอยู่นานด้วยความโกรธ ถึงอย่างไรก็อดทนไหว ไม่ได้ด่าเขาว่าโง่เง่า สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที เมื่อเห็นดังนั้น กู้จิ่งเซิ่งก็มีโทสะยิ่งนัก รู้สึกแต่เพียงว่าภรรยานับวันยิ่งเจ้าอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่เขา ความอ่อนโยนและใส่ใจเมื่อตอนยังเยาว์หายไปหมดแล้ว เขาจึงไปที่เรือนของอนุภรรยาด้วยความหงุดหงิด เพื่อเสาะหาเรื่องที่ทำให้มีความสุข นางจางกระวนกระวาย ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้มุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน เพื่อดูว่าแม่สามีมีวิธีช่วยเซวียนอี๋ได้หรือไม่ โถงโซ่วอัน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้อยู่ในโถงพระเกือบจะทั้งวัน ไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากภายนอก และยังไม่รู้เรื่องของหลานสาวคนโต มีสาวใช้มารายงานว่าสะใภ้ใหญ่มาหานาง นางถึงได้ออกมาจากโถงพระ และไปพบกับสะใภ้ใหญ่ เมื่อมองเห็นสะใภ้ใหญ่ดวงตาแดงก่ำ สีหน้า
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา