กู้จิ่งเซิ่งสูดลมหายใจเข้าอย่างเจ็บปวด สีหน้าย่ำแย่ “ฮูหยิน นี่เจ้าทำอันใดกัน? ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว จะทำอันใดได้อีก? ถึงเซวียนอี๋รับมือไม่ได้ก็ต้องทำ ให้นางฉลาดสักหน่อยก็พอแล้วไม่ใช่หรือไร?”คุยไม่ถูกคอ เพียงครึ่งคำก็มากเกินไป นางจางถูกพวกเขาพ่อลูกทำให้โมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ จ้องมองเขาอยู่นานด้วยความโกรธ ถึงอย่างไรก็อดทนไหว ไม่ได้ด่าเขาว่าโง่เง่า สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที เมื่อเห็นดังนั้น กู้จิ่งเซิ่งก็มีโทสะยิ่งนัก รู้สึกแต่เพียงว่าภรรยานับวันยิ่งเจ้าอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่เขา ความอ่อนโยนและใส่ใจเมื่อตอนยังเยาว์หายไปหมดแล้ว เขาจึงไปที่เรือนของอนุภรรยาด้วยความหงุดหงิด เพื่อเสาะหาเรื่องที่ทำให้มีความสุข นางจางกระวนกระวาย ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้มุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน เพื่อดูว่าแม่สามีมีวิธีช่วยเซวียนอี๋ได้หรือไม่ โถงโซ่วอัน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้อยู่ในโถงพระเกือบจะทั้งวัน ไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากภายนอก และยังไม่รู้เรื่องของหลานสาวคนโต มีสาวใช้มารายงานว่าสะใภ้ใหญ่มาหานาง นางถึงได้ออกมาจากโถงพระ และไปพบกับสะใภ้ใหญ่ เมื่อมองเห็นสะใภ้ใหญ่ดวงตาแดงก่ำ สีหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้สูดหายใจเข้าลึก น้ำเสียงกลับสู่ความสงบ “ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า? เซวียนอี๋กับอู่อันป๋อซื่อจื่อไปล่องเรือ หลังจากตกน้ำก็ถูกอู่อันป๋อซื่อจื่อช่วยขึ้นมา ทั้งยังถูกคนรู้จักมาเห็นเรื่องเช่นนี้อีก จะต้องแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน เซวียนอี๋ไม่แต่งกับเขา หรือว่าจะให้ตัดผมออกบวชเป็นแม่ชีหรือไร?”นางจางตะลึงงัน ในใจเป็นทุกข์ยิ่งนัก เดิมทีเป็นเพราะจวนอู่อันป๋อซื่อจื่อมีเรื่องกังวลใจอยู่มากมาย บุตรสาวแต่งออกไปจะน้อยเนื้อต่ำใจเอาได้ ซึ่งก็ไม่สบายใจมากพออยู่แล้ว ตอนนี้มาพบว่าลูกสะใภ้ที่อู่อันป๋อฮูหยินชื่นชอบที่สุดอาจจะไม่ใช่บุตรสาวของนาง บุตรสาวของนางเป็นเพียงทางเลือกเท่านั้น จึงยิ่งโมโหและยากที่จะรับได้นางกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ท่านแม่ นิสัยนี้ของเซวียนอี๋ หากแต่งออกไปแล้วรับมือไม่ไหว จะเสียเปรียบเอาได้เจ้าคะ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองนางจางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ท่าทางวิตกกังวล นางถอนหายใจแผ่วเบาอย่างช่วยไม่ได้ ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว ยังจะทำอย่างไรได้อีก?ชั่วขณะนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นมาก่อน มานั่งลงคุยกันเถิด”นางจางรับคำเสียงต่ำ ลุกขึ้นมาแล้วนั่งลงตรงตำแหน่ง
กู้จิ่งซีเปิดริมฝีปากบาง พลางกล่าวเสียเรียบเฉยว่า “มีบางครั้ง ที่นิสัยกำหนดโชคชะตา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิธีการสั่งสอนของบิดามารดา อีกส่วนหนึ่งเป็นสาเหตุมาจากนิสัย หากเปลี่ยนเป็นเซวียนหลิง ตราบใดที่พี่สะใภ้รองบอกว่าไม่ได้ ก็คงจะไม่กล้าติดต่อกับผู้ชายเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน”เมิ่งจิ่นเหยาชะงัก จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยทันที เปลี่ยนเป็นเซวียนหลิง คงจะไม่กล้าทำเช่นนี้อย่างแน่นอน เซวียนหลิงเชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด และไม่เคยทำเรื่องที่ล้ำเส้นเลย “เพียงแต่ พี่สะใภ้ใหญ่ดูเหมือนจะสูญเสียจิตวิญญาณเพราะเรื่องนี้นะเจ้าคะ”กู้จิ่งซีไม่มีความเห็นใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางไม่สั่งสอนบุตรสาวให้ดี ทั้งยังถูกความเย่อหยิ่งครอบงำจนรับปากอู่อันป๋อ ว่าจะให้เซวียนอี๋เจอกับอู่อันป๋อซื่อจื่ออีก สุดท้ายเกิดเรื่องเช่นนี้ จะโทษผู้ใดได้? มีเวลาโศกเศร้า ไม่สู้ใช้เวลาเตือนบุตรสาว และทำให้บุตรสาวฉลาดขึ้นเสียหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงการเสียเปรียบหลังแต่งออกไปไม่ดีกว่าหรือ?”คำพูดนี้กล่าวได้มีเหตุผล เมิ่งจิ่นเหยาจึงไม่มีการคัดค้านความจริงคนเป็นมารดามีอิทธิพลต่อบุตรสาวอย่างมาก เรื่องนี้กำห
นางเฉินยิ้มและเม้มปาก พลางมองไปทางบุตรชายที่อยู่อีกด้าน รอยยิ้มก็แข็งค้าง เรื่องงานแต่งของลูกอนุได้รับการตัดสินแล้ว แต่บุตรชายสายตรงของนางกลับยังไม่มีการตัดสิน ตอนนี้เรือนใหญ่ใกล้จะมีหลานชายคนโตสายตรงหรือว่าหลานสาวคนโตสายตรงแล้ว เมื่อนางจางเห็นนางก็โอ้อวดกับนาง ท่าทีเย่อหยิ่งนั้นทำให้นางโกรธอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวนางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “น่าเสียดาย ครั้งก่อนเดิมทีถูกใจแม่นางดี ๆ คนหนึ่ง ต่างถูกซิวหมิงทำให้วุ่นวาย เขาก่อเรื่องเช่นนั้นออกมา มารดาของฝ่ายหญิงเขาจึงไม่อยากยกบุตรสาวให้แต่งเข้าบ้านพวกเรา หลี่หว่านบอกว่าธรรมเนียมบ้านพวกเราไม่ดี แถมยังโปรดปรานอนุละเลยภรรยา จนตอนนี้ฝ่ายหญิงเขาหมั้นหมายแล้ว”ทันทีที่กู้ซิวหงได้ยินบทสนทนาวกกลับมาถึงตนเอง ก็รีบกล่าว ”ท่านแม่ ท่านเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานของน้องรองก่อน ลูกยังไม่รีบ และอยากรอจนกว่าจะสอบผ่านเข้าราชสำนักค่อยว่ากันขอรับ“นางเฉินจ้องเขาแวบหนึ่ง “พี่ชายใหญ่เจ้าอายุมากกว่าเจ้าหนึ่งปี ตอนนี้ใกล้จะเป็นพ่อคนอยู่แล้ว เจ้ายังไม่รีบร้อนอีกหรือ?”กู้ซิวหงถามด้วยน้ำเสียงเบาเล็กน้อย “ท่านแม่ ฮูหยินสกุลหลิวบ้านข้าง ๆ ที่อายุเท่าท่าน ได้ยินว่าต
กู้เซวียนอี๋เห็นนางแล้ว ก็รีบเข้ามาคารวะ “เซวียนอี๋คารวะอาสะใภ้สามเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อย “เซวียนอี๋”เวลานี้ กู้ซิวหมิงและหลี่หว่านเอ๋อร์เดินมาทางนี้ หลังจากเห็นพวกนาง ก็เดินเข้ามากู้ซิวหมิงประสานมือคารวะต่อเมิ่งจิ่นเหยาอย่างนอบน้อม “ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ” ขณะที่กล่าว เขาก็พยักหน้าให้กู้เซวียนอี๋เบา ๆ “น้องหญิงใหญ่”หลี่หว่านเอ๋อร์ก็รีบย่อกายคารวะเช่นกัน “ข้าน้อยคารวะฮูหยิน คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวเสียงราบเรียบ “หลี่อี๋เหนียงไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นมาเถอะ”หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนขึ้น และยืนอยู่ข้างกายกู้ซิวหมิงอย่างว่าง่าย พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนสายตาของกู้ซิวหมิงตกอยู่ที่เซวียนอี๋ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย และกล่าวเสียงอ่อนโยน “น้องหญิงใหญ่ เจ้าหมั้นหมายแล้ว พี่สามยังไม่ได้ยินดีกับเจ้า เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าตรงนี้เลยแล้วกัน”เมิ่งจิ่นเหยาเห็นกู้ซิวหมิงมุมปากประดับรอยยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยน แต่กลับยิ้มไม่ส่งถึงดวงตา หากไม่สังเกตให้ดี คงมองไม่ออกจริง ๆ นางจึงขมวดคิ้วอย่างยากจะสังเกตเห็น พลางวิจารณ์อยู่ภายในใจ นางรู้
เรือนเวยหรุยเซวียนหลังกลับมาถึงเรือนเวยหรุยเซวียน เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางสาวใช้ทั้งสองของตนเอง “ชิงชิว หนิงตง ช่วงที่อยู่ด้านหลังสวนบุปผาเมื่อครู่ พวกเจ้าค้นพบพิรุธอะไรแล้วหรือไม่?”หนิงตงส่ายหน้าเบา ๆ พลางมองนางอย่างงุนงง และแสดงให้เห็นว่าไม่ค้นพบอะไร แม้กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางถามเกี่ยวกับปัญหาใด ความคิดของชิงชิวละเอียดกว่าหนิงตงมาก ตอนที่สังเกตถึงสิ่งต่าง ๆ ก็ละเอียดอ่อนในทุกอย่าง ถึงกลับค้นพบปัญหาบางอย่าง และตอบกลับเสียงนอบน้อมว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยพบว่าท่านซื่อจื่อเสแสร้งมาหลายวัน ในที่สุดก็แสดงพิรุธออกมาแล้วเจ้าค่ะ”หนิงตงมองนางอย่างตกใจ และรีบถาม “ชิงชิว เมื่อครู่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โตอะไร แล้วเจ้าจะค้นพบความผิดปกติได้อย่างไร? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านซื่อจื่อไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย?”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวเสียงอ่อนโยน “ชิงชิวพูดถูก เขาแสดงพิรุธออกมาแล้ว” ขณะที่นางกล่าวก็จ้องหนิงตงเขม็ง “ก่อนหน้านี้ก็ให้เจ้าสังเกตและใส่ใจกับสิ่งรอบตัวให้ดี หากไม่สังเกตอย่างละเอียด ก็คงมองอะไรไม่ออกเป็นแน่”หนิงตงกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา “ฮูหยิน เมื่อครู่ข้าน้อยมองพวกเขาอยู่ตลอด เห
หนิงตงฟังจบ ก็ทำปากจู๋ก้มหน้าลง และเข้าสู่ความเงียบชิงชิวเงียบไปเช่นกัน ความคิดของนายหญิงนางเข้าใจ สถานการณ์ของนายหญิงนางยิ่งรู้ดี นายหญิงระมัดระวังในทุกสิ่ง เพราะนางไม่มีสิทธิ์เอาแต่ใจ ก่อนหน้านี้นายหญิงโต้เถียงกับท่านซื่อจื่อ ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บวกกับท่านซื่อจื่อไม่เคารพนายหญิงก่อน นายหญิงจึงเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล แต่หากในสถานการณ์ที่ท่านซื่อจื่อ ‘เปลี่ยนในทางที่ดี’ นายหญิงกลับนินทาอยู่ตรงหน้าท่านโหว และเอาแต่พูดว่าท่านซื่อจื่อมีเจตนาไม่ดี ถึงตอนนั้นท่านโหวคงระแวงนายหญิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนายหญิงบ้านพวกนาง ก็ไม่เคยทำอะไรโดยไม่มีความมั่นใจมาก่อนเมิ่งจิ่นเหยามองพวกนาง พลางกล่าวเสียงเบา “ตอนนี้กู้ซิวหมิงไม่ทำอะไรข้า ข้าระวังตัวไว้ก็พอ ส่วนอย่างอื่นยังไม่ต้องทำอะไร หากเป็นฝ่ายจัดการเขา ด้วยการมองทะลุของท่านโหว และวิธีการของข้าจะต้องปิดบังจากสายตาเขาไม่พ้นอย่างแน่นอน นั่นเท่ากับการทำลายตนเอง” หนิงตงพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ฮูหยิน พูดถึงความอดทนเขาคงสู้ท่านไม่ได้ เรื่องของคุณชายใหญ่ ท่านอดทนมานานหลายปีถึงจะลงมือกับนางซุน เขาคงอดทนต่อท่านไม่นานอย่างแน่
ยามกินอาหารเย็น เงียบสงบยิ่งนักแต่ไหนแต่ไรมาตอนกินอาหารกู้จิ่งซีก็ไม่เคยเอ่ยปากอยู่แล้ว กินอาหารอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดอันใดแม้แต่ครึ่งคำอีกทั้งเมิ่งจิ่นเหยากับกู้ซิวหมิงที่ไม่มีอะไรจะต้องพูดกัน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากว่ากู้ซิวหมิงไม่อยู่ ยามที่นางเกิดความสนใจอาจจะคุยกับกู้จิ่งซีสักประโยคสองประโยคครอบครัวทั้งสามคนกินอาหารกันอย่างเงียบ ๆ ภาพแห่งความปรองดอง มองเพียงแวบแรกดูมีความสุขสามัคคีกันยิ่งนัก“ช้าก่อน”ทันใดนั้น กู้จิ่งซีที่ไม่ได้พูดอันใดมาโดยตลอด อยู่ ๆ ก็เอ่ยปากออกมา กู้ซิวหมิงที่กำลังจะคีบอาหารชะงักค้าง มองไปทางเขาอย่างงุนงง เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นเดียวกัน จึงหยุดกินอาหารโดยไม่รู้ตัวกู้ซิวหมิงถามว่า “ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ?”“นี่เป็นของที่มารดาเจ้าชอบกิน”เมื่อกู้จิ่งซีกล่าวเสียงเรียบจบ ก็คีบปีกกลางไก่ที่เดิมทีกู้ซิวหมิงคิดจะคีบชิ้นนั้นขึ้นมา แล้ววางใส่ในถ้วยของเมิ่งจิ่นเหยาเขาจำได้ว่าทุกส่วนของไก่ ส่วนที่แม่นางน้อยชื่นชอบที่สุดก็คือปีกกลางไก่ ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งที่เขากินมันไป แม่นางน้อยเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองอยู่หลายครั้ง ภายหลังเขาถึงไ
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา