กู้ซิวหมิงดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้วจริง ๆ เปลี่ยนเป็นคนที่อ่อนโยน มีความถ่อมตน และมีความก้าวหน้าในการเรียน แถมทุกวันยังไปคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เมื่อกู้จิ่งซีเลิกงานกลับมา ก็มาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเพื่อขอคำแนะนำจากกู้จิ่งซีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้เรือนใหญ่กับเรือนรองต่างตกใจ ซึ่งต้องทราบว่าก่อนหน้านี้พฤติกรรมขายหน้าเหล่านั้นของกู้ซิวหมิง พวกเขาต่างเกือบจะคิดว่ากู้ซิวหมิงไม่มีอนาคต และกลายเป็นคนไร้ความสามารถไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนที่ไร้ความสามารถไม่ต้องพยุงก็สามารถปีนขึ้นกำแพงได้บุตรอกตัญญูจู่ ๆ กลายเป็นบุตรกตัญญู เมิ่งจิ่นหยาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน วันนี้กลางวันยาวกลางคืนสั้น นางจึงตื่นเช้าขึ้น ทุกวันหลังจากตื่นและนอนล้างตัวจะเห็นบุตรอกตัญญูเข้ามาคารวะยามเช้า ทุกครั้งล้วนแสดงความเคารพทั้งยังกตัญญู ไม่มีการทำแบบส่ง ๆ เลยแม้แต่น้อยไม่ว่ากู้ซิวหมิงจะจริงใจ หรือว่าเสแสร้ง นางล้วนต้องเล่นบทมารดาที่เมตตา ดังนั้นทุกครั้งที่มารดาและบุตรมาเจอกัน จึงไม่มีการโต้ตอบแบบเมื่อก่อน และจะมีแต่ภาพบรรยากาศที่กลมเกลียวของมารดาผู้เมตตากับลูกที่กตัญญูเท่านั้น
เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ ตระหนักได้ว่าตนเองกับอาหนิงไม่ได้พบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เรื่องของท่านหญิงจิ้งหนิง นางยังไม่ได้บอกกับอาหนิงเลย ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงรีบกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ตอนนี้ข้ากับท่านหญิงจิ้งหนิงเป็นสหายกันแล้ว ท่านหญิงจิ้งหนิงได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเมิ่งจิ่นอวี้แล้วเช่นกัน และไม่ได้สนใจเมิ่งจิ่นอวี้อีก”เมื่อได้ฟังดังนั้น ในแววตาของซ่งซินหนิงก็ฉายแววแห่งความผิดหวัง รู้สึกว่าพออาเหยามีสหายคนใหม่ ก็เฉยเมยนางเสียแล้ว จึงบ่นพึมพำออกมา “อาเหยา เจ้าชอบของใหม่จึงเบื่อของเก่าแล้วใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยามองนางอย่างขุ่นเคือง เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ไหนกัน เป็นเพราะช่วงนี้เจ้ายุ่ง ๆ อยู่มิใช่หรือ ข้าถึงไม่ได้นัดเจ้าน่ะ? หากว่าพบเจอเจ้า จะต้องบอกกับเจ้าเป็นแน่ อาหนิงในใจของข้า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” เมื่อซ่งซินหนิงได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย ความเศร้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วมลายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าอาเหยาเป็นผู้ที่มีความรู้สึกยืนยาวผู้หนึ่ง ไม่มีทางชอบของใหม่แล้วเบื่อของเก่าเป็นแน่ คนที่รักมา
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็เบิกตากว้างในฉับพลัน รู้สึกตกใจยิ่งนัก “เขาคืออู่อันป๋อซื่อจื่องั้นหรือ?”เมื่อท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นดังนั้น ก็ไม่เข้าใจสาเหตุ เหลือบมองนางด้วยความสับสน พยักหน้าพลางตอบกลับว่า “ใช่แล้ว เขาก็คืออู่อันป๋อซื่อจื่อ เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้แม่สามีเคยคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ไว้แล้ว ว่าสถานการณ์ของครอบครัวอู่อันป๋อซับซ้อน คุณหนูตระกูลใหญ่ปกติล้วนไม่คิดที่จะแต่งเข้าไปให้ทรมาน เรื่องกลัดกลุ้มใจมากมาย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่สะใภ้ใหญ่ในวันนั้น คงจะล้มเลิกความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับจวนอู่อันป๋ออย่างสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดกู้เซวียนอี๋ถึงได้มาล่องเรือด้วยกันกับอู่อันป๋อซื่อจื่อได้เล่า? หรือว่าเป็นเพราะกู้เซวียนอี๋กับอู่อันป๋อซื่อจื่อพึงใจกันและกัน จากนั้นจึงได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ?ซ่งซินหนิงเห็นนางผิดปกติ คิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อาเหยา เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้สติกลับมา ส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสตรี ถึงแม้กับสหายสนิ
ท่านหญิงจิ้งหนิงพยักหน้าอีกครั้ง “ก็จริง อาเหยาของพวกเราเปิดเผยตรงไปตรงมา ถึงได้ไม่เกรงกลัวภูตผีปีศาจ หากผีต้องการทำร้ายคน นั่นก็คือคนชั่วที่ไปทำร้ายพวกเขา จึงได้ตามหาคนเลวเพื่อเอาชีวิต”ซ่งซินหนิงกล่าวอีกว่า “ไม่รู้ว่านักพรตผู้นั้นเก่งกาจหรือไม่เก่งกาจ และจะสามารถขับไล่ผีไปได้หรือไม่”รอยยิ้มของเมิ่งจิ่นเหยาลึกขึ้น พลางกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “น่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง มิเช่นนั้นก็คงจะไม่รับเงินมาทำงานหรอก จะสามารถกำจัดภูตผีได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ คงต้องดูว่านักพรตมีความสามารถเพียงพอหรือไม่เพียงพอ หากว่ามีความสามารถไม่พอ การขับไล่ภูตผีนี้ก็คงขับไล่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าความสามารถของนักพรตจะมีไม่เพียงพอ” ซ่งซินหนิงกล่าว พลางหัวเราะเสียงต่ำ “คนเช่นข้าอาจจะดูเหมือนขาดคุณธรรมไปบ้าง แต่ว่าคนแบบนางซุน ให้ภูติผีปีศาจหลอกหลอนเสียหน่อยถึงจะดี”เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่ แต่ข้าก็ชอบนะ”ซ่งซินหนิงหัวเราะคิกคัก หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็กล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านบิดามารดาเจ้าเช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาถาม “เรื่องอัน
ในชั่วขณะนั้นเอง ซ่งซินหนิงก็กล่าวว่า “จริงด้วย ครอบครัวสามีมั่งคั่งร่ำรวย ยังมิสู้ตนเองมั่งคั่งร่ำรวย”นางกล่าวแล้วยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน กล่าวอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นว่า “ก็เหมือนกับป้าสะใภ้เสิ่นของข้า นางมีเงินดังนั้นจึงได้เข้มแข็ง และใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาลุงเสิ่นของข้า กลับเป็นลุงเสิ่นที่พอมีปากเสียงกับนาง ชีวิตก็ลำบากขึ้นมาก ว่ากันว่าการเปลี่ยนจากความประหยัดไปสู่ความฟุ่มเฟือยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือยเป็นความประหยัดนั้นเป็นเรื่องยาก ตอนนี้แบกหน้าไปขอโทษป้าสะใภ้เสิ่นของข้าอีกครั้ง ขอการให้อภัย ทว่าป้าสะใภ้เสิ่นไม่แยแสแม้แต่น้อย”สีหน้าของเมิ่งจิ่นชะงักเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “มิใช่ว่าทุกความผิดจะได้รับการให้อภัย” เช่นเดียวกับเสิ่นฮูหยิน ยามเยาว์วัยรักกันอย่างปักใจ สามีภรรยารักใคร่กันเหมือนเก่าก่อนมานานหลายปี อยู่ ๆ ก็ได้รับการโจมตีครั้งใหญ่ โรคเก่ากำเริบจนเกือบจะสิ้นชีวิต จะให้อภัยต่อการทรยศของใต้เท้าเสิ่นได้เยี่ยงไรกัน?ใต้เท้าเสิ่นในตอนนี้ สำหรับเสิ่นฮูหยินแล้ว เป็นเพียงแค่บิดาของลูก ๆ เท่านั้น ในสายตาไม่มีสามีแบบเขาอยู่อีกแล้ว เพียงแค่พึ่งพาต
ทั้งสองคนรับคำ แล้วสั่งให้สาวใช้ไปนำไพ่ใบไม้มา......จวนฉางซินโหวหลังจากเมิ่งจิ่นเหยากลับจวน ก็มุ่งหน้าไปที่เรือนของนางจางโดยทันทีการล่องเรือในวันนี้ ฉากนั้นที่นางเห็น นางคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากกับนางจาง หากว่านางจางรู้เรื่องอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ถือเสียว่านางยุ่งเรื่องของผู้อื่นหากว่านางจางไม่รู้เรื่อง การรู้ล่วงหน้าย่อมสามารถทำให้มีการเตรียมพร้อมได้ด้วยเช่นกัน อย่าปล่อยให้กู้เซวียนอี๋ก้าวเข้าไปในกองเพลิง มิเช่นนั้นเมื่อยามที่ได้รู้จากปากของกู้เซวียนอี๋ อาจจะสายเกินไปแล้วก็เป็นได้ และจะยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ หนิงตงถามว่า “ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องของบ้านใหญ่ ท่านจะสนใจมากมายทำไมกันหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ข้าก็เป็นสตรีเหมือนกัน ในเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว ย่อมทนเห็นนางกระโดดเข้าสู่กองเพลิงไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ชอบจวนอู่อันป๋อเท่าใดนัก”หนิงตงตะลึงงัน หลังจากนั้นก็พยักหน้านางจางรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยามาหานาง ก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญขึ้นมาเล็กน้อยในฉับพลัน ต้องรู้ว่าทุกครั้งมีเพียงนางเท่านั้นที่ไปพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาที่เรือนเวยห
“แย่แล้วเจ้าค่ะ!”“ฮูหยินใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ!”นางจางเตรียมตัวจะไปที่เรือนของกู้เซวียนอี๋ เมิ่งจิ่นเหยาก็กำลังจะจากไป อยู่ ๆ ก็มีเสียงของสาวใช้ดังออกมาจากด้านนอก ราวกับว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตอันใดเมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝีเท้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักค้างใจของนางจางเต้นแรงและเร็วยิ่งนัก สัญชาตญาณบอกนางว่านั่นไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด ในทันใดนั้นเอง ก็มีเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของนาง รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในฉับพลันหลังจากที่สาวใช้รีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้ว นางจางก็จิตใจร้อนรน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องอันใดกัน ถึงได้ตื่นตกใจเช่นนี้? บุ่มบ่ามถึงเพียงนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย โชคดีที่วันนี้ไม่มีแขกอยู่ด้วย”เมื่อสาวใช้ฟังจบก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ รีบคารวะให้นางและเมิ่งจิ่นเหยา แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อนางจางได้ฟัง เบื้องหน้าก็มืดดับลง แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น โชคดีที่เมิ่งจิ่นเหยาอยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบเอื้อมมือไปพยุงนาง สาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวเช่นเดียวกัน พุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยุงนางไว้ นางถึงไ
กู้เซวียนอี๋ตะลึงงัน หันกลับไปยกยิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผลว่า “ท่านแม่ ข้าคิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อดียิ่งนักเจ้าค่ะ ท่านย่าบอกว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อไม่ดี ก็เพราะว่าข้ามิใช่หลานสาวแท้ ๆ หรือไม่เจ้าคะ นางไม่อยากให้ข้าแต่งงานดี ๆ งั้นหรือเจ้าคะ? พอข้าแต่งงานกับเขาแล้ว ข้าก็จะเป็นฮูหยินของซื่อจื่อ และต่อไปก็จะเป็นฮูหยินท่านป๋อ มีอันใดไม่ดีกันเจ้าคะ?”เมื่อนางจางได้ฟังก็เกือบจะเป็นลมเพราะโทสะ ซักไซ้ว่า “เซวียนอี๋ เจ้าบอกแม่มา ว่ามีคนยุยงเจ้าใช่หรือไม่? ทั้ง ๆ ที่วันนั้นเจ้ารับปากแม่ไว้ดิบดีแล้ว ว่าจะไม่มีความรู้สึกใดต่ออู่อันป๋อซื่อจื่อ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจได้เล่า? ”ร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกวาบผ่านสายตาของกู้เซวียนอี๋ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดยุยงข้า เป็นข้าเองที่คิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อนั้นดียิ่งนัก เขารูปงาม มีชาติตระกูล และยังมีใจให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”นางจางโมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ นิ้วมือที่ชี้ไปยังกู้เซวียนอี๋สั่นเทาเล็กน้อย “เซวียนอี๋ เจ้า เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว!” นางกล่าว น้ำตาหยดลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ตำหนิตนเองยิ่งนัก “ต้องโทษแม่ เป็นแม่เอง
กู้เซวียนอี๋เห็นนางแล้ว ก็รีบเข้ามาคารวะ “เซวียนอี๋คารวะอาสะใภ้สามเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อย “เซวียนอี๋”เวลานี้ กู้ซิวหมิงและหลี่หว่านเอ๋อร์เดินมาทางนี้ หลังจากเห็นพวกนาง ก็เดินเข้ามากู้ซิวหมิงประสานมือคารวะต่อเมิ่งจิ่นเหยาอย่างนอบน้อม “ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ” ขณะที่กล่าว เขาก็พยักหน้าให้กู้เซวียนอี๋เบา ๆ “น้องหญิงใหญ่”หลี่หว่านเอ๋อร์ก็รีบย่อกายคารวะเช่นกัน “ข้าน้อยคารวะฮูหยิน คารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวเสียงราบเรียบ “หลี่อี๋เหนียงไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นมาเถอะ”หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนขึ้น และยืนอยู่ข้างกายกู้ซิวหมิงอย่างว่าง่าย พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนสายตาของกู้ซิวหมิงตกอยู่ที่เซวียนอี๋ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย และกล่าวเสียงอ่อนโยน “น้องหญิงใหญ่ เจ้าหมั้นหมายแล้ว พี่สามยังไม่ได้ยินดีกับเจ้า เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าตรงนี้เลยแล้วกัน”เมิ่งจิ่นเหยาเห็นกู้ซิวหมิงมุมปากประดับรอยยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยน แต่กลับยิ้มไม่ส่งถึงดวงตา หากไม่สังเกตให้ดี คงมองไม่ออกจริง ๆ นางจึงขมวดคิ้วอย่างยากจะสังเกตเห็น พลางวิจารณ์อยู่ภายในใจ นางรู้
นางเฉินยิ้มและเม้มปาก พลางมองไปทางบุตรชายที่อยู่อีกด้าน รอยยิ้มก็แข็งค้าง เรื่องงานแต่งของลูกอนุได้รับการตัดสินแล้ว แต่บุตรชายสายตรงของนางกลับยังไม่มีการตัดสิน ตอนนี้เรือนใหญ่ใกล้จะมีหลานชายคนโตสายตรงหรือว่าหลานสาวคนโตสายตรงแล้ว เมื่อนางจางเห็นนางก็โอ้อวดกับนาง ท่าทีเย่อหยิ่งนั้นทำให้นางโกรธอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวนางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “น่าเสียดาย ครั้งก่อนเดิมทีถูกใจแม่นางดี ๆ คนหนึ่ง ต่างถูกซิวหมิงทำให้วุ่นวาย เขาก่อเรื่องเช่นนั้นออกมา มารดาของฝ่ายหญิงเขาจึงไม่อยากยกบุตรสาวให้แต่งเข้าบ้านพวกเรา หลี่หว่านบอกว่าธรรมเนียมบ้านพวกเราไม่ดี แถมยังโปรดปรานอนุละเลยภรรยา จนตอนนี้ฝ่ายหญิงเขาหมั้นหมายแล้ว”ทันทีที่กู้ซิวหงได้ยินบทสนทนาวกกลับมาถึงตนเอง ก็รีบกล่าว ”ท่านแม่ ท่านเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานของน้องรองก่อน ลูกยังไม่รีบ และอยากรอจนกว่าจะสอบผ่านเข้าราชสำนักค่อยว่ากันขอรับ“นางเฉินจ้องเขาแวบหนึ่ง “พี่ชายใหญ่เจ้าอายุมากกว่าเจ้าหนึ่งปี ตอนนี้ใกล้จะเป็นพ่อคนอยู่แล้ว เจ้ายังไม่รีบร้อนอีกหรือ?”กู้ซิวหงถามด้วยน้ำเสียงเบาเล็กน้อย “ท่านแม่ ฮูหยินสกุลหลิวบ้านข้าง ๆ ที่อายุเท่าท่าน ได้ยินว่าต
กู้จิ่งซีเปิดริมฝีปากบาง พลางกล่าวเสียเรียบเฉยว่า “มีบางครั้ง ที่นิสัยกำหนดโชคชะตา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิธีการสั่งสอนของบิดามารดา อีกส่วนหนึ่งเป็นสาเหตุมาจากนิสัย หากเปลี่ยนเป็นเซวียนหลิง ตราบใดที่พี่สะใภ้รองบอกว่าไม่ได้ ก็คงจะไม่กล้าติดต่อกับผู้ชายเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน”เมิ่งจิ่นเหยาชะงัก จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วยทันที เปลี่ยนเป็นเซวียนหลิง คงจะไม่กล้าทำเช่นนี้อย่างแน่นอน เซวียนหลิงเชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด และไม่เคยทำเรื่องที่ล้ำเส้นเลย “เพียงแต่ พี่สะใภ้ใหญ่ดูเหมือนจะสูญเสียจิตวิญญาณเพราะเรื่องนี้นะเจ้าคะ”กู้จิ่งซีไม่มีความเห็นใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางไม่สั่งสอนบุตรสาวให้ดี ทั้งยังถูกความเย่อหยิ่งครอบงำจนรับปากอู่อันป๋อ ว่าจะให้เซวียนอี๋เจอกับอู่อันป๋อซื่อจื่ออีก สุดท้ายเกิดเรื่องเช่นนี้ จะโทษผู้ใดได้? มีเวลาโศกเศร้า ไม่สู้ใช้เวลาเตือนบุตรสาว และทำให้บุตรสาวฉลาดขึ้นเสียหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงการเสียเปรียบหลังแต่งออกไปไม่ดีกว่าหรือ?”คำพูดนี้กล่าวได้มีเหตุผล เมิ่งจิ่นเหยาจึงไม่มีการคัดค้านความจริงคนเป็นมารดามีอิทธิพลต่อบุตรสาวอย่างมาก เรื่องนี้กำห
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้สูดหายใจเข้าลึก น้ำเสียงกลับสู่ความสงบ “ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า? เซวียนอี๋กับอู่อันป๋อซื่อจื่อไปล่องเรือ หลังจากตกน้ำก็ถูกอู่อันป๋อซื่อจื่อช่วยขึ้นมา ทั้งยังถูกคนรู้จักมาเห็นเรื่องเช่นนี้อีก จะต้องแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน เซวียนอี๋ไม่แต่งกับเขา หรือว่าจะให้ตัดผมออกบวชเป็นแม่ชีหรือไร?”นางจางตะลึงงัน ในใจเป็นทุกข์ยิ่งนัก เดิมทีเป็นเพราะจวนอู่อันป๋อซื่อจื่อมีเรื่องกังวลใจอยู่มากมาย บุตรสาวแต่งออกไปจะน้อยเนื้อต่ำใจเอาได้ ซึ่งก็ไม่สบายใจมากพออยู่แล้ว ตอนนี้มาพบว่าลูกสะใภ้ที่อู่อันป๋อฮูหยินชื่นชอบที่สุดอาจจะไม่ใช่บุตรสาวของนาง บุตรสาวของนางเป็นเพียงทางเลือกเท่านั้น จึงยิ่งโมโหและยากที่จะรับได้นางกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ท่านแม่ นิสัยนี้ของเซวียนอี๋ หากแต่งออกไปแล้วรับมือไม่ไหว จะเสียเปรียบเอาได้เจ้าคะ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองนางจางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ท่าทางวิตกกังวล นางถอนหายใจแผ่วเบาอย่างช่วยไม่ได้ ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว ยังจะทำอย่างไรได้อีก?ชั่วขณะนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นมาก่อน มานั่งลงคุยกันเถิด”นางจางรับคำเสียงต่ำ ลุกขึ้นมาแล้วนั่งลงตรงตำแหน่ง
กู้จิ่งเซิ่งสูดลมหายใจเข้าอย่างเจ็บปวด สีหน้าย่ำแย่ “ฮูหยิน นี่เจ้าทำอันใดกัน? ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว จะทำอันใดได้อีก? ถึงเซวียนอี๋รับมือไม่ได้ก็ต้องทำ ให้นางฉลาดสักหน่อยก็พอแล้วไม่ใช่หรือไร?”คุยไม่ถูกคอ เพียงครึ่งคำก็มากเกินไป นางจางถูกพวกเขาพ่อลูกทำให้โมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ จ้องมองเขาอยู่นานด้วยความโกรธ ถึงอย่างไรก็อดทนไหว ไม่ได้ด่าเขาว่าโง่เง่า สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที เมื่อเห็นดังนั้น กู้จิ่งเซิ่งก็มีโทสะยิ่งนัก รู้สึกแต่เพียงว่าภรรยานับวันยิ่งเจ้าอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกับกล้าชักสีหน้าใส่เขา ความอ่อนโยนและใส่ใจเมื่อตอนยังเยาว์หายไปหมดแล้ว เขาจึงไปที่เรือนของอนุภรรยาด้วยความหงุดหงิด เพื่อเสาะหาเรื่องที่ทำให้มีความสุข นางจางกระวนกระวาย ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงได้มุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน เพื่อดูว่าแม่สามีมีวิธีช่วยเซวียนอี๋ได้หรือไม่ โถงโซ่วอัน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้อยู่ในโถงพระเกือบจะทั้งวัน ไม่ได้รับรู้เรื่องราวจากภายนอก และยังไม่รู้เรื่องของหลานสาวคนโต มีสาวใช้มารายงานว่าสะใภ้ใหญ่มาหานาง นางถึงได้ออกมาจากโถงพระ และไปพบกับสะใภ้ใหญ่ เมื่อมองเห็นสะใภ้ใหญ่ดวงตาแดงก่ำ สีหน้า
สู่ของั้นหรือ?เมื่อนางจางได้ฟังคำพูดสองคำนี้ ก็มึงงงไปชั่วขณะเดิมทีนางคิดว่าหลังจากที่อู่อันป๋อฮูหยินไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน เช่นนั้นอู่อันป๋อซื่อจื่อก็น่าจะไม่ได้ถูกใจเซวียนอี๋ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอันใด ถือเสียว่าเป็นการนัดพบกันระหว่างสหายตามปกติเท่านั้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กันเล่า?หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ตอนแรกนางคงรีบบอกกับอู่อันป๋อฮูหยินไปแล้วว่าไม่เหมาะสม แบบนี้อู่อันป๋อฮูหยินจะต้องพูดคุยกับอู่อันป๋อซื่อจื่อเป็นแน่ และก็จะไม่ไปมาหาสู่กับเซวียนอี๋เป็นการส่วนตัวอีกตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว คนคำนวนมิสู้ฟ้าลิขิตอย่างแท้จริง เป็นภัยพิบัติที่มิอาจหลีกเลี่ยงกู้เซวียนอี๋เห็นมารดานิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา จึงกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าก็ชอบพอเขาเช่นกันเจ้าค่ะ อยากแต่งงานกับเขาเท่านั้น”นางจางมองบุตรสาวที่ถลำเข้าไปเรียบร้อยแล้ว อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา กล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “เซวียนอี๋ เจ้าเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ในภายหน้าหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเสียใจเป็นแน่ จวนอู่อันป๋อไม่ได้สงบเหมือนดังเปลือกนอก มีเรื่องให้ทุกข์ใจมากมายนัก”กู้เซวียนอี๋กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “จวนอ
กู้เซวียนอี๋ตะลึงงัน หันกลับไปยกยิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผลว่า “ท่านแม่ ข้าคิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อดียิ่งนักเจ้าค่ะ ท่านย่าบอกว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อไม่ดี ก็เพราะว่าข้ามิใช่หลานสาวแท้ ๆ หรือไม่เจ้าคะ นางไม่อยากให้ข้าแต่งงานดี ๆ งั้นหรือเจ้าคะ? พอข้าแต่งงานกับเขาแล้ว ข้าก็จะเป็นฮูหยินของซื่อจื่อ และต่อไปก็จะเป็นฮูหยินท่านป๋อ มีอันใดไม่ดีกันเจ้าคะ?”เมื่อนางจางได้ฟังก็เกือบจะเป็นลมเพราะโทสะ ซักไซ้ว่า “เซวียนอี๋ เจ้าบอกแม่มา ว่ามีคนยุยงเจ้าใช่หรือไม่? ทั้ง ๆ ที่วันนั้นเจ้ารับปากแม่ไว้ดิบดีแล้ว ว่าจะไม่มีความรู้สึกใดต่ออู่อันป๋อซื่อจื่อ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจได้เล่า? ”ร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกวาบผ่านสายตาของกู้เซวียนอี๋ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดยุยงข้า เป็นข้าเองที่คิดว่าอู่อันป๋อซื่อจื่อนั้นดียิ่งนัก เขารูปงาม มีชาติตระกูล และยังมีใจให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”นางจางโมโหเสียจนวิงเวียนศีรษะ นิ้วมือที่ชี้ไปยังกู้เซวียนอี๋สั่นเทาเล็กน้อย “เซวียนอี๋ เจ้า เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว!” นางกล่าว น้ำตาหยดลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ตำหนิตนเองยิ่งนัก “ต้องโทษแม่ เป็นแม่เอง
“แย่แล้วเจ้าค่ะ!”“ฮูหยินใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ!”นางจางเตรียมตัวจะไปที่เรือนของกู้เซวียนอี๋ เมิ่งจิ่นเหยาก็กำลังจะจากไป อยู่ ๆ ก็มีเสียงของสาวใช้ดังออกมาจากด้านนอก ราวกับว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตอันใดเมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝีเท้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักค้างใจของนางจางเต้นแรงและเร็วยิ่งนัก สัญชาตญาณบอกนางว่านั่นไม่น่าจะใช่เรื่องดีอันใด ในทันใดนั้นเอง ก็มีเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้มากมายผุดขึ้นมาในหัวสมองของนาง รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในฉับพลันหลังจากที่สาวใช้รีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้ว นางจางก็จิตใจร้อนรน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องอันใดกัน ถึงได้ตื่นตกใจเช่นนี้? บุ่มบ่ามถึงเพียงนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย โชคดีที่วันนี้ไม่มีแขกอยู่ด้วย”เมื่อสาวใช้ฟังจบก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ รีบคารวะให้นางและเมิ่งจิ่นเหยา แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”เมื่อนางจางได้ฟัง เบื้องหน้าก็มืดดับลง แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น โชคดีที่เมิ่งจิ่นเหยาอยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบเอื้อมมือไปพยุงนาง สาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวเช่นเดียวกัน พุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยุงนางไว้ นางถึงไ
ทั้งสองคนรับคำ แล้วสั่งให้สาวใช้ไปนำไพ่ใบไม้มา......จวนฉางซินโหวหลังจากเมิ่งจิ่นเหยากลับจวน ก็มุ่งหน้าไปที่เรือนของนางจางโดยทันทีการล่องเรือในวันนี้ ฉากนั้นที่นางเห็น นางคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากกับนางจาง หากว่านางจางรู้เรื่องอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ถือเสียว่านางยุ่งเรื่องของผู้อื่นหากว่านางจางไม่รู้เรื่อง การรู้ล่วงหน้าย่อมสามารถทำให้มีการเตรียมพร้อมได้ด้วยเช่นกัน อย่าปล่อยให้กู้เซวียนอี๋ก้าวเข้าไปในกองเพลิง มิเช่นนั้นเมื่อยามที่ได้รู้จากปากของกู้เซวียนอี๋ อาจจะสายเกินไปแล้วก็เป็นได้ และจะยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ หนิงตงถามว่า “ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องของบ้านใหญ่ ท่านจะสนใจมากมายทำไมกันหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับว่า “ข้าก็เป็นสตรีเหมือนกัน ในเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว ย่อมทนเห็นนางกระโดดเข้าสู่กองเพลิงไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ไม่ชอบจวนอู่อันป๋อเท่าใดนัก”หนิงตงตะลึงงัน หลังจากนั้นก็พยักหน้านางจางรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยามาหานาง ก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญขึ้นมาเล็กน้อยในฉับพลัน ต้องรู้ว่าทุกครั้งมีเพียงนางเท่านั้นที่ไปพูดคุยกับเมิ่งจิ่นเหยาที่เรือนเวยห