หนิงตงตะลึงงัน รีบกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นให้เขาเป็นแบบเมื่อก่อนยังดีกว่าเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาที่จริงแล้วบุ่มบ่ามและโง่เขลาบ้างคงดีกว่า เช่นนั้นก็ง่ายต่อการรับมือ ตอนนี้เป็นเช่นนี้กลับรับมือไม่ได้โดยง่ายแล้วแต่ว่าคนผู้นี้ ผ่านความพ่ายแพ้มามากมาย ท้ายที่สุดก็จะเติบโต แผนการก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ กู้ซิวหมิงก็คงจะเป็นแบบนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ทุกอย่างราบรื่น ตั้งแต่หนีการแต่งงานและถูกจับกลับมาก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทำลายความภาคภูมิใจอย่างไม่มีใครเปรียบของเขา ได้เรียนรู้ที่จะอดทน และสวมหน้ากากจอมปลอมเพียงแต่ไม่รู้ว่า กู้ซิวหมิงจะเสแสร้งได้นานถึงเพียงใด......โถงโซ่วอันฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้รู้ว่าก็ซิวหมิงมาแล้ว ก็คิดขึ้นมาได้ในภายหลังว่า ครั้งที่แล้วเขากับซิวเหวินรวมถึงเฉิงจางทะเลาะกันจึงถูกกักบริเวณ และไม่ได้พบกับเขามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนานแล้วที่ไม่ได้พบกัน ทว่ากลับไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น คงจะเป็นเพราะว่าผิดหวังกับหลานชายผู้นี้ยิ่งนักเฝิงหมอมอเห็นท่าทางไม่ยินดียินร้ายของนาง คิดได้ว่าถึงอย่า
กู้ซิวหมิงรีบตอบรับ “หลานจะเชื่อฟังคำสอนของท่านย่าอย่างเคร่งครัดขอรับ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พยักหน้าเล็กน้อย และให้เขานั่งลงเพื่อพูดคุยอีกครั้ง หลานชายทั้งสองเหมือนจะกลับไปสมัยก่อน ทั้งพูดคุยและหัวเราะ เข้ากันได้เป็นอย่างดีเวลานี้ เฝิงหมอมอรับยามาแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้ยกน้ำเข้ามาอีกหนึ่งอ่าง และทำความสะอาดบาดแผลให้กู้ซิวหมิง จากนั้นจึงใส่ยาให้เขา เมื่อเห็นบาดแผลของเขา ก็รู้ว่าตอนที่เขาโขกศีรษะใช้แรงมากเพียงใด และนั่นไม่ใช่ทำแบบขอไปทีเลยแม้แต่น้อย หลังใส่ยา กู้ซิวหมิงก็ยังไม่ออกจากโถงโซว่อัน แต่กลับไปโถงพระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ท่องพระคัมภีร์ ส่วนเขาคัดพระคัมภีร์อยู่ด้านข้างและบอกว่าอยากจะคัดเพื่ออธิษฐานให้ฮูหยินผู้เฒ่ากู้พอถึงช่วงกลางวัน กู้ซิวหมิงก็ยังคงไม่กลับ และอยู่รับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากู้ที่โถงโซว่อันฮูหยินผู้เฒ่ากู้เชื่อในพระพุทธ มักจะกินอาหารมังสวิรัติและท่องบทสวด อาหารกลางวันมื้อนี้แม้แต่เนื้อหมูสับยังไม่มีเลย ล้วนเป็นผักทั้งหมด นางกลัวหลานชายไม่เคยชิน จึงสั่งสาวใช้ “ไปให้ห้องครัวทำอาหารคาวเข้ามาสองอย่าง”กู้ซิวหมิงรีบกล่าว “ท่านย่
เฝิงหมอมอตกใจ “เช่นนั้นท่านซื่อจื่อจะไม่มีภรรยาเอกได้อย่างไรเจ้าคะ?”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถอนหายใจเบา ๆ “รอซิวหมิงหมดความหลงไหลที่มีต่อหลี่อี๋เหนียง และค่อย ๆ เข้าใจถึงความสำคัญของภรรยาเอก ไม่แน่ว่าอาจอยากแต่งภรรยาเอกก็ได้ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้อาวุโสบีบบังคับเขา เขาคงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ทำร้ายแม่นางดี ๆ ที่ไร้ความผิดเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นคู่รักที่ขุ่นเคืองกันอีก และเขาก็จะยิ่งชื่นชอบหลี่อี๋เหนียงมากขึ้นเรื่อย ๆ การไม่แทรกแซงอะไรจึงจะดีที่สุด”หลังจากเฝิงหมอมอฟังก็ชะงัก นางกลับลืมว่ามีหลี่อี๋เหนียงคนนี้ เพื่อหลี่อี๋เหนียงแล้ว ท่านซื่อจื่อยังกล้าหนีงานแต่งงาน หากบังคับท่านซื่อจื่อแต่งงาน ไม่แน่ว่าอาจจะหนีงานแต่งงานครั้งที่สอง เมื่อมีอีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นชื่อเสียงของจวนฉางซิงโหวจะต้องพังพินาศลงอย่างสิ้นเชิงต่อเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็ปล่อยวางได้แล้ว ตราบใดที่หลานชายรู้ความเป็นพอ อนาคตจะยิ่งรู้ความ และเข้าใจถึงความหวังดีของผู้อาวุโสมากขึ้นด้วย จึงกล่าว “ความรักช่วงเริ่มแรกนั้นร้อนแรงที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะจืดจางลงมาก ตอนนี้เขากับ หลี่อี๋เหนียงอยู่ด้วยกันทั้งเช้าท
เรือนชิงอวี้เซวียนกู้ซิวหมิงกลับมาจากโถงโซ่วอัน เพิ่งจะเข้าห้อง ก็เห็นร่างที่งดงามโผล่เข้ามาทางตนเอง เขาจึงรีบอ้าแขนกอดคนไว้ แถมยังถอยหลังไปสองก้าวด้วย“พี่ซิวหมิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”แม่นางในอ้อมแขนน้ำเสียงแหบทุ้ม เหมือนกับจะร้องไห้แล้วกู้ซิวหมิงหัวใจกระตุกวูบ และรีบถาม “หว่านเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? ตอนที่ข้าไม่อยู่ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่?หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ขอบตาเต็มไปด้วยน้ำตา จนใกล้จะร้องไห้ออกมา ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “พี่ซิวหมิง ข้ากลัวมาก กลัวมากจริง ๆ เจ้าค่ะ” กู้ซิวหมิงทนเห็นนางร้องไห้ไม่ได้ จึงตบหลังนางเบา ๆ และปลอบด้วยคำพูดที่อ่อนโยน “หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่? หากมีคนรังแกเจ้า ข้าคนนี้จะเป็นคนจัดการ และลงโทษสาวใช้ที่ไม่มีตาพวกนั้นให้ดีแทนเจ้า”“ไม่ใช่ ไม่มีใครรังแกข้าเจ้าค่ะ”หลี่หว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าเบา ๆ น้ำตาก็ไหลพรากลงมาจากขอบตาทันที และกล่าวด้วยความกังวล “พี่ซิวหมิง ท่านออกไปเมื่อเช้า บอกว่าจะไปคารวะยามเช้าให้ท่านโหวกับฮูหยินที่เรือนเวยหรุยเซวียน แต่นานแล้วก็ยังไม่กลับ
หลี่หว่านเอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือเจ้าคะ?”“จริงแท้แน่นอน”กู้ซิวหมิงพยักหน้า และเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มของนาง เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างขมขื่น ในใจก็ไม่สบายใจอย่างมากหลี่หว่านเอ๋อร์กกล่าวเสียงสะอื้น “พี่ซิวหมิง ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น หากวันใดท่านไม่ชอบข้าแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรแล้วเจ้าค่ะ”กู้ซิวหมิงปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เด็กโง่ ข้าจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร? หากไม่ชอบเจ้า ข้าคงแต่งงานกับเมิ่งจิ่นเหยาตั้งแต่แรกแล้ว ในใจข้า หว่านเอ๋อร์เป็นแม่นางที่ดีที่สุด และใจดีที่สุดในใต้หล้า”เมื่อได้ยิน หัวใจที่กระวนกระวายของหลี่หว่านเอ๋อร์ถึงจะได้รับการปลอบโยน นางจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ชายหนุ่มมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สง่างามยืนตระหง่านต้านลม นางรู้สึกชอบ ครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในวัด แม้ชายหนุ่มจะถูกพิษงูจนหมดสติ แต่ด้วยกริยาท่าทางอันสูงศักดิ์ที่แพร่ออกมาจากร่างกาย และรูปลักษณ์ที่หล่อเหล่าเป็นพิเศษ จึงทำให้นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น โดยไม่กลัวจะสร้างความเดือดร้อน ก็รีบไปหาคนในวัดมาช่วยชีวิตชายหนุ่มภายหลังพบว่าชายหนุ่มเป็นซื่อจื่อของจวนฉางซินโหว แถมยัง
กู้ซิวหมิงดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้วจริง ๆ เปลี่ยนเป็นคนที่อ่อนโยน มีความถ่อมตน และมีความก้าวหน้าในการเรียน แถมทุกวันยังไปคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เมื่อกู้จิ่งซีเลิกงานกลับมา ก็มาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเพื่อขอคำแนะนำจากกู้จิ่งซีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้เรือนใหญ่กับเรือนรองต่างตกใจ ซึ่งต้องทราบว่าก่อนหน้านี้พฤติกรรมขายหน้าเหล่านั้นของกู้ซิวหมิง พวกเขาต่างเกือบจะคิดว่ากู้ซิวหมิงไม่มีอนาคต และกลายเป็นคนไร้ความสามารถไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนที่ไร้ความสามารถไม่ต้องพยุงก็สามารถปีนขึ้นกำแพงได้บุตรอกตัญญูจู่ ๆ กลายเป็นบุตรกตัญญู เมิ่งจิ่นหยาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน วันนี้กลางวันยาวกลางคืนสั้น นางจึงตื่นเช้าขึ้น ทุกวันหลังจากตื่นและนอนล้างตัวจะเห็นบุตรอกตัญญูเข้ามาคารวะยามเช้า ทุกครั้งล้วนแสดงความเคารพทั้งยังกตัญญู ไม่มีการทำแบบส่ง ๆ เลยแม้แต่น้อยไม่ว่ากู้ซิวหมิงจะจริงใจ หรือว่าเสแสร้ง นางล้วนต้องเล่นบทมารดาที่เมตตา ดังนั้นทุกครั้งที่มารดาและบุตรมาเจอกัน จึงไม่มีการโต้ตอบแบบเมื่อก่อน และจะมีแต่ภาพบรรยากาศที่กลมเกลียวของมารดาผู้เมตตากับลูกที่กตัญญูเท่านั้น
เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงไปชั่วขณะ ตระหนักได้ว่าตนเองกับอาหนิงไม่ได้พบกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เรื่องของท่านหญิงจิ้งหนิง นางยังไม่ได้บอกกับอาหนิงเลย ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงรีบกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ตอนนี้ข้ากับท่านหญิงจิ้งหนิงเป็นสหายกันแล้ว ท่านหญิงจิ้งหนิงได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเมิ่งจิ่นอวี้แล้วเช่นกัน และไม่ได้สนใจเมิ่งจิ่นอวี้อีก”เมื่อได้ฟังดังนั้น ในแววตาของซ่งซินหนิงก็ฉายแววแห่งความผิดหวัง รู้สึกว่าพออาเหยามีสหายคนใหม่ ก็เฉยเมยนางเสียแล้ว จึงบ่นพึมพำออกมา “อาเหยา เจ้าชอบของใหม่จึงเบื่อของเก่าแล้วใช่หรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยามองนางอย่างขุ่นเคือง เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ไหนกัน เป็นเพราะช่วงนี้เจ้ายุ่ง ๆ อยู่มิใช่หรือ ข้าถึงไม่ได้นัดเจ้าน่ะ? หากว่าพบเจอเจ้า จะต้องบอกกับเจ้าเป็นแน่ อาหนิงในใจของข้า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” เมื่อซ่งซินหนิงได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย ความเศร้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วมลายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าอาเหยาเป็นผู้ที่มีความรู้สึกยืนยาวผู้หนึ่ง ไม่มีทางชอบของใหม่แล้วเบื่อของเก่าเป็นแน่ คนที่รักมา
เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็เบิกตากว้างในฉับพลัน รู้สึกตกใจยิ่งนัก “เขาคืออู่อันป๋อซื่อจื่องั้นหรือ?”เมื่อท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นดังนั้น ก็ไม่เข้าใจสาเหตุ เหลือบมองนางด้วยความสับสน พยักหน้าพลางตอบกลับว่า “ใช่แล้ว เขาก็คืออู่อันป๋อซื่อจื่อ เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้แม่สามีเคยคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ไว้แล้ว ว่าสถานการณ์ของครอบครัวอู่อันป๋อซับซ้อน คุณหนูตระกูลใหญ่ปกติล้วนไม่คิดที่จะแต่งเข้าไปให้ทรมาน เรื่องกลัดกลุ้มใจมากมาย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่สะใภ้ใหญ่ในวันนั้น คงจะล้มเลิกความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับจวนอู่อันป๋ออย่างสิ้นเชิงแล้ว เหตุใดกู้เซวียนอี๋ถึงได้มาล่องเรือด้วยกันกับอู่อันป๋อซื่อจื่อได้เล่า? หรือว่าเป็นเพราะกู้เซวียนอี๋กับอู่อันป๋อซื่อจื่อพึงใจกันและกัน จากนั้นจึงได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวงั้นหรือ?ซ่งซินหนิงเห็นนางผิดปกติ คิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อาเหยา เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้สติกลับมา ส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสตรี ถึงแม้กับสหายสนิ
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา