ก็เมื่อตอนเช้า นางกับนางจาง และนางเฉิน สะใภ้ทั้งสามรวมตัวกันพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ด้วยกัน นางจางกับนางเฉินต่างก็บ่นกับนางว่ากู้ซิวหมิงเหลวไหลเองก็ช่างเถิด ยังมาทำให้พี่น้องต้องลำบากไปด้วย บอกว่าซิวหงกับซิวเหวินยังไม่หมั้นหมาย ตอนนี้มาก่อเรื่องน่าขันเช่นนี้ บ้านอื่นที่มีบุตรีคงหลีกเลี่ยงที่จะคิดมากไม่ได้ริมฝีปากของกู้ซิวหมิงขยับอยู่ชั่วครู่ เงียบดั่งคนเป็นใบ้ เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้เมิ่งจิ่นเหยายิ้มมุมปากพลางพูดว่า “ลูกเอ๋ย ครั้งหน้าก่อนที่จะทำเรื่องโง่เขลา ต้องคิดให้รอบคอบก่อนค่อยทำ อย่าได้ทำเรื่องโง่เง่าอีกเลย ทำตัวเหมือนบุตรคหบดีที่ไม่ได้ความอย่างไรอย่างนั้น ข้ากับบิดาของเจ้าทนขายหน้าผู้อื่นไม่ได้แล้ว” เมื่อกู้ซิวหมิงได้ฟังประโยคนี้ ก็ราวกับโดนเหยียบหาง เดือดดาลอย่างที่สุด “ผู้ใดเป็นบุตรชายของเจ้า?”เมิ่งจิ่นเหยากะพริบตาอย่างไร้เดียงสา แย้มยิ้มพลางถามกลับไป “บุตรของข้า ก็คือเจ้ามิใช่หรือ?”กู้ซิวหมิงยิ่งมีโทสะมากขึ้น โกรธเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยว “เจ้ามันสตรีหน้าไม่อาย หากไม่ใช่เพราะเจ้าแต่งงานกับบิดาข้าอย่างหน้าไม่อาย ข้ากับเจ้าจะมีความสัมพันธ์ที่เหลวไหลเช่นนี้หรือ?”“ล
เมื่อครู่ยังอวดดียิ่งนัก พอเห็นบิดาของเขามา ก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที ใช้ท่าทีของผู้ที่เป็นเหยื่อมาร้องทุกข์กับบิดาของเขา ทั้ง ๆ ที่คนถูกยั่วให้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟคือเขาแท้ ๆ ใครรังแกใครกันแน่?โจวอวิ่นตะลึงงันเล็กน้อย การเปลี่ยนสีหน้าของฮูหยินรวดเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่? เพียงแต่ ปฏิกิริยาตอบสนองนี้ของท่านซื่อจื่อช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ตอนที่ฮูหยินพูดจาอ่อนโยน ก็ควรจะระแวดระวัง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นมารดาเมตตาบุตรกตัญญูด้วยกันกับฮูหยินต่อไป หลังจากที่ท่านโหวผ่านไปแล้วค่อยมาทะเลาะกันต่อกู้จิ่งซีไร้ซึ่งทางเลือก เดิมทีเขาคิดว่าเด็กสองคนนี้น่าจะทะเลาะกันเสร็จแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวผู้นั้นจะเล่นไม้นี้กับเขาอีก คราวนี้ถึงเขาไม่คิดจะยุ่งก็คงต้องยุ่งแล้วบรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ กู้ซิวหมิงเหลือบมองเมิ่งจิ่นเหยาด้วยสายตาเชือดเฉือนอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาเช่นนั้นราวกับกำลังบอกว่า ‘สตรีชั่วร้าย เจ้าจงใจเป็นแน่!’เมิ่งจิ่นเหยาอ่านแววตาของเขาออก จึงขยิบตาไปทางเขา พลางตอบรับเขาอย่างไร้เสียง ‘ก็จงใจน่ะสิ!’ทว่านางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้ซิวหมิงจะขาดความระแวดระวังถึงเพียงนี้ ในขณะที่นางเปลี่ยนท่าทีกะทั
กู้จิ่งซีพยักหน้าพลางส่งเสียง “อืม” จากนั้นก็ถามอีกว่า “ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?”“ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ ลูกจะกลับไปคัดกฎตระกูลเดี๋ยวนี้ เมื่อคัดเสร็จแล้วจะนำมาให้ท่านพ่อดูขอรับ” กู้ซิวหมิงกล่าวจบ ก็คำนับไปที่กู้จิ่งซีและเมิ่งจิ่นเหยา จากนั้นก็จากไปพอเขาเดินไปแล้ว กู้จิ่งซีก้าวเท้าไปหาเมิ่งจิ่นเหยา แล้วเรียกนางอย่างแผ่วเบา “ฮูหยิน”เมิ่งจิ่นเหยาฝืนยิ้มออกมา พลางเอ่ยออกมาอย่างแจ่มใส “ท่านพี่”“เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น?” กู้จิ่งซีถามอย่างรู้คำตอบดีอยู่แล้วเมิ่งจิ่นเหยากะพริบตาอย่างไร้เดียงสา พลางกล่าวว่า “ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ? บุตรชายของท่านรังแกข้า” นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาด้วยความเศร้าสลด แสร้งทำเป็นสาวงามผู้อ่อนแอ “เฮ้อ ถึงที่สุดข้าก็มิใช่มารดาของเขา ไม่ขอร้องให้เขาปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับปฏิบัติต่อมารดาผู้ให้กำเนิด ทว่าดีร้ายอย่างไรก็ต้องเคารพข้าบางส่วน ทว่าเขากลับพูดจาไม่ดีต่อข้า”เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ มุมปากของกู้จิ่งซีก็กระตุกเล็กน้อย จึงถามไปตามตรงว่า “ที่พวกเจ้าทะเลาะกันเมื่อครู่ผู้ใดชนะงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาโกหกตาไม่กะพริบ ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ก็ต้อง
หนิงตงกำลังมองเงาร่างของนายและบ่าวสองคนที่เดินจากไป ยังไม่ทันหายจากความหวาดกลัว กล่าวด้วยเสียงกระซิบว่า “ฮูหยิน เมื่อครู่ทำให้ข้าน้อยตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ โชคดีที่ท่านโหวไม่ได้ทำอันใดท่าน”เมิ่งจิ่นเหยากลับสงบนิ่ง “บุตรชายของเขามีความผิดอยู่ก่อน ต่อให้ต้องลงโทษ ก็ลงโทษเบากว่าบุตรชายของเขา”ทว่าถึงอย่างนั้น หนิงตงก็ยังคงกังวล จึงกล่าวเตือน “ครั้งหน้าท่านพยายามหลีกเลี่ยงติดต่อกับซื่อจื่อให้มากที่สุดเถิดเจ้าค่ะ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนหนีการแต่งงานทำให้ฮูหยินกลายเป็นตัวตลก สุดท้ายกลับมาบอกว่าเป็นความผิดของฮูหยิน ผู้ที่เอาแต่โทษฟ้าโทษดิน ปัดความรับผิดชอบเช่นนี้ พบปะให้น้อยลงดีกว่าเจ้าค่ะ ผู้ใดจะรู้ เขาอาจจะเสียสติในวันใดหนึ่งและกัดผู้อื่นไปทั่วอีกหรือไม่”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “วางใจเถิด ข้าไม่มีเวลาว่างไปหาเรื่องเขาก่อนขนาดนั้น วันนี้พบกันโดยบังเอิญ พูดได้เพียงว่าโชคร้ายเท่านั้น”ก่อนหน้านี้เมิ่งจิ่นเหยาไปพบกู้ซิวหมิงก่อนเองสองครั้ง ต่างก็พาชุนหลิ่วไปด้วย หนิงตงไม่เคยเห็นฉากการเผชิญหน้ากันของเจ้านายตัวเองกับกู้ซิวหมิงมาก่อนเลย เมื่อวันนี้ได้เห็น นางสงสารนายหญิ
ชุนหลิ่วขมวดคิ้ว “หลี่อี๋เหนียงผู้นี้ไร้ระเบียบเกินไปแล้ว” เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด สิ่งนี้จะโทษนางก็ไม่ได้ นางไม่มา ข้าก็สบายใจไป” นางรู้ว่าทั้งหมดนี้ต้องความคิดของกู้ซิวหมิง หลี่หว่านเอ๋อร์เข้าจวนไม่นาน ก่อนเข้าจวนก็มิเคยมีหมอมอคอยชี้แนะระเบียบประเพณี เดาว่าคงไม่เข้าใจกฎของตระกูลใหญ่ ไม่รู้ว่าผู้เป็นอนุภรรยาจะต้องเข้ามาเคารพผู้อาวุโสในยามเช้า ทว่ากู้ซิวหมิงที่รู้เรื่องนี้ดี แต่กลับไม่เตือนหลี่หว่านเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่าเขากลัวว่านางจะหาเรื่องทำให้ให้หลี่หว่านเอ๋อร์อึดอัด ถึงได้ไม่เตือน และเป็นเพราะไม่รู้เรื่องนี้ จึงละเลยการคารวะนางยามเช้าไป ชุนหลิ่วอึดอัดใจ คิดไม่ตกว่าหลี่อี๋เหนียงคนนั้นป้อนยาเสน่ห์อะไรให้ท่านซื่อจื่อกิน ถึงได้ทำให้ท่านซื่อจื่อทอดทิ้งฮูหยินผู้ซึ่งงดงามเพียบพร้อม หนีไปกับหลี่อี๋เหนียงที่ไม่รู้จักมารยาทคนนั้น ก่อเรื่องน่าอับอายใหญ่โตเช่นนั้นขึ้น นางเหลือบสายตามองเมิ่งจิ่นเหยาที่ดูไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ฮูหยินใจดียิ่งนัก” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “หลี่อี๋เหนียงไม่เคยไหว้ฟ้าดิน ไม่เคยไหว้บุพการี มิใช่ลูกสะใภ้โดยชอบธรรมข
ฮูหยินผู้เฒ่ากู้แม้พยายามควบคุมอารมณ์เต็มที่ ทว่าความผิดหวังในใจก็ยังยากจะปิดบัง ผู้น้อยในที่แห่งนี้ล้วนเห็นนางขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ สีหน้าฉายแววผิดหวังเต็มประดา ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของกู้ซิวหมิงอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังผิดหวังอย่างมาก ทว่าทุกคนก็มิได้แปลกใจกับเรื่องนี้นัก ถึงอย่างไรก่อนที่กู้ซิวหมิงหนีพิธีวิวาห์ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ก็รักหลานชายคนนี้มากที่สุด ในบรรดาหลานชายทั้งสี่คน ก็ตั้งความหวังกับเขาไว้มากที่สุด บัดนี้ด้วยความประพฤติอันเลวร้ายและอุปนิสัยเอาแต่ใจตนเองของกู้ซิวหมิง หากไม่รู้สึกผิดหวังนั่นก็แปลกแล้ว นางจางเห็นแล้ว แอบรู้สึกดีอยู่ลึก ๆ ในใจ มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย และยิ่งรู้สึกว่ากู้ซิวเหวินจะต้องได้เป็นบุตรบุญธรรมของบ้านสามแน่ กู้ซิวหมิงเจ้าเด็กโง่นั่น คงคิดว่าน้องชายสามีไม่สามารถมีทายาทได้ และมีเพียงเขาที่เป็นบุตรชายคนเดียว ช้าเร็วอย่างไรตำแหน่งก็ต้องเป็นของเขากระมัง ถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีกำลังหนุนหลัง กล้าทำตัวเอาแต่ใจตนเองเช่นนี้ นางเฉินเหลือบสายตาเห็นรอยยิ้มลาง ๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีตรงมุมปากของนางแล้ว ก็เม้มปากเล็กน้อย นึกดูแคลนอยู่ในใจ หญิงชรายังไม่เคยเ
เมิ่งจิ่นเหยาถอนหายใจเสียงเบาหวิวออกมาอีกครั้ง “ระยะนี้ท่านพี่มีงานราชการรัดตัว ออกไปแต่เช้าค่ำแล้วจึงกลับ ยามเช้าข้ายังไม่ทันตื่นนอนเขาก็ออกไปแล้ว ตกดึกเห็นเดือนเห็นดาวเต็มฟ้าแล้วจึงกลับ ถึงยามนั้นข้าก็เข้านอนแล้ว ไม่รู้ว่ายามใดเขาจะกลับมาถึง ไว้ท่านพี่พอมีเวลาว่างก่อน ข้าค่อยเอ่ยเรื่องนี้กับท่านพี่อีกครั้งแล้วกัน” นางเฉินค่อยรู้สึกพอใจในยามนี้เอง ก็ผงกศีรษะเบา ๆ “ก็ควรเป็นเช่นนี้ จะปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วดรุณีจากตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ใดเล่าจะกล้าสมรสกับเขา?” นางเอ่ยพลางก็ชะงักไป ก่อนจะดึงแม่สามีมาพูดถึงตรง ๆ “วันนี้ท่านแม่เพิ่งกลับมาถึง เรื่องเหลวไหลที่ซิวหมิงกระทำในวันนี้ ท่านแม่ยังไม่ทราบ ไว้ท่านแม่รับรู้เรื่องราวแล้ว เดาว่าจะต้องเดือดดาลไม่เบาแน่ หากว่าโกรธจนเสียสุขภาพไปด้วยนั่นจะใช่เรื่องดีหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาผงกศีรษะตอบ “พี่สะใภ้รองวางใจเถิด พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ท่านพี่น่าจะมีเวลาว่าแล้ว ถึงยามนั้นข้าจะคุยเขาอีกครั้ง” นางจางอยู่ด้านข้าง ฟังบทสนทนาของพวกนางทั้งสองคน พูดตามความจริงแล้ว วิธีการของกู้ซิวหมิง มากน้อยอย่างไรก็ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกี
ณ โถงโซ่วอัน วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ประจวบเหมาะกับเป็นวันที่ต้องไปคารวะยามเช้าต่อผู้อาวุโสกู้พอดี ทั้งบ้านใหญ่ บ้านรอง บ้านสามไปถึงโถงโซ่วอันแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ยามนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากู้กำลังกินอาหารมื้อเช้าอยู่พอดี กลับเป็นผู้น้อยที่ต้องการแสดงความกตัญญูสุดหัวใจ ปรนนิบัตินางขณะกินอาหาร ทว่านางกลับไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น คิดว่ามีผู้น้อยอยู่ด้วยจะยิ่งวุ่นวาย และรบกวนนางขณะกำลังกินอาหาร จึงสั่งให้พวกเขาทุกคนออกไปคอยตนที่โถงรับรองแทน มีมารดาสามีที่เรื่องน้อยแบบนี้ ถือว่าเป็นวาสนาของลูกสะใภ้แล้ว ผู้อาวุโสของบางตระกูล แม้จะมีสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่เต็มห้องแล้ว แต่ก็ยังต้องการให้ลูกสะใภ้เข้ามาปรนนิบัติขณะตื่นนอน ขณะกินอาหารในทุกวัน ตั้งกฎให้ลูกสะใภ้ปฏิบัติตาม ทรมานน่าดูเชียว แต่ผู้อาวุโสของพวกเขา หากคิดจะแสดงความกตัญญูก็แค่เอาใจสักหน่อย นางก็จะบอกว่า “เจ้าแต่งเข้าเรือนมาเป็นสะใภ้ มิใช่คนใช้ เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าทำ” และเมื่อเจ้าคิดว่าคนแก่เฒ่าจะต้องรู้สึกเงียบเหงา จึงอยากเข้ามาคารวะยามเช้าให้ได้ทุกวัน คอยอยู่ข้างกายและพูดคุยกับนางเพื่อคลายความอุดอู้ให้แล้ว นางจะยิ่ง
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร