ณ โถงโซ่วอัน วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ประจวบเหมาะกับเป็นวันที่ต้องไปคารวะยามเช้าต่อผู้อาวุโสกู้พอดี ทั้งบ้านใหญ่ บ้านรอง บ้านสามไปถึงโถงโซ่วอันแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ยามนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากู้กำลังกินอาหารมื้อเช้าอยู่พอดี กลับเป็นผู้น้อยที่ต้องการแสดงความกตัญญูสุดหัวใจ ปรนนิบัตินางขณะกินอาหาร ทว่านางกลับไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น คิดว่ามีผู้น้อยอยู่ด้วยจะยิ่งวุ่นวาย และรบกวนนางขณะกำลังกินอาหาร จึงสั่งให้พวกเขาทุกคนออกไปคอยตนที่โถงรับรองแทน มีมารดาสามีที่เรื่องน้อยแบบนี้ ถือว่าเป็นวาสนาของลูกสะใภ้แล้ว ผู้อาวุโสของบางตระกูล แม้จะมีสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่เต็มห้องแล้ว แต่ก็ยังต้องการให้ลูกสะใภ้เข้ามาปรนนิบัติขณะตื่นนอน ขณะกินอาหารในทุกวัน ตั้งกฎให้ลูกสะใภ้ปฏิบัติตาม ทรมานน่าดูเชียว แต่ผู้อาวุโสของพวกเขา หากคิดจะแสดงความกตัญญูก็แค่เอาใจสักหน่อย นางก็จะบอกว่า “เจ้าแต่งเข้าเรือนมาเป็นสะใภ้ มิใช่คนใช้ เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าทำ” และเมื่อเจ้าคิดว่าคนแก่เฒ่าจะต้องรู้สึกเงียบเหงา จึงอยากเข้ามาคารวะยามเช้าให้ได้ทุกวัน คอยอยู่ข้างกายและพูดคุยกับนางเพื่อคลายความอุดอู้ให้แล้ว นางจะยิ่ง
และวันนี้ กู้ซิวหมิงกลับพาอนุภรรยาที่ไม่คู่ควรคนนั้นมาด้วย ไม่รู้ว่าเพราะเขาใจใหญ่ หรือเพราะคิดว่าตนเองคือซื่อจื่อ คือหลานชายคนที่ท่านย่ารักสุดดวงใจ แล้วจะได้รับข้อยกเว้น กู้ซิวหมิงเองก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ประหลาดออกไปบ้างแล้ว แต่ก็มิได้เหลียวตามอง น้อมคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ด้วยความเคารพนบนอบ “หลานชายคารวะท่านย่า ขอให้ท่านย่ามีความสุขความเจริญ” หลี่อี๋เหนียงถูกสายตาจำนวนมากมองประเมิน ก็รู้สึกวางตัวไม่ถูก เห็นกู้ซิวหมิงทำความเคารพ ก็รีบยอบกายทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ด้วยเช่นกัน “หลานสะใภ้คารวะท่านย่า ขอให้ท่านย่ามีความสุขความเจริญ” ครั้นวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา บรรยากาศยิ่งประหลาดมากกว่าเก่า อนุภรรยานับเป็นหลานสะใภ้ได้ที่ไหน? มีเพียงภรรยาเอกที่ผ่านพิธีสมรสโดยชอบธรรมแล้วเท่านั้นถึงจะเป็นหลานสะใภ้ที่ถูกต้องตามครรลอง อนุภรรยาแทนตนเองว่าหลานสะใภ้เช่นนี้ เคราะห์ดีแล้วที่ไม่มีคนอื่นอยู่ในโถงรับรองแห่งนี้ มิเช่นนั้นคงต้องอับอายขายหน้า กลายเป็นที่น่าขันของผู้อื่นแน่ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไว้หน้าหลานชาย มิได้เอ่ยปากตำหนิต่อหน้าทุกคน เพียงแต่เพิกเฉยหลี่หว่านเอ
ในขณะเดียวกัน คนอื่นก็มองมาทางกู้จิ่งซีเช่นกัน เห็นเขาที่ยามปกติยินดียินร้ายไม่แสดงสีหน้ากำลังดึงหน้าเยือกเย็น ดูไม่โกรธแต่รับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขาม แม้กระทั่งเสียงเล็ก ๆ ที่ดังมาจากปลายนิ้วกระทบบนโต๊ะน้ำชาก็ยังทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนได้ง่าย ๆ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงรบกวนอารมณ์ขุ่นมัวของเขาอีก เรื่องในวันนี้ เมิ่งจิ่นเหยาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน คิดไม่ถึงว่ากู้ซิวหมิงที่ได้กอดหญิงงามกลับเรือนแล้วจะหลงระเริงจนลืมตัวเช่นนี้ ถึงขั้นพาหลี่หว่านเอ๋อร์มาให้ผู้อาวุโสพบหน้าทำความรู้จัก และไม่ฉุกคิดเลยสักนิดว่าเรื่องเหลวไหลที่เขาทำลงไปเพื่อหลี่หว่านเอ๋อร์ จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลกู้ เป็นเช่นนี้แล้วพวกผู้อาวุโสจะรู้สึกชมชอบหลี่หว่านเอ๋อร์ได้อย่างไร? ในเมื่อเขาอยากรับหลี่หว่านเอ๋อร์เป็นอนุภรรยาแล้ว ก็ควรจะส่งให้คนไปอบรมสั่งสอนกฎระเบียบให้หลี่หว่านเอ๋อร์ก่อนถึงจะถูกต้องเหมาะสม กลับกระทำเรื่องน่าอับอายอย่างเช่นวันนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้ผู้อาวุโสไม่พอใจ บ้านสามยังต้องถูกบ้านใหญ่และบ้านสองเยาะเย้ยถากถาง ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่ถูกชะตากับหญิงคนรักของเขามากขึ้นไปอีก บรรยากาศจมดิ่งเข้าสู่ความเงียบงัน
เขาพูดจบ ก็ผินใบหน้ามองแม่นางข้างกาย ดรุณีน้ำตาคลอเบ้า จ้องมองเขาอย่างอึดอัดสับสน เขาเจ็บปวดหัวใจไม่จบสิ้น ขณะเดียวกันก็สงสารสุดหัวใจ หากมิใช่เพราะเขาบุ่มบ่ามมุทะลุเกินไป วันนี้หว่านเอ๋อร์ก็ไม่ต้องทนกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรมแล้ว กู้จิ่งซีย่างเท้าไปสองก้าว เห็นบุตรชายไม่ขยับตาม ก็ถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ยังไม่เดินอีก?” กู้ซิวหมิงเปล่งเสียงรับคำ จากนั้นก็เอ่ยกับหลี่หว่านเอ๋อร์ “หว่านเอ๋อร์ เจ้ากลับไปรอข้าที่เรือนชิงอวี้เซวียนก่อน” หลี่หว่านเอ๋อร์อดทนกลั้นน้ำตาไว้ พยักหน้ารับเบา ๆ จ้องมองเงาแผ่นหลังที่จากไปของสองคนพ่อลูก บัดนี้นางรู้สึกไร้ที่พึ่งพิงอย่างถึงที่สุดแล้ว คงเป็นเพราะเมื่อวานและหลายวันก่อนถูกความรุ่งเรืองมั่งคั่งลวงตา ทำให้หลงคิดไปว่าท่านพี่ซิวหมิงยอมไม่สมรสภรรยาเพื่อนางแล้ว จะไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงรังแกนาง และจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อยู่ท่ามกลางอาภรณ์แพรพรรณหรูหราและอาหารเลิศรสโอชา มีความมั่งคั่งรุ่งเรืองเคียงข้าง และมีชายหนุ่มคนรักอยู่เคียงคู่ไปตลอดชีวิต และในอนาคตอันใกล้นี้ นางกับท่านพี่ซิวหมิงก็จะให้กำเนิดบุตรธิดาครบถ้วน และมีชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ คิดไม่ถึ
เดิมทีเมิ่งจิ่นเหยาคิดว่าเหตุใดจะต้องสร้างความอึดอัดใจให้สตรีด้วยกัน ในเมื่อพันหมื่นความผิดล้วนอยู่ที่กู้ซิวหมิงที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ที่สุด จึงไม่คิดจะทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์ต้องลำบากใจมาตั้งแต่ตอนต้นแล้ว แต่ถึงอย่างไรแล้ว นางไม่คิดจะทำให้คนอื่นลำบากใจก็จริง แต่คนอื่นกลับใช้กู้ซิวหมิงมาก่อความรำคาญให้นาง พอพูดแบบนี้แล้ว เหมือนกับว่านางยังคงคิดถึงกู้ซิวหมิงไม่ลืมเลือน อิจฉาริษยาหลี่หว่านเอ๋อร์ ถึงได้หาเรื่องสร้างความอึดอัดใจให้คนอื่น ฟ้าดินเป็นพยาน หากนางคิดจะสร้างความลำบากใจให้หลี่หว่านเอ๋อร์จริง เช่นนั้นก็คงเรียกเจ้าตัวมาตำหนิต่อหน้า ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์เข้าไปอยู่ในห้องหลักของเรือนชิงอวี้เซวียน หลังจากที่หลี่หว่านเอ๋อร์เข้าจวนมาแล้ว ไยจะต้องรอให้ถึงบัดนี้ด้วย? สีหน้าของนางดูเคร่งขรึมลง ชำเลืองมองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาเยือกเย็น พลางเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “คนที่มีสิทธิ์เรียกข้าว่าท่านแม่ นอกจากกู้ซิวหมิงบุตรชายของข้าแล้ว ก็มีเพียงแค่ฮูหยินของซื่อจื่อที่ผ่านพิธีสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วเท่านั้น มิใช่อนุภรรยาของบุตรชายของข้า” สิ้นเสียงของนาง ก็หันไปเอ่ยกับหนิงตงที่อย
หนิงตงได้ยินเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ ก็รีบแก้ไขคำพูดทันที “หลี่อี๋เหนียงกับท่านซื่อจื่อเป็นคนประเภทเดียวกัน ไม่แปลกที่จะเข้าขากันได้ดีเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาส่งสายตาคาดโทษใส่นางไปหนึ่งที ช่างเป็นเจ้าหนูหัวใสเสียจริง พริบตาเดียวก็รู้ว่าไม่ควรจะเรียกชื่อออกมาตรง ๆ หนิงตงโกรธกรุ่นในใจ ยังคงพึมพำต่อว่า “เป็นอนุของซื่อจื่อ กลับเอาตนเองเสมอฮูหยินซื่อจื่อ ไม่เข้าใจธรรมเนียมประเพณีก็แล้วกันไป แต่ยังไร้ยางอายด้วยนี่สิเจ้าคะ ไม่รู้ว่าพ่อแม่สั่งสอนมาอย่างไร รู้ว่าคุณชายเขาก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ก็ยังจะหนีตามเขาไปอีก” เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินประโยคนี้ พลันชะงักฝีเท้าในทันใด ดึงหน้าขรึม พลางตำหนิด้วยเสียงเข้มว่า “หนิงตง ถ้อยคำเช่นนี้เจ้าอย่าได้พูดออกมาอีก” “เจ้าคะ?” หนิงตงอุทานออกมาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้านายของตนถึงได้เข้มงวดขึ้นมากะทันหัน เมิ่งจิ่นเหยาอธิบาย “พ่อแม่ของหลี่อี๋เหนียงตายไปนานแล้ว ท่านปู่ของนางเป็นคนเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่” ได้ยินเช่นนี้แล้ว หนิงตงเข้าใจทันที หากว่าพ่อแม่ของนางผู้นั้นตายไปนานแล้ว ความจริงก็ไม่สมควรพูดจาลักษณะนี้อย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการสะกิดรอยแผ
เมิ่งจิ่นเหยาหลุดหัวเราะออกมาทันที “ไยเจ้าจึงคิดเช่นนี้?” ชุนหลิ่วจิตใจห่อเหี่ยว น้ำเสียงเจือด้วยความน้อยใจ “ก็ท่านสั่งให้ข้าน้อยไปรับใช้ข้างกายหลี่อี๋เหนียงนี่เจ้าคะ” “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?” เมิ่งจิ่นเหยาส่ายหน้าเบา ๆ เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เจ้าฉลาดเฉลียวออกเพียงนี้ ทำงานได้รอบคอบเหมาะสม ข้าจะทิ้งเจ้าลงหรือ? ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น ไว้สั่งสอนกฎระเบียบให้หลี่อี๋เหนียงเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังต้องกลับมาทำงานที่เรือนเวยหรุยเซวียนเหมือนเดิม” ชุนหลิ่วฟังแล้ว แววตาฉายประกายยินดีออกมา “ฮูหยินจะบอกว่า หากข้าน้อยสอนกฎระเบียบมารยาทให้หลี่อี๋เหนียงเรียบร้อยแล้ว ยังกลับมาปรนนิบัติรับใช้เคียงกายท่านได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยายิ้มก็ถามกลับ “หากมิใช่เช่นนั้นเล่า?” ชุนหลิ่วย้ำกับนางอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “ตราบใดที่หลี่อี๋เหนียงเรียนรู้มารยาทเรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยก็กลับมาได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้าน้อย ๆ “ย่อมเป็นเช่นนั้น” หลังได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้ว ชุนหลิ่วผุดยิ้มอย่างเริงร่าทันที นางเป็นสาวใช้ของเรือนเวยหรุยเซวียน เพิ่งไ
หนิงตงหอบหายใจด้วยโทสะ “ฮูหยิน นางทำเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ถึงขั้นมาหลอกลวงความรู้สึกของข้าน้อย ทำข้าน้อยรู้สึกผิดกับตนเองอยู่พักหนึ่งเชียว” เมิ่งจิ่นเหยายิ้มพลางเอ่ย “แล้วใครให้เจ้าเฝ้าอิจฉานางทุกวันเล่า?” หนิงตงกะพริบตาปริบ ๆ รีบโน้มน้าวให้เจ้านายเปลี่ยนประเด็นทันที ไม่อยากคิดถึงชุนหลิ่วเจ้าคนโกหกนั่นขึ้นมาอีกแล้ว …… ภายในห้องหนังสือ กู้ซิวหมิงตามบิดาเข้าไปที่ห้องหนังสือด้วยความประหม่า เมื่อเห็นบิดานั่งลง และมองมาทางเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ หัวใจของเขาพลันบีบรัดแน่นขึ้นมา ไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงหายใจแรง กู้จิ่งซีขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย เมื่อก่อนมองเจ้าลูกชายคนนี้แล้วยังรู้สึกว่าใช้ได้พอประมาณ แม้ไม่มีด้านใดโดดเด่นออกมา แต่โดยภาพรวมแล้วก็ดูดี พอจะชื่นชมได้บ้าง แต่บัดนี้แค่เห็นเจ้าลูกชายคนนี้เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีแล้ว บิดาและบุตรชายต่างสบตากันในความเงียบงัน แม้เป็นเพียงเสี้ยวขณะสั้น ๆ แต่กลับรู้สึกยาวนานราวหนึ่งชาติภพ กู้ซิวหมิงรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่างนี้ ทำให้หัวใจของเขายิ่งรู้สึกวิตกกังวล จนหน้าผากชุ่มเหงื่อแต่ไม่กล้าเลื่อนมือขึ้นไปเช็ด หากถามว่าทั้งตระกูลกู
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา