เฝิงหมอมอไม่ค่อยเข้าใจนัก “เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลางกล่าวว่า “ซิวเหวินกับเซวียนอี๋เป็นฝาแฝดกัน เซวียนอี๋คดงอไปแล้ว ซิวเหวินกับนางจางนั้นแตกต่างกัน ทว่าถูกนางจางตามใจ เรียนรู้ที่จะเกียจคร้าน หากอยู่ข้างกายนางจางต่อไปเกรงว่าคงจะถูกตามใจจนเสียคน”เฝิงหมอมอตกตะลึงอีกครั้ง “หรือว่าท่านอยากเลี้ยงดูสั่งสอนด้วยตนเองงั้นหรือเจ้าคะ?” นางกล่าว พลางมองไปที่นายหญิงแวบหนึ่ง ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนี้ของนายหญิงเท่าใดนัก “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายสี่อายุสิบห้าปีแล้ว ไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนะเจ้าคะ”เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำนั้น ก็ส่ายศีรษะพลางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าชอบความสงบ เจ้าก็รู้นี่นา ข้าจะหาเรื่องมาใส่ตนเองอีกได้อย่างไรกัน?”เมื่อได้ยิน เฝิงหมอมอก็คิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างขึ้นมาในฉับพลันท่านซื่อจื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านโหวต่างก็ผิดหวัง เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนท่านโหว ขาดคุณธรรม ก่อเรื่องอื้อฉาวหนีตามกันไปกับผู้อื่นในวันแต่งงาน ทั้งยังบอกว่าชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงแม่นางหลี่คนเดียวเท่านั้น หากไม่สามารถแต่งแม่นางหลี่เป็นภรรยาได้ เช่นนั้นก
กู้จิ่งเซิ่งเหลือบมองนางอย่างไม่เข้าใจ พลางเอ่ยถาม “ฮูหยิน นี่เจ้าเป็นอันใดไปอีก? ในเมื่อมารดาใหญ่ส่งคนมาเชิญเจ้าไป ก็อย่าได้โอ้เอ้อีกเลย รีบไปเถิด หากว่ามารดาใหญ่สร้างความลำบากให้เจ้า ข้าไปขอความเมตตาให้เจ้าก็ได้นี่นา?”นางจางจับจ้องเขาอยู่ชั่วครู่ เปิดปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา พลางจากไปอย่างขุ่นเคืองในทันทีกู้จิ่งเซิ่งมองเห็นภาพแผ่นหลังของภรรยาจากไปอย่างมีโทสะ ก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด จะต้องโมโหถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ยิ่งเจ้าอารมณ์มากขึ้นทุกที ตอนนี้ถึงกลับกล้าชักสีหน้าใส่เขาเสียแล้ว……โถงโซ่วอันนางจางไปถึงโถงโซ่วอันด้วยความกระวนกระวายใจ หลังจากให้สาวใช้เข้าไปแจ้ง ก็เข้าไปในโถงโซ่วอันทันทีเมื่อเข้าไปในห้อง ในใจของนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ประหม่าเสียจนไม่กล้าหายใจแรง เมื่อครู่กล้ามีโทสะกับสามีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าตั้งแต่โบราณ แม่สามีและลูกสะใภ้ก็เหมือนดังกับสายเลือดที่ยับยั้งกัน ลูกสะใภ้จะกล้ามีโทสะกับแม่สามีได้เช่นไร?เมื่อมองเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากู้ นางจางก็ค่อย ๆ ช้อนสาย
นางจางถูกข่าวดีเช่นนี้ทำให้สับสน เดิมทีนางเตรียมพร้อมรับการตำหนิจากแม่สามีไว้แล้ว ผู้ใดจะคิดว่ายังมีเรื่องที่ดีขนาดนี้อยู่อีกกันเล่า? นางโยนเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นของบุตรสาวทิ้งไปทันที พลางพยักหน้าไม่หยุด “ท่านแม่ ข้า ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ” ขณะกล่าว นางก็เกิดลังเลขึ้นมาอีก “เพียงแต่ซิวเหวินเขา เขาจะเข้าตาหัวหน้าสำนักศึกษาหรือไม่เจ้าคะ?”ถึงแม้นางจะคิดว่าบุตรชายของตนเองดีที่สุด ฉลาดหลักแหลมที่สุด ทว่าสำนักศึกษาหลิงซานมีชื่อเสียงมากและมีเงื่อนไขสูง หากอยากเข้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก นางไม่แน่ใจฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวตอบ “เจ้าสามกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายกัน หากว่าเจ้าเห็นด้วยกับการส่งซิวเหวินไปร่ำเรียน ข้าก็จะไปพูดกับเจ้าสาม ให้เขาพาซิวเหวินไปเยี่ยมคารวะหัวหน้าสำนัก”เมื่อนางจางได้ฟัง ก็ทั้งปีติทั้งประหลาดใจ เมื่อช่วงสายบุตรีของนางเพิ่งจะก่อเรื่อง พอตกบ่ายแม่สามีก็คิดจะช่วยบุตรชายคนเล็กของนางให้เข้าร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน หรือว่าท่านแม่ยังไม่รู้เรื่องเมื่อตอนสายงั้นหรือ?โชคดี โชคดีที่นางลงโทษเซวียนอี๋อย่างหนัก ต่อให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้ในภายหลัง นางก็จะได้รายงานเรื่องนี้
เฝิงหมอมอตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยนึกว่าท่านต้องการเปลี่ยนตัวท่านซื่อจื่อเสียอีกเจ้าค่ะ คิดจะให้ท่านโหวรับอุปการะคุณชายสี่เป็นบุตรบุญธรรม แล้วเปลี่ยนตำแหน่งให้คุณชายสี่เป็นซื่อจื่อ” พอกล่าวจบ ขนาดตัวนางเองยังคิดว่าน่าขัน นึกไม่ถึงว่าจะเกิดความคิดที่ผิดแปลกเช่นนี้ขึ้นมาได้เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ฟังก็อึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะส่งเสียงออกมา พลางกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “เจ้านี่นะ อายุอานามขนาดนี้แล้ว ไยถึงมีความคิดแหกคอกเหมือนเมื่อตอนยังเยาว์วัยเช่นนี้?”เฝิงหมอมอตอบอย่างรีบร้อน “ข้าน้อยยังสุขุมไม่พอ ต่อไปจะฝึกฝนให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวอย่างช้า ๆ “ซิวหมิงยังดีอยู่ ข้าจะคิดถึงเรื่องเช่นนั้นทำไมกัน? ถึงแม้เขาจะมีความผิด ทว่าก็สามารถให้โอกาสเขาอีกครั้งได้ หากว่าซิวหมิงดึงดันไม่ฟังเสียงของผู้ใดจริง ๆ แม้ตายก็ไม่กลับใจ และก่อเรื่องอันใดเพื่อแม่นางหลี่อีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นก็สามารถพิจารณาเปลี่ยนซื่อจื่อได้ ถึงอย่างไรบุรุษที่ทำได้แค่เพียงเดินลอยชายอยู่รอบตัวสตรีอย่างไร้เป้าหมาย คิดจะให้เขาประคับประคองทั้งตระกูล เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”นางพูดแล้วหยุดไปชั่วขณะ พลางถอน
อีกด้านหนึ่ง นางจางออกจากโถงโซ่วอัน รู้สึกอิ่มเอมใจไปทั่วร่าง รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าไม่เคยจางไปนางเดินอย่างรวดเร็วราวกับเดินไปตามลม กลับไปถึงเรือนของตนเองด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อได้รู้ว่าสามีไปที่ห้องของอนุภรรยา รอยยิ้มก็จางหายไปในพริบตา นางเพิ่งจะไปที่เรือนแม่สามีไม่นานเท่าใดเอง? ไปถึงห้องอันอบอุ่นแสนหวานของอนุภรรยาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของบุตรชาย นางก็ยกยิ้มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สั่งให้สาวใช้ไปเชิญกู้จิ่งเซิ่งกลับมาทว่ากู้จิ่งเซิ่งกำลังดื่มด่ำอยู่ในสถานที่อันอบอุ่นแสนหวานของอนุภรรยาผู้งดงาม นอนอยู่บนเตียงแล้ว เตรียมตัวที่จะลงสนามแล้ว อยู่ ๆ ก็ถูกสาวใช้ก็มาขัดจังหวะเสียได้ เขามีโทสะไม่น้อย และหมดความสนใจไปพร้อม ๆ กัน ให้อนุโฉมงามปรนนิบัติตนเองให้สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงออกไปสาวใช้เห็นประตูเปิดออก นายท่านออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พลางถามนางอย่างไม่สบอารมณ์ “มีเรื่องอันใดกันแน่?”สาวใช้ตกใจเสียจนคอหด รีบตอบกลับไปว่า “นายท่าน ฮูหยินใหญ่บอกว่ามีเรื่องด่วนอยากพูดคุยกับท่านเจ้าค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณชายสี่ ให้ท่านไปก่อนเจ้าค่ะ ”
เมื่อได้ฟัง กู้จิ่งเซิ่งก็ไร้หนทาง สตรีก็คือปัญหา เรื่องหยุมหยิมยังคิดมากมายถึงเพียงนี้ ได้รับผลประโยชน์มาอยู่ในมือก็พอแล้วมิใช่หรือไร? คิดเรื่องที่เหลวไหลพวกนี้จะมีประโยชน์อันใดกัน?เขากล่าวอย่างหงุดหงิดยิ่งนัก “ครั้งนี้รับสมัครคนที่อายุสิบขวบถึงสิบห้าปี ซิวหย่วนและคนอื่น ๆ ต่างก็อายุเกินกันหมดแล้ว พูดได้แค่เพียงว่าซิวเหวินของพวกเราโชคดีเท่านั้น”นางจางส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้าคิดว่าไม่ใช่เจ้าค่ะ ซิวหมิงเป็นซื่อจื่อ ขนาดซื่อจื่อยังไม่เคยได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ จะมาให้แก่ซิวเหวินได้เยี่ยงไรกัน?”นางกล่าวจบ ก็ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดไม่นาน ภายในสมองของนางก็ผุดความคิดที่น่าประหลาดใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นในฉับพลัน หลังจากความประหลาดใจผ่านไปแล้ว ก็คือความปีติยินดีถึงขีดสุด ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้นางถามด้วยท่าทางลึกลับยิ่งนัก “ท่านพี่ ท่านว่าท่านแม่คิดจะให้น้องสามรับซิวเหวินของพวกเราเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่เจ้าคะ?” หลังกู้จิ่งเซิ่งได้ฟังก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าภรรยาคิดเพ้อเจ้อยิ่งนัก จึงตอบไปว่า “เจ้าอย่าได้คิดเหลวไหลเชียว ครอบครัวของน้องสามมีซิวห
โถงบรรพชนกู้เซวียนอี๋กำลังอดกลั้นต่อความอัปยศอดสู ภายใต้การกำกับของหมอมอคนสนิทของมารดา นางไปที่โถงบรรพชนและคุกเข่าต่อหน้าบรรพบุรุษเพื่อสำนึกในความผิดนางโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยถูกลงโทษหนักขนาดนี้มาก่อนเมื่อก่อนก่อปัญหาขัดแย้งกับกู้เซวียนหลิง ท่านย่าก็จะลงโทษพวกนางให้คัดกฎตระกูลด้วยกัน ไม่เคยโดนกักบริเวณมาก่อน ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคัดกฎตระกูล ยังต้องมาถูกกักบริเวณอีกครึ่งเดือน และลงโทษให้คุกเข่าในโถงบรรพชนอีกสองชั่วยามด้วยช่างเป็นความอัปยศใหญ่หลวงยิ่งนัก!รุ่นหลานของตระกูลกู้ ก็มีเพียงนางกับพี่สามเท่านั้นที่ได้รับการลงโทษต่อหน้าเหล่าบรรพบุรุษ แต่พี่สามหนีการแต่งงานตามผู้อื่นไป ระดับของความรุนแรงไม่เหมือนกันนี่นานางไม่ได้หนีการแต่งงาน หรือทำเรื่องให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้าเสียหน่อย นึกไม่ถึงว่าท่านแม่จะใจร้ายถึงเพียงนี้ ลงโทษลูกสาวแท้ ๆ ของตนเองอย่างรุนแรง เพื่อหลานสาวที่เป็นลูกของอนุภรรยาหมอมอกล่าวอย่างปลอบใจว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านก็อย่าได้โทษฮูหยินใหญ่ไปเลยนะเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ไร้ซึ่งหนทาง ถึงได้ลงโทษท่าน”สีหน้ากู้เซวียนอี๋ย่ำแย่ยิ่งนัก พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไปเถิด อ
นัยน์ตาของกู้ซิวหมิงฉายแววแห่งความมืดมน ในใจคิดว่าเมิ่งจิ่นเหยาเกิดมาจากครอบครัวที่ตกอับดังคาด ลำเอียงช่วยเหลือเซวียนหลิงที่เกิดจากอนุภรรยา จะได้แสดงความมีอำนาจเหนือกว่าให้ประจักษ์ออกมาสินะ? ช่างเป็นสตรีที่มีความคิดชั่วร้ายยิ่งนัก ท่านพ่อตาบอดเสียจริง ถึงได้แต่งงานกับสตรีเช่นนี้เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่ญาติผู้น้องผู้นี้ต้องเผชิญยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่ประสบชะตากรรมและความรู้สึกเดียวกัน จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องหญิงใหญ่ลำบากแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องหญิงใหญ่เพื่อคลายความน่าเบื่อหน่ายแล้วกัน เวลาเพียงสองชั่วยามไม่นานก็ผ่านไปแล้ว” กู้เซวียนอี๋เห็นว่าพี่ชายไม่ได้ซักไซ้อันใดอีก ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางพยักหน้าแผ่วเบาในช่วงเวลานี้ กู้ซิวหมิงถูกกักบริเวณอยู่ภายในโถงบรรพชน จึงไม่รู้ว่าภายนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้นในระยะนี้บ้าง บ่าวรับใช้เพียงคนเดียวที่คอยปรนนิบัติเขาอยู่ก็ไม่ได้พูดคุยอันใดกับเขาเลย จึงได้แต่ตะล่อมถามกู้เซวียนอี๋ ถึงแม้กู้เซวียนอี๋จะอวดดีและเผด็จการ ไม่มองเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ทั้งยังชอบรังแกญาติผู้น้อง ทว่าความคิดอ่านมิได้ลึกซึ้ง จึงไม่ได้รู้สึ
ได้ยินเช่นนั้น นางจางก็เหลือบสายตามองกู้จิ่งซีด้วยความพรั่นพรึงปราดหนึ่ง บัดนี้กลับเป็นบุตรชายของนางที่เป็นฝ่ายคนมากรุมรังแกคนน้อย หากว่าบุตรชายของตนเองเป็นฝ่ายผิดก่อนขึ้นมาจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? อาสามยึดมั่นในความยุติธรรมชื่นชมลงโทษล้วนละเอียดรอบคอบมาตลอด เมื่อลงโทษผู้น้อยที่ทำความผิดแล้วก็ไม่เคยใจอ่อนปรานีแม้เพียงครั้งเดียว “ท่านแม่” ในตอนนั้นเอง เสียงของกู้จิ่งเซิ่งก็ดังขึ้นมา เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีเองก็ทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่” นางจางเหลือบสายตามองขึ้นไป ก็เห็นว่าแม่สามีเข้ามาแล้ว จึงผละออกจากบุตรชาย และร้องเรียก “ท่านแม่” จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้นประคองแม่สามีไปนั่งประจำตำแหน่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองนางปราดหนึ่ง ปล่อยให้นางช่วยประคองเดินไป รู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ คงเป็นเพราะกลัวว่าบุตรชายจะถูกลงโทษ ฉะนั้นถึงได้รีบร้อนเข้ามาเอาอกเอาใจผู้อาวุโสก่อนใคร หวังว่าโทษจะเบาลงได้บ้าง แต่หนนี้ดูนางจะคิดมากเกินไป เพราะคนที่ผิดก่อนอย่างไรก็เป็นซิวหมิง หากจะลงโทษก็ต้องลงโทษซิวหมิงก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ก
อีกฟากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีได้รับข่าวอย่างไม่ตั้งตัว แจ้งว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน สองคนสามีภรรยาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็รีบมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที กู้จิ่งเซิ่งและนางจางสองคนสามีภรรยาเองก็เช่นกัน เมื่อได้รับข่าวแล้ว ก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที โดยปกติท่านแม่ไม่เคยเรียกพวกเขาเข้าพบอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในเมื่อเรียกพวกเขาให้ไปเข้าพบก็หมายความว่าต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกวิตกกังวล แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสามและภรรยาก็มาถึงแล้วเช่นกัน ก็ค่อยรู้สึกเบาใจลงมาได้สักหน่อย กู้จิ่งเซิ่งชะงักฝีเท้า ถามไถ่อย่างสงสัย “น้องสาม น้องสะใภ้สาม พวกเจ้าเองก็ถูกท่านแม่เรียกพบเหมือนกันหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีพยักหน้าเบา ๆ กู้จิ่งเซิ่งยังถามอีกว่า “เช่นนั้นท่านแม่ได้แจ้งหรือไม่ว่าท่านเรียกให้พวกข้ามาด้วยเหตุผลอันใด?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ท่านแม่มิได้แจ้ง เพียงแต่ระยะนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น คงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกระมัง พี่ใหญ่วางใจเถิด” ได้ยินวาจานี้แล้ว กู้จิ่งเซิ่งเองก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าน
“บริสุทธิ์?” กู้ซิวหมิงแค่นเสียงหัวเราะ “ตอนแรกที่ข้าหนีงานวิวาห์ นางเกือบจะได้สมรสกับเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้ายังมิได้สมรสภรรยาเอก ตัวเจ้าก็มีความเป็นไปได้ถึงห้าส่วนที่จะได้เป็นสามีของนาง” และทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกเมิ่งเฉิงจางที่อยู่ด้านข้างยกเท้าถีบเข้าอย่างรุนแรง เขาไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงไป ทำให้กู้ซิวเหวินได้โอกาสพลิกตัวกลับมา เดิมทีเมิ่งเฉิงจางไม่พร้อมจะเข้าร่วม แต่เมื่อได้ยินกู้ซิวหมิงกล่าวหาว่าร้ายทำลายความบริสุทธิ์ของพี่หญิงใหญ่อย่างโจ่งแจ้ง ก็ทนไม่ไหว เข้าร่วมกับกู้ซิวเหวินทันที เมื่อเป็นสองรุมหนึ่ง ก็ทำให้กู้ซิวหมิงซึ่งเดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป เมิ่งเฉิงจางและกู้ซิวเหวินต่างฉลาดเฉียบแหลมทั้งคู่ เลือกลงมือเฉพาะส่วนที่มีเสื้อผ้าปกปิดเท่านั้น กระทั่งมีสาวใช้คนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา เห็นภาพฉากนี้เข้า ก็ตกใจรีบหมุนตัวเดินหนีไปทันที วิ่งโร่ไปยังโถงโซ่วอันเพื่อนำเรื่องไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็สั่งให้เฝิงหมอมอหญิงรับใช้คนสนิทเข้ามาห้ามปรามการทะเลาะทันที และพาตัวพวกเขาทุกคนกลับมาที่โถงโซ่วอัน ขณะเดียวกันก็สั่งให้ส
สิ้นวาจานี้ บรรยากาศรอบข้างพลันจมดิ่งสู่ความตึงเครียด กู้ซิวหมิงและกู้ซิวเหวินเป็นพี่น้องกันมาหลายปี สมานฉันท์ปรองดองกันมาตลอด ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง แต่วันนี้กลับไม่สนหน้าของอีกฝ่าย มีปากเสียงปะทะคารมต่อกันโดยตรง พวกเขาขึงตาจ้องกันด้วยโทสะ ท้ายที่สุดก็เป็นกู้ซิวหมิงผู้ซึ่งเป็นฝ่ายผิดก่อนต้องยอมถอย ด้วยเรื่องนี้ การกระทำของเขาทำให้ชื่อเสียงของพี่น้องในตระกูลต้องได้รับผลกระทบไปด้วยจริง และเพราะเหตุผลนี้ ท่านพ่อถึงได้เรียกเขาไปตำหนิที่ห้องหนังสือเมื่อตอนก่อน ทว่าบัดนี้เขาเองก็ได้ให้หว่านเอ๋อร์ย้ายออกจากห้องหลักซึ่งต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อาศัยแล้ว ยังต้องการให้เขาทำอย่างไรอีก? เมิ่งเฉิงจางผงะไป มองสองพี่สองที่ไม่ยอมลดราวาศอก เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะบานปลายไปถึงขั้นทำให้พวกเขาสองคนพี่น้องต้องทะเลาะกัน หลี่หว่านเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า บัดนี้ไม่อาจอดทนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว เสี้ยวพริบตาหยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาในทันที สะอื้นไห้เสียงเบา กู้ซิวเหวินเห็นนางร้องไห้น้ำตานองหน้า ท่าทางเหมือนอนุภรรยาของท่านพ่อของเขาไม่มีผิด ความรู้สึกชิงชังรังเกียจยิ่งผุดขึ้นในใจ ก็เสริมขึ้นประโยค
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให