แชร์

บทที่ 109

ผู้เขียน: มู่อวิ๋นเฉิง
โถงบรรพชน

กู้เซวียนอี๋กำลังอดกลั้นต่อความอัปยศอดสู ภายใต้การกำกับของหมอมอคนสนิทของมารดา นางไปที่โถงบรรพชนและคุกเข่าต่อหน้าบรรพบุรุษเพื่อสำนึกในความผิด

นางโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยถูกลงโทษหนักขนาดนี้มาก่อน

เมื่อก่อนก่อปัญหาขัดแย้งกับกู้เซวียนหลิง ท่านย่าก็จะลงโทษพวกนางให้คัดกฎตระกูลด้วยกัน ไม่เคยโดนกักบริเวณมาก่อน ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้องคัดกฎตระกูล ยังต้องมาถูกกักบริเวณอีกครึ่งเดือน และลงโทษให้คุกเข่าในโถงบรรพชนอีกสองชั่วยามด้วย

ช่างเป็นความอัปยศใหญ่หลวงยิ่งนัก!

รุ่นหลานของตระกูลกู้ ก็มีเพียงนางกับพี่สามเท่านั้นที่ได้รับการลงโทษต่อหน้าเหล่าบรรพบุรุษ แต่พี่สามหนีการแต่งงานตามผู้อื่นไป ระดับของความรุนแรงไม่เหมือนกันนี่นา

นางไม่ได้หนีการแต่งงาน หรือทำเรื่องให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้าเสียหน่อย นึกไม่ถึงว่าท่านแม่จะใจร้ายถึงเพียงนี้ ลงโทษลูกสาวแท้ ๆ ของตนเองอย่างรุนแรง เพื่อหลานสาวที่เป็นลูกของอนุภรรยา

หมอมอกล่าวอย่างปลอบใจว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านก็อย่าได้โทษฮูหยินใหญ่ไปเลยนะเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ไร้ซึ่งหนทาง ถึงได้ลงโทษท่าน”

สีหน้ากู้เซวียนอี๋ย่ำแย่ยิ่งนัก พลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไปเถิด อ
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 110

    นัยน์ตาของกู้ซิวหมิงฉายแววแห่งความมืดมน ในใจคิดว่าเมิ่งจิ่นเหยาเกิดมาจากครอบครัวที่ตกอับดังคาด ลำเอียงช่วยเหลือเซวียนหลิงที่เกิดจากอนุภรรยา จะได้แสดงความมีอำนาจเหนือกว่าให้ประจักษ์ออกมาสินะ? ช่างเป็นสตรีที่มีความคิดชั่วร้ายยิ่งนัก ท่านพ่อตาบอดเสียจริง ถึงได้แต่งงานกับสตรีเช่นนี้เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่ญาติผู้น้องผู้นี้ต้องเผชิญยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่ประสบชะตากรรมและความรู้สึกเดียวกัน จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องหญิงใหญ่ลำบากแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องหญิงใหญ่เพื่อคลายความน่าเบื่อหน่ายแล้วกัน เวลาเพียงสองชั่วยามไม่นานก็ผ่านไปแล้ว” กู้เซวียนอี๋เห็นว่าพี่ชายไม่ได้ซักไซ้อันใดอีก ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางพยักหน้าแผ่วเบาในช่วงเวลานี้ กู้ซิวหมิงถูกกักบริเวณอยู่ภายในโถงบรรพชน จึงไม่รู้ว่าภายนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้นในระยะนี้บ้าง บ่าวรับใช้เพียงคนเดียวที่คอยปรนนิบัติเขาอยู่ก็ไม่ได้พูดคุยอันใดกับเขาเลย จึงได้แต่ตะล่อมถามกู้เซวียนอี๋ ถึงแม้กู้เซวียนอี๋จะอวดดีและเผด็จการ ไม่มองเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ทั้งยังชอบรังแกญาติผู้น้อง ทว่าความคิดอ่านมิได้ลึกซึ้ง จึงไม่ได้รู้สึ

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 111  

    ณ โถงโซ่วอัน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ถือกรรไกรไว้ในมือ ค่อย ๆ เล็มต้นไม้แคระในกระถางที่ตนเองปลูกอย่างใจเย็น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นเหลือบตามอง ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เย่าหลิงเจ้ามาแล้วหรือ” จากนั้นค่อยก้มศีรษะเล็มกิ่งต้นไม้แคระในกระถางต่อ กู้จิ่งซีไม่ได้รบกวนความสำราญของมารดา เมื่อค้อมกายคารวะมารดาแล้ว ก็ไปนั่งรอด้านข้าง ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้ตัดแต่งต้นไม้แคระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยวางกรรไกรลง และเดินไปนั่งลงตรงที่นั่งซึ่งอยู่เหนือบุตรชาย ครั้นเห็นสีหน้าแววตาของบุตรชายดูอิดโรยอ่อนล้า ชัดเจนว่าหลายวันนี้พักผ่อนไม่เพียงพอนัก นางจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงขึ้นว่า “เย่าหลิง เจ้าดูซีดเซียวยิ่งนัก ช่วงนี้เจ้างานยุ่งมากหรือ?” กู้จิ่งซีตอบเลี่ยงประเด็น “เจอคดียากคดีหนึ่ง ช่วงนี้จึงยุ่งไปสักหน่อย แต่ก็จัดการเรียบร้อยดีแล้ว ท่านแม่เรียกลูกมามีธุระอันใดหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มิได้อ้อมค้อมกับเขา เข้าประเด็นทันที “เย่าหลิง ข้าจำได้ว่าเจ้ากับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน” “ลูกกับหัวหน้าสำนักสวีเป็นสหายต่างวัยด้วยกันจริง” กู้จิ่งซีพยักหน้าเบา ๆ “เหตุ

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 112  

    สำหรับเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มิได้เป็นกังวล ตอบกลับว่า “สภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนคนได้ เขาเพียงแค่ถูกตามใจจนเกียจคร้านเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เห็นสหายร่วมเรียนรอบตัวตั้งใจศึกษาตำราอย่างมานะบากบั่นแล้ว ก็จะซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเด็กที่ฉลาดเฉลียวหากจะศึกษาเล่าเรียนแล้ว แม้ลงแรงน้อยนิดแต่ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว” กู้จิ่งซีงุนงง “ท่านแม่เชื่อใจเขาหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กลั้วหัวเราะพลางว่า “ข้าเองก็เห็นเด็กคนนี้มาจนโตเหมือนกัน เขานิสัยเป็นอย่างไรข้ารู้ดี” ได้ยินวาจานี้แล้ว กู้จิ่งซีเองก็รู้สึกคาดหวังกับผลลัพธ์ของหลานชายคนนี้เช่นกัน หากว่าสามารถพัฒนาตนเองได้จริง ครั้นจะหาเส้นสายให้เขาได้มีตำแหน่งก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ถ้าเข้าไปแล้วใช้ชีวิตแบบเช้าชามเย็นชาม นั่นก็เสียเกียรติสกุลกู้จริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างปราดหนึ่ง บัดนี้ตะวันลาลับขอบภูเขาแล้ว อีกไม่นานท้องฟ้าจะมืดสนิท ก็หันไปมองบุตรชาย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เย่าหลิง ประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ไม่สู้อยู่รับมื้อเย็นด้วยกันก่อนจะเป็นอย่างไร ข้าจะกำชับห้องครัวปรุงอาหารที่

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 113  

    สองวันหลังจากนั้น กู้จิ่งซีได้พากู้ซิวเหวินไปเยือนหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซาน ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดคิดไว้ กู้จิ่งซีไปขอร้องถึงสำนักด้วยตนเอง หัวหน้าสวีลองทดสอบความรู้ของกู้ซิวเหวินแล้วพบว่าเป็นเด็กฉลาดเฉลียว เพียงแต่ความรู้ยังไม่แน่นหนา ด้วยเห็นแก่หน้าสหาย จึงเพิ่มจำนวนที่นั่งของศิษย์ให้อีกหนึ่งรายชื่อเป็นกรณีพิเศษไป ภายในห้อง หัวหน้าสวีวัยพ้นครึ่งร้อยไปแล้ว กำลังพูดคุยกับกู้จิ่งซีที่วัยใกล้สามสิบอย่างสนุกสนานออกรส สหายต่างวัยคู่นี้ ด้วยวัยของทั้งสองห่างกันจนสามารถเป็นบุตรบิดาได้เลย แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังเรียกขานอย่างเป็นกันเองว่าพี่ชายน้องชาย หัวหน้าสวีมองออกไปยังเด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังเล่นกับแมวอยู่ในสวนด้านข้าง เด็กหนุ่มยิ้มร่า ท่าทางไร้ซึ่งความกลัดกลุ้มกังวล ก็ถามอย่างฉงนใจขึ้นว่า “เย่าหลิง หลานชายคนนี้ของเจ้าดูฉลาดเฉลียวยิ่งนัก แต่เหตุใดสกุลกู้ของพวกเจ้าจึงไม่สามารถเลี้ยงดูอบรมให้เขาดีเลิศได้เล่า?” กู้จิ่งซีตอบกลับ “ปกติแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ค่อนข้างให้ท้ายบุตรชาย” หัวหน้าสวีได้ฟังแล้วก็เข้าใจ แบบนี้เรียกว่าตามใจจนบุตรชายเกียจคร้าน วิชาความรู้ไม่ถึงแก่น จึงอยากเปลี่ยนสถานที่ให้เด

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 114  

    ที่สำนักศึกษามีการแบ่งระดับชั้นเรียน ก็เพื่อจะได้สอนศิษย์ตามความสามารถง่ายขึ้น ลูกศิษย์ที่อยู่ต่างระดับชั้น รูปแบบการสอนก็จะแตกต่างกันไปด้วย ลูกศิษย์ที่อยู่ชั้นเรียนระดับหนึ่งก็ไม่สามารถใช้รูปแบบการสอนสำหรับชั้นเรียนระดับสี่ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะเปลืองเวลาไปโดยใช่เหตุ ส่วนลูกศิษย์ชั้นเรียนระดับสี่ หากว่าใช้รูปแบบการสอนของชั้นเรียนระดับหนึ่งแล้ว ลูกศิษย์ก็อาจจะเรียนไม่เข้าใจ เหมือนกับหลานชายของเขา ความรู้พื้นฐานยังไม่แน่นพอ ให้เรียนที่ระดับพื้นฐานแบบนี้ดีที่สุดแล้ว แม้จะเป็นชั้นเรียนระดับพื้นฐาน แต่กู้จิ่งเซิ่งและนางจางก็ยังยิ้มออก รู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ก็ทำให้เขาได้เอาไปคุยโวโอ้อวดได้อีกนานแล้ว กู้จิ่งเซิ่งปกปิดความตื่นเต้นในน้ำเสียงไม่อยู่ “น้องสาม หนนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก ระดับพื้นฐานก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงซิวเหวินตั้งใจศึกษาวิชา ก็พอจะเลื่อนขั้นได้แล้ว” “พี่ใหญ่เกรงใจแล้ว” กู้จิ่งซีเห็นสายตาคู่นั้นของพี่ชายใหญ่ยามที่มองตนเองอยู่ ส่องประกายเจิดจ้า ก็กลัวว่าเขาจะขอให้ตนเองอยู่รับอาหารเที่ยงด้วยกัน และอีกสักพักคงโน้มน้าวให้ดื่มสุราต่อด้วยกัน ก็เอ่ยขึ้

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 115  

    ณ เรือนเวยหรุยเซวียน กู้จิ่งซีกลับถึงเรือน เวลาก็ล่วงเลยถึงเที่ยงวันแล้ว เป็นเวลาอาหารมื้อเที่ยงพอดี ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่นางน้อย และไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของสาวใช้สองคนอย่างชิงชิวและหนิงตงเช่นกัน เขารู้สึกประหลาดใจ ก็ถามชุนหลิ่วว่า “วันนี้ฮูหยินออกไปข้างนอกหรือ?” ชุนหลิ่วตอบกลับอย่างนอบน้อม “วันนี้ฮูหยินมีนัดหมายกับใครบางคนเจ้าค่ะ เพิ่งออกไปเมื่อราว ๆ หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เองเจ้าค่ะ” นางพูดจบ ก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านโหว ไม่ทราบว่ามื้อเที่ยงท่านจะรับอาหารหรือไม่เจ้าคะ?” ได้ยินวาจานี้ กู้จิ่งซีมุ่นหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าสาวใช้ที่ปกติดูฉลาดเฉลียวน่าจะเพี้ยนไปหน่อยแล้ว ถึงเวลาของมื้อเที่ยงแล้ว ยังจะถามอีกว่าต้องการรับประทานมื้อเที่ยงอีกหรือไม่ ไม่ให้กินมื้อเที่ยงแล้วจะให้กินมื้อเย็นหรืออย่างไร? ชุนหลิ่วเห็นสีหน้าเขาไม่สบอารมณ์ ก็รีบอธิบายต่อทันที “ก่อนที่ฮูหยินจะออกไปได้แจ้งว่าจะไม่กลับมารับมื้อเที่ยงเจ้าค่ะ และสั่งห้องครัวว่าไม่ต้องเตรียมสำรับอาหารไว้ จะได้ไม่ต้องเตรียมให้เปลืองเวลา กลับคิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะกลับมาเร็วเช่นนี้” กู้จิ่งซีผงะ

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 116  

    เมิ่งจิ่นเหยาเอ่ย “มีเรื่องกับพวกเขาเป็นเรื่องที่ช้าเร็วต้องเกิดขึ้นสักวันอยู่ดี เพียงแต่พวกเขาให้โอกาสข้าเร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นก็เท่านั้น” ซ่งซินหนิงกัดฟันกรอด สบถอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่เลี้ยงของเจ้าก็ช่างกล้าหาญยิ่งนัก แม้แต่สินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้ายังกล้ายักยอกเป็นของส่วนตัว” แววตาของเมิ่งจิ่นเหยาหม่นลง ก่อนจะแค่นเสียงยิ้มเยาะออกมา “หากว่าไม่มีคำอนุญาตของท่านพ่อและท่านย่าของข้า นางหรือจะกล้าทำเช่นนั้น? แต่ว่า พวกเขาก็ตะเภาเดียวกัน แค่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าพวกเขาสองแม่ลูกรวมหัวกับคนนั้น และหัวหอกก็ชี้ไปที่นางซุนแล้ว เพราะฉะนั้นที่พูดได้ยามนี้ก็มีแต่นางซุนยักยอกสินเดิมของลูกเลี้ยงไปเป็นส่วนตัวเท่านั้น พวกเขาสองแม่ลูกทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ปัดความรับผิดชอบให้นางซุนทั้งหมด ให้นางซุนรับผิดแต่เพียงผู้เดียว” ซ่งซินหนิงอึ้งงันไป ครู่หนึ่งให้หลังก็ผงกศีรษะ พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ตัวการที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นท่านย่าและท่านพ่อของเจ้า” นางเอ่ยพลางแค่นเสียงหัวเราะอย่างดูแคลนออกมา “ทั้งที่บิดาเจ้ารักมารดาเลี้ยงเจ้าออกปานนั้น แต่พอเกิดเรื่อง กลับผลักไสนางออกไปขวางมีดไว้โดยไม่มีลังเล ดูเ

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 117  

    เมิ่งจิ่นเหยาอึ้งงันไป “เพราะเหตุใดกัน?” “ป้าสะใภ้เสิ่นโรคเก่ากำเริบ อาการโรคแย่ลงอย่างรุนแรง เมื่อวานข้าไปเยี่ยมนาง ได้ยินหมอบอก เกรงว่า…เกรงว่าจะเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ซ่งซินหนิงเอ่ยได้เพียงครึ่งเดียว ก็สะอึกสะอื้นออกมา น้ำตาคลอเต็มเบ้า พริบตาเดียวก็ไหลอาบลงสองแก้ม “สวรรค์ช่างไร้ความยุติธรรม ป้าสะใภ้เสิ่นเป็นคนดีมาก เหตุใดต้องให้นางล้มป่วยด้วย ไยจึงไม่ให้คนชั่วล้มป่วยเล่า?” เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที รีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางซับน้ำตาให้นาง พลางถามไถ่ว่า “อาหนิง เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เจ้าไปเยี่ยมฮูหยินเสิ่น นางยังแข็งแรงดีอยู่เช่นนั้น เหตุใดโรคเก่าจึงกำเริบขึ้นกะทันหันได้หรือ?” ซ่งซินหนิงสูดหายใจแล้ว น้ำเสียงเจือด้วยอาฆาตแค้น “เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก สกุลเสิ่นปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อีกอย่างมันเป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วย เพราะอนุนอกเรือนของท่านลุงเสิ่นกำลังตั้งครรภ์ ได้ยินว่าตั้งครรภ์บุตรแฝดด้วย ท่านลุงเสิ่นทนให้เด็กต้องกลายเป็นบุตรนอกสมรสที่ต้องปกปิดตัวตนตลอดไปไม่ได้ จึงรับอนุนอกเรือนกลับมาแต่งตั้งเป็นอนุภรรยา ป้าสะใภ้เสิ่นทะเลาะกับท่า

บทล่าสุด

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 276

    เมิ่งจิ่นเหยามองนางด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้านางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น และราวกับมีความแค้นอะไรกับกู้ซิวหมิง จึงสับสนเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนดีใจมากเมื่อเห็นเขาโชคร้าย?”ท่านหญิงจิ้งหนิงเชิดริมฝีปาก ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน “ข้าก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าเขา ชอบทำท่าวางมาดทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คนอื่นกลับบอกว่าเขาสุภาพอ่อนโยน และมีท่าทางแบบท่านโหว”เมิ่งจิ่นเหยาตกใจ “อาเหยียนสายตาเฉียบคมมาก”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างเขินอาย “ก็พอได้ แต่เพราะข้าเคยเห็นด้านที่ไม่ดีของเขา จึงรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างมาก”ขณะที่นางพูด ก็ดื่มน้ำเชื่อมอีกหนึ่งอึก น้ำเชื่อมที่เย็นหอมหวานเข้าไปในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งตัว และกล่าวอีกว่า “อย่าเพิ่งกล่าวถึงเขาเลย ดื่มตอนที่มันยังเย็น อีกเดี๋ยวมันร้อนคาดว่าจะไม่อร่อยมากแล้ว”หลังดื่มน้ำเชื่อม ท่านหญิงจิ้งหนิงก็อยู่อีกกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะกลับจวนเหลียงอ๋อง ......กู้จิ่งซีเลิกงานกลับมาเมิ่งจิ่นเหยาเห็นเขา ก็เรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่”จากนั้น นางก็สั่งให้หนิงตงยกน้ำเชื่อมลิ้นจี่

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 275

    เวลาเที่ยง ท่านหญิงจิ้งหนิงยังอยู่ที่จวนท่านโหว กินอาหารกลางวันด้วยกันกับเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้กำชับสาวใช้ให้ทำลิ้นจี่แห้วเย็นในน้ำเชื่อม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ส่งไปให้บ้านใหญ่กับบ้านรองสักหน่อยลิ้นจี่ทำให้ร้อนในได้ ทว่าแห้วแก้ร้อนใน ทำน้ำเชื่อมให้อร่อยหวานสดชื่น แช่เย็นก็ยิ่งดี เมื่อกินลงไปทำให้เย็นสดชื่นและหอมหวาน ทั้งยังสามารถดับร้อนได้ด้วย เหมาะที่จะดื่มสิ่งนี้ตอนอากาศร้อนยิ่งนักท่านหญิงจิ้งหนิงดื่มไปหนึ่งคำก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ “ไม่เลวเลยจริง ๆ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ถึงว่าควรเอามันมาทำเป็นน้ำเชื่อมนะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “อยู่ ๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้เช่นเดียวกัน”“ก่อนหน้านี้เจ้ากินลิ้นจี่เช่นนี้ตลอดเลยหรือ?” ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองนางอย่างประหลาดใจ แล้วพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเสพสุข เช่นนี้อร่อยมากทีเดียว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยกิน เพียงแค่ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงอยากลองทำดูเท่านั้น ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยกินลิ้นจี่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เมื่อวานซืนกับเม

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 274

    ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 273

    ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 272

    กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 271

    เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 270

    เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 269

    กู้จิ่งซีรู้สึกแค่เพียงไม่คาดคิดเท่านั้น เดิมทีไม่ได้คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยอับอายเสียจนหน้าแดง สีหน้าท่าทางขัดเขินไม่กล้ามองตนเองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแฝงไปด้วยการหยอกเย้า “ฮูหยินใช้ข้าเป็นสาวใช้แล้วหรือ”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางเขาอย่างฉับพลัน บุรุษผู้นั้นยิ้มมุมปาก ดวงตามองตนเองอย่างหยอกล้อ รู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที อดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “มิใช่ว่าท่านพี่อยากเป็นสาวใช้หรอกหรือ? ข้าก็ทำตามความปรารถนาของท่านพี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด หากทำให้แม่น้อยร้องไห้ขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยเท่าใดนัก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อืม ฮูหยินพูดถูกแล้ว ข้าเต็มใจเอง ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ฮูหยินกินเองเถิด”เขาพูดพลางเอาเปลือกกับเมล็ดของลิ้นจี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบผ้าสีเหลี่ยมสีน้ำเงินขึ้นมาเช็ดมือ เตรียมที่จะจากไปเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองลิ้นจี่ที่เหลืออยู่พลางถามว่า “ท่านพี่ไม่ถือโอกาสกินตอนที่ยังสดใหม่อยู่สักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะ “ฮูหยินกินเถิด ข้าไม่ค

  • ชายชั่วหนีวิวาห์ ข้าหรือจะยอมเป็นม่ายขันหมาก   บทที่ 268

    เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ปอกเปลือกแล้วมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของแม่นางน้อย พลางกล่าวอย่างหยอกเย้า “ฮูหยิน เพียงแค่มองดูอย่างเดียวลิ้มลองรสชาติไม่ได้ ลองชิมดูก่อนดีหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาได้สติกลับมา ก็เห็นเขาแย้มยิ้มมองตนเอง ดวงตาอันอ่อนละมุนคู่นั้นช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก จึงอ้าปากรับการป้อนของเขาโดยไม่รู้ตัว กัดหนึ่งคำเบา ๆ เนื้อของลิ้นจี่ราวกับผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนนุ่มและสดชื่น มีรสหอมหวานในปาก กลิ่นหอมกรุ่น หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติดีเยี่ยม ทำให้ชวนนึกถึงรสชาติที่เหลืออยู่ในปากเมื่อเห็นนางหรี่ตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ ถึงขั้นทำให้หวนนึกถึง กู้จิ่งซียิ้มพลางถามว่า “อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ ผ่านมานานหลายปีได้กินอีกครั้ง ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยเจ้าค่ะ” เมื่อนับเวลาจากที่นางกินลิ้นจี่ครั้งที่แล้ว ก็คือสิบปีก่อน ตอนนั้นท่านปู่ได้รับลิ้นจี่มาจากสหายนิดหน่อย ลูกเดียวยังทำใจกินไม่ลง นำกลับมาป้อนใส่ท้องนางทั้งหมด เวลานั้นนางยังไม่เข้าใจความล้ำค่าของลิ้นจี่ รู้เพียงแต่ว่าอร่อยเท่านั้น ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตไป นางก็ไม่ได้กินอีกเ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status