สองวันหลังจากนั้น กู้จิ่งซีได้พากู้ซิวเหวินไปเยือนหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซาน ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดคิดไว้ กู้จิ่งซีไปขอร้องถึงสำนักด้วยตนเอง หัวหน้าสวีลองทดสอบความรู้ของกู้ซิวเหวินแล้วพบว่าเป็นเด็กฉลาดเฉลียว เพียงแต่ความรู้ยังไม่แน่นหนา ด้วยเห็นแก่หน้าสหาย จึงเพิ่มจำนวนที่นั่งของศิษย์ให้อีกหนึ่งรายชื่อเป็นกรณีพิเศษไป ภายในห้อง หัวหน้าสวีวัยพ้นครึ่งร้อยไปแล้ว กำลังพูดคุยกับกู้จิ่งซีที่วัยใกล้สามสิบอย่างสนุกสนานออกรส สหายต่างวัยคู่นี้ ด้วยวัยของทั้งสองห่างกันจนสามารถเป็นบุตรบิดาได้เลย แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังเรียกขานอย่างเป็นกันเองว่าพี่ชายน้องชาย หัวหน้าสวีมองออกไปยังเด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังเล่นกับแมวอยู่ในสวนด้านข้าง เด็กหนุ่มยิ้มร่า ท่าทางไร้ซึ่งความกลัดกลุ้มกังวล ก็ถามอย่างฉงนใจขึ้นว่า “เย่าหลิง หลานชายคนนี้ของเจ้าดูฉลาดเฉลียวยิ่งนัก แต่เหตุใดสกุลกู้ของพวกเจ้าจึงไม่สามารถเลี้ยงดูอบรมให้เขาดีเลิศได้เล่า?” กู้จิ่งซีตอบกลับ “ปกติแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ค่อนข้างให้ท้ายบุตรชาย” หัวหน้าสวีได้ฟังแล้วก็เข้าใจ แบบนี้เรียกว่าตามใจจนบุตรชายเกียจคร้าน วิชาความรู้ไม่ถึงแก่น จึงอยากเปลี่ยนสถานที่ให้เด
ที่สำนักศึกษามีการแบ่งระดับชั้นเรียน ก็เพื่อจะได้สอนศิษย์ตามความสามารถง่ายขึ้น ลูกศิษย์ที่อยู่ต่างระดับชั้น รูปแบบการสอนก็จะแตกต่างกันไปด้วย ลูกศิษย์ที่อยู่ชั้นเรียนระดับหนึ่งก็ไม่สามารถใช้รูปแบบการสอนสำหรับชั้นเรียนระดับสี่ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะเปลืองเวลาไปโดยใช่เหตุ ส่วนลูกศิษย์ชั้นเรียนระดับสี่ หากว่าใช้รูปแบบการสอนของชั้นเรียนระดับหนึ่งแล้ว ลูกศิษย์ก็อาจจะเรียนไม่เข้าใจ เหมือนกับหลานชายของเขา ความรู้พื้นฐานยังไม่แน่นพอ ให้เรียนที่ระดับพื้นฐานแบบนี้ดีที่สุดแล้ว แม้จะเป็นชั้นเรียนระดับพื้นฐาน แต่กู้จิ่งเซิ่งและนางจางก็ยังยิ้มออก รู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ก็ทำให้เขาได้เอาไปคุยโวโอ้อวดได้อีกนานแล้ว กู้จิ่งเซิ่งปกปิดความตื่นเต้นในน้ำเสียงไม่อยู่ “น้องสาม หนนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก ระดับพื้นฐานก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงซิวเหวินตั้งใจศึกษาวิชา ก็พอจะเลื่อนขั้นได้แล้ว” “พี่ใหญ่เกรงใจแล้ว” กู้จิ่งซีเห็นสายตาคู่นั้นของพี่ชายใหญ่ยามที่มองตนเองอยู่ ส่องประกายเจิดจ้า ก็กลัวว่าเขาจะขอให้ตนเองอยู่รับอาหารเที่ยงด้วยกัน และอีกสักพักคงโน้มน้าวให้ดื่มสุราต่อด้วยกัน ก็เอ่ยขึ้
ณ เรือนเวยหรุยเซวียน กู้จิ่งซีกลับถึงเรือน เวลาก็ล่วงเลยถึงเที่ยงวันแล้ว เป็นเวลาอาหารมื้อเที่ยงพอดี ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่นางน้อย และไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของสาวใช้สองคนอย่างชิงชิวและหนิงตงเช่นกัน เขารู้สึกประหลาดใจ ก็ถามชุนหลิ่วว่า “วันนี้ฮูหยินออกไปข้างนอกหรือ?” ชุนหลิ่วตอบกลับอย่างนอบน้อม “วันนี้ฮูหยินมีนัดหมายกับใครบางคนเจ้าค่ะ เพิ่งออกไปเมื่อราว ๆ หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เองเจ้าค่ะ” นางพูดจบ ก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านโหว ไม่ทราบว่ามื้อเที่ยงท่านจะรับอาหารหรือไม่เจ้าคะ?” ได้ยินวาจานี้ กู้จิ่งซีมุ่นหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าสาวใช้ที่ปกติดูฉลาดเฉลียวน่าจะเพี้ยนไปหน่อยแล้ว ถึงเวลาของมื้อเที่ยงแล้ว ยังจะถามอีกว่าต้องการรับประทานมื้อเที่ยงอีกหรือไม่ ไม่ให้กินมื้อเที่ยงแล้วจะให้กินมื้อเย็นหรืออย่างไร? ชุนหลิ่วเห็นสีหน้าเขาไม่สบอารมณ์ ก็รีบอธิบายต่อทันที “ก่อนที่ฮูหยินจะออกไปได้แจ้งว่าจะไม่กลับมารับมื้อเที่ยงเจ้าค่ะ และสั่งห้องครัวว่าไม่ต้องเตรียมสำรับอาหารไว้ จะได้ไม่ต้องเตรียมให้เปลืองเวลา กลับคิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะกลับมาเร็วเช่นนี้” กู้จิ่งซีผงะ
เมิ่งจิ่นเหยาเอ่ย “มีเรื่องกับพวกเขาเป็นเรื่องที่ช้าเร็วต้องเกิดขึ้นสักวันอยู่ดี เพียงแต่พวกเขาให้โอกาสข้าเร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นก็เท่านั้น” ซ่งซินหนิงกัดฟันกรอด สบถอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่เลี้ยงของเจ้าก็ช่างกล้าหาญยิ่งนัก แม้แต่สินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้ายังกล้ายักยอกเป็นของส่วนตัว” แววตาของเมิ่งจิ่นเหยาหม่นลง ก่อนจะแค่นเสียงยิ้มเยาะออกมา “หากว่าไม่มีคำอนุญาตของท่านพ่อและท่านย่าของข้า นางหรือจะกล้าทำเช่นนั้น? แต่ว่า พวกเขาก็ตะเภาเดียวกัน แค่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าพวกเขาสองแม่ลูกรวมหัวกับคนนั้น และหัวหอกก็ชี้ไปที่นางซุนแล้ว เพราะฉะนั้นที่พูดได้ยามนี้ก็มีแต่นางซุนยักยอกสินเดิมของลูกเลี้ยงไปเป็นส่วนตัวเท่านั้น พวกเขาสองแม่ลูกทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ปัดความรับผิดชอบให้นางซุนทั้งหมด ให้นางซุนรับผิดแต่เพียงผู้เดียว” ซ่งซินหนิงอึ้งงันไป ครู่หนึ่งให้หลังก็ผงกศีรษะ พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ตัวการที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นท่านย่าและท่านพ่อของเจ้า” นางเอ่ยพลางแค่นเสียงหัวเราะอย่างดูแคลนออกมา “ทั้งที่บิดาเจ้ารักมารดาเลี้ยงเจ้าออกปานนั้น แต่พอเกิดเรื่อง กลับผลักไสนางออกไปขวางมีดไว้โดยไม่มีลังเล ดูเ
เมิ่งจิ่นเหยาอึ้งงันไป “เพราะเหตุใดกัน?” “ป้าสะใภ้เสิ่นโรคเก่ากำเริบ อาการโรคแย่ลงอย่างรุนแรง เมื่อวานข้าไปเยี่ยมนาง ได้ยินหมอบอก เกรงว่า…เกรงว่าจะเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ซ่งซินหนิงเอ่ยได้เพียงครึ่งเดียว ก็สะอึกสะอื้นออกมา น้ำตาคลอเต็มเบ้า พริบตาเดียวก็ไหลอาบลงสองแก้ม “สวรรค์ช่างไร้ความยุติธรรม ป้าสะใภ้เสิ่นเป็นคนดีมาก เหตุใดต้องให้นางล้มป่วยด้วย ไยจึงไม่ให้คนชั่วล้มป่วยเล่า?” เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที รีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางซับน้ำตาให้นาง พลางถามไถ่ว่า “อาหนิง เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เจ้าไปเยี่ยมฮูหยินเสิ่น นางยังแข็งแรงดีอยู่เช่นนั้น เหตุใดโรคเก่าจึงกำเริบขึ้นกะทันหันได้หรือ?” ซ่งซินหนิงสูดหายใจแล้ว น้ำเสียงเจือด้วยอาฆาตแค้น “เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก สกุลเสิ่นปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อีกอย่างมันเป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วย เพราะอนุนอกเรือนของท่านลุงเสิ่นกำลังตั้งครรภ์ ได้ยินว่าตั้งครรภ์บุตรแฝดด้วย ท่านลุงเสิ่นทนให้เด็กต้องกลายเป็นบุตรนอกสมรสที่ต้องปกปิดตัวตนตลอดไปไม่ได้ จึงรับอนุนอกเรือนกลับมาแต่งตั้งเป็นอนุภรรยา ป้าสะใภ้เสิ่นทะเลาะกับท่า
บางที สิ่งที่ทุกคนเห็นอาจเป็นภาพลวงตาทั้งหมด ความจริงแล้วใต้เท้าเสิ่นไม่ได้รักฮูหยินเสิ่นมากมายปานนั้น แต่สิ่งที่รักมีเพียงเงินทองทรัพย์สมบัติของบ้านมารดาฮูหยินเสิ่นเท่านั้น คิดถึงจุดนี้แล้ว เมิ่งจิ่นเหยาพลันหนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย ความคิดเช่นนี้จะต้องลุ่มลึกเพียงใด ถึงจะสามารถเสแสร้งมาได้หลายปีเช่นนั้น? บุรุษที่กล้าใช้ทุกเล่ห์กลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ร้ายทุกชนิดเสียอีก นางกลืนน้ำลาย และพึมพำออกมาด้วยเสียงเบาหวิว “อาหนิง บางทีฮูหยินเสิ่นอาจจะแค่มอบความจริงใจให้ผิดคนมาตั้งแต่แรกก็ได้” ซ่งซินหนิงงุนงง ก็ถามขึ้นเนิบๆ “หมาย…หมายความว่าอย่างไร?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “ไม่แน่ว่า ความจริงแล้วใต้เท้าเสิ่นอาจจะไม่ได้ชมชอบฮูหยินเสิ่นมากมายเพียงนั้น แต่แค่มองว่าตัวฮูหยินเสิ่นสามารถหาผลประโยชน์ได้ก็เท่านั้น เขาถึงได้เสแสร้งว่ารักมากผูกพันมาก แต่บัดนี้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งสูงเงินหนา ไม่ต้องการแรงช่วยเหลือจากเรือนมารดาของฮูหยินเสิ่นอีกแล้ว ธาตุแท้เดิมย่อมปรากฏออกมาช้าๆ” ซ่งซินหนิงได้ยินแล้ว ก็สูดหายใจเยียบเย็นเฮือกหนึ่ง สิ่งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการเปลี่ยนใจกลางทางอีก คิดถึงท่
เนื่องจากซ่งซินหนิงยังมีธุระอื่น เมิ่งจิ่นเหยากินมื้อเที่ยงกับนางเรียบร้อยแล้วก็แยกย้าย ได้ฟังชะตาชีวิตอันขมขื่นของฮูหยินเสิ่นแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็จิตตกเช่นเดียวกัน ไม่มีอารมณ์จะออกไปเดินเล่นด้านนอกแล้ว หลังจากกล่าวลาซ่งซินหนิง ก็นั่งรถม้าของเรือนตนเองกลับจวนเลยทันที หนิงตงถามอย่างกังวล “ฮูหยิน ท่านว่าฮูหยินเสิ่นจะตายจากไปเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าเคร่งขรึมลง ส่ายศีรษะเบาๆ พลางตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ฮูหยินเสิ่นวัยยังไม่ถึงสี่สิบ ยังนับว่าอายุน้อย คงจะทนความทุกข์ทรมานไหวกระมัง” หนิงตงทอดถอนใจ น้ำเสียงห่อเหี่ยว “ฮูหยินเสิ่นเป็นคนอ่อนโยนมีคุณธรรม หากต้องล้มป่วยตายไปเช่นนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนักเจ้าค่ะ ซ้ำยังทำให้ใต้เท้าเสิ่นได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วย” เมิ่งจิ่นเหยานิ่งเงียบ นางก็หวังให้คนดีอายุยืนร้อยปีเหมือนกัน หากว่าฮูหยินเสิ่นสามารถอดทนผ่านไปได้แล้ว นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องประเสริฐมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ใต้เท้าเสิ่นก็จะไม่ต้องเข้าพิธีสมรสใหม่ อาหนิงก็ไม่ต้องมีแม่เลี้ยงของสามี ถึงอย่างไรหากมีแม่เลี้ยงของสามีแล้ว ปัญหาทุกข์ใจตามมาอีกไม่น้อยแน่ อีกอย่าง ที่หนิงตง
หนิงตงตอบกลับ “โบราณว่าไว้ ไม่มีเหตุผลแต่ยื่นไมตรีจิตมิใช่โจรชั่วก็เป็นขโมย ฮูหยินใหญ่เมื่อครู่กระตือรือร้นต่อท่าน รู้สึกประหลาดพิกลเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย “ข้าคิดว่าคงไม่ใช่เช่นนั้น แม้ข้าเป็นฮูหยินท่านโหว แต่ข้าก็มิได้มีอำนาจแท้จริงอันใด อำนาจอธิปไตยอยู่ในการดูแลของนางและพี่สะใภ้รอง ข้าจะช่วยเหลือธุระอันใดของนางได้เล่า?” “ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ท่านเป็นทางผ่าน เพราะอยากให้ท่านโหวช่วยเหลือนั่นก็เป็นไปได้เจ้าค่ะ?” หนิงตงเอ่ยพลาง กวาดสายตามองทั่วทั้งสี่ทิศ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่น จึงเอ่ยต่อ “บ่าวได้ยินมาว่าในการคบค้าสมาคมระหว่างฮูหยินขุนนางเหล่านั้น ฮูหยินบางท่านมักจะพูดจาเอาอกเอาใจให้ฮูหยินของอีกบ้านหนึ่งรู้สึกพึงพอใจ หลังจากนั้นค่อยให้ฮูหยินของอีกบ้านหนึ่งกลับไปเป่าหูสามีที่ข้างหมอน เรื่องต่าง ๆ ก็จะสำเร็จดังหวังเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาฟังแล้ว ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็หมายความว่านางยังพอเห็นข้าอยู่ในสายตา ทว่านางคงมิได้มีเรื่องต้องการความช่วยเหลืออะไร ประเดี๋ยวเจ้าค่อยไปสืบมาแล้วกัน ดูว่าในจวนมีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือไม่” หนิงตงรับคำ “บ่าวจะ
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา