เมิ่งจิ่นเหยาเอ่ย “มีเรื่องกับพวกเขาเป็นเรื่องที่ช้าเร็วต้องเกิดขึ้นสักวันอยู่ดี เพียงแต่พวกเขาให้โอกาสข้าเร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นก็เท่านั้น” ซ่งซินหนิงกัดฟันกรอด สบถอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่เลี้ยงของเจ้าก็ช่างกล้าหาญยิ่งนัก แม้แต่สินเดิมของมารดาผู้ให้กำเนิดเจ้ายังกล้ายักยอกเป็นของส่วนตัว” แววตาของเมิ่งจิ่นเหยาหม่นลง ก่อนจะแค่นเสียงยิ้มเยาะออกมา “หากว่าไม่มีคำอนุญาตของท่านพ่อและท่านย่าของข้า นางหรือจะกล้าทำเช่นนั้น? แต่ว่า พวกเขาก็ตะเภาเดียวกัน แค่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าพวกเขาสองแม่ลูกรวมหัวกับคนนั้น และหัวหอกก็ชี้ไปที่นางซุนแล้ว เพราะฉะนั้นที่พูดได้ยามนี้ก็มีแต่นางซุนยักยอกสินเดิมของลูกเลี้ยงไปเป็นส่วนตัวเท่านั้น พวกเขาสองแม่ลูกทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ปัดความรับผิดชอบให้นางซุนทั้งหมด ให้นางซุนรับผิดแต่เพียงผู้เดียว” ซ่งซินหนิงอึ้งงันไป ครู่หนึ่งให้หลังก็ผงกศีรษะ พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ตัวการที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นท่านย่าและท่านพ่อของเจ้า” นางเอ่ยพลางแค่นเสียงหัวเราะอย่างดูแคลนออกมา “ทั้งที่บิดาเจ้ารักมารดาเลี้ยงเจ้าออกปานนั้น แต่พอเกิดเรื่อง กลับผลักไสนางออกไปขวางมีดไว้โดยไม่มีลังเล ดูเ
เมิ่งจิ่นเหยาอึ้งงันไป “เพราะเหตุใดกัน?” “ป้าสะใภ้เสิ่นโรคเก่ากำเริบ อาการโรคแย่ลงอย่างรุนแรง เมื่อวานข้าไปเยี่ยมนาง ได้ยินหมอบอก เกรงว่า…เกรงว่าจะเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ซ่งซินหนิงเอ่ยได้เพียงครึ่งเดียว ก็สะอึกสะอื้นออกมา น้ำตาคลอเต็มเบ้า พริบตาเดียวก็ไหลอาบลงสองแก้ม “สวรรค์ช่างไร้ความยุติธรรม ป้าสะใภ้เสิ่นเป็นคนดีมาก เหตุใดต้องให้นางล้มป่วยด้วย ไยจึงไม่ให้คนชั่วล้มป่วยเล่า?” เมิ่งจิ่นเหยาได้ยินแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที รีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางซับน้ำตาให้นาง พลางถามไถ่ว่า “อาหนิง เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เจ้าไปเยี่ยมฮูหยินเสิ่น นางยังแข็งแรงดีอยู่เช่นนั้น เหตุใดโรคเก่าจึงกำเริบขึ้นกะทันหันได้หรือ?” ซ่งซินหนิงสูดหายใจแล้ว น้ำเสียงเจือด้วยอาฆาตแค้น “เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก สกุลเสิ่นปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อีกอย่างมันเป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วย เพราะอนุนอกเรือนของท่านลุงเสิ่นกำลังตั้งครรภ์ ได้ยินว่าตั้งครรภ์บุตรแฝดด้วย ท่านลุงเสิ่นทนให้เด็กต้องกลายเป็นบุตรนอกสมรสที่ต้องปกปิดตัวตนตลอดไปไม่ได้ จึงรับอนุนอกเรือนกลับมาแต่งตั้งเป็นอนุภรรยา ป้าสะใภ้เสิ่นทะเลาะกับท่า
บางที สิ่งที่ทุกคนเห็นอาจเป็นภาพลวงตาทั้งหมด ความจริงแล้วใต้เท้าเสิ่นไม่ได้รักฮูหยินเสิ่นมากมายปานนั้น แต่สิ่งที่รักมีเพียงเงินทองทรัพย์สมบัติของบ้านมารดาฮูหยินเสิ่นเท่านั้น คิดถึงจุดนี้แล้ว เมิ่งจิ่นเหยาพลันหนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย ความคิดเช่นนี้จะต้องลุ่มลึกเพียงใด ถึงจะสามารถเสแสร้งมาได้หลายปีเช่นนั้น? บุรุษที่กล้าใช้ทุกเล่ห์กลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ร้ายทุกชนิดเสียอีก นางกลืนน้ำลาย และพึมพำออกมาด้วยเสียงเบาหวิว “อาหนิง บางทีฮูหยินเสิ่นอาจจะแค่มอบความจริงใจให้ผิดคนมาตั้งแต่แรกก็ได้” ซ่งซินหนิงงุนงง ก็ถามขึ้นเนิบๆ “หมาย…หมายความว่าอย่างไร?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “ไม่แน่ว่า ความจริงแล้วใต้เท้าเสิ่นอาจจะไม่ได้ชมชอบฮูหยินเสิ่นมากมายเพียงนั้น แต่แค่มองว่าตัวฮูหยินเสิ่นสามารถหาผลประโยชน์ได้ก็เท่านั้น เขาถึงได้เสแสร้งว่ารักมากผูกพันมาก แต่บัดนี้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งสูงเงินหนา ไม่ต้องการแรงช่วยเหลือจากเรือนมารดาของฮูหยินเสิ่นอีกแล้ว ธาตุแท้เดิมย่อมปรากฏออกมาช้าๆ” ซ่งซินหนิงได้ยินแล้ว ก็สูดหายใจเยียบเย็นเฮือกหนึ่ง สิ่งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการเปลี่ยนใจกลางทางอีก คิดถึงท่
เนื่องจากซ่งซินหนิงยังมีธุระอื่น เมิ่งจิ่นเหยากินมื้อเที่ยงกับนางเรียบร้อยแล้วก็แยกย้าย ได้ฟังชะตาชีวิตอันขมขื่นของฮูหยินเสิ่นแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็จิตตกเช่นเดียวกัน ไม่มีอารมณ์จะออกไปเดินเล่นด้านนอกแล้ว หลังจากกล่าวลาซ่งซินหนิง ก็นั่งรถม้าของเรือนตนเองกลับจวนเลยทันที หนิงตงถามอย่างกังวล “ฮูหยิน ท่านว่าฮูหยินเสิ่นจะตายจากไปเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าเคร่งขรึมลง ส่ายศีรษะเบาๆ พลางตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ฮูหยินเสิ่นวัยยังไม่ถึงสี่สิบ ยังนับว่าอายุน้อย คงจะทนความทุกข์ทรมานไหวกระมัง” หนิงตงทอดถอนใจ น้ำเสียงห่อเหี่ยว “ฮูหยินเสิ่นเป็นคนอ่อนโยนมีคุณธรรม หากต้องล้มป่วยตายไปเช่นนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนักเจ้าค่ะ ซ้ำยังทำให้ใต้เท้าเสิ่นได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วย” เมิ่งจิ่นเหยานิ่งเงียบ นางก็หวังให้คนดีอายุยืนร้อยปีเหมือนกัน หากว่าฮูหยินเสิ่นสามารถอดทนผ่านไปได้แล้ว นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องประเสริฐมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ใต้เท้าเสิ่นก็จะไม่ต้องเข้าพิธีสมรสใหม่ อาหนิงก็ไม่ต้องมีแม่เลี้ยงของสามี ถึงอย่างไรหากมีแม่เลี้ยงของสามีแล้ว ปัญหาทุกข์ใจตามมาอีกไม่น้อยแน่ อีกอย่าง ที่หนิงตง
หนิงตงตอบกลับ “โบราณว่าไว้ ไม่มีเหตุผลแต่ยื่นไมตรีจิตมิใช่โจรชั่วก็เป็นขโมย ฮูหยินใหญ่เมื่อครู่กระตือรือร้นต่อท่าน รู้สึกประหลาดพิกลเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย “ข้าคิดว่าคงไม่ใช่เช่นนั้น แม้ข้าเป็นฮูหยินท่านโหว แต่ข้าก็มิได้มีอำนาจแท้จริงอันใด อำนาจอธิปไตยอยู่ในการดูแลของนางและพี่สะใภ้รอง ข้าจะช่วยเหลือธุระอันใดของนางได้เล่า?” “ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ท่านเป็นทางผ่าน เพราะอยากให้ท่านโหวช่วยเหลือนั่นก็เป็นไปได้เจ้าค่ะ?” หนิงตงเอ่ยพลาง กวาดสายตามองทั่วทั้งสี่ทิศ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่น จึงเอ่ยต่อ “บ่าวได้ยินมาว่าในการคบค้าสมาคมระหว่างฮูหยินขุนนางเหล่านั้น ฮูหยินบางท่านมักจะพูดจาเอาอกเอาใจให้ฮูหยินของอีกบ้านหนึ่งรู้สึกพึงพอใจ หลังจากนั้นค่อยให้ฮูหยินของอีกบ้านหนึ่งกลับไปเป่าหูสามีที่ข้างหมอน เรื่องต่าง ๆ ก็จะสำเร็จดังหวังเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาฟังแล้ว ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็หมายความว่านางยังพอเห็นข้าอยู่ในสายตา ทว่านางคงมิได้มีเรื่องต้องการความช่วยเหลืออะไร ประเดี๋ยวเจ้าค่อยไปสืบมาแล้วกัน ดูว่าในจวนมีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือไม่” หนิงตงรับคำ “บ่าวจะ
เห็นเขามีสีหน้าขรึมลง เมิ่งจิ่นเหยาก็สงสัย “ท่านพี่ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีชำเลืองมองแม่นางน้อยด้วยสายตาลึกลับยากจับความหมาย ก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ปีนี้เขาวัยห้าสิบสามแล้ว หลานของเขาวัยเดียวกับเจ้า” ในเสี้ยวพริบตาเดียวนั้น เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายหยุดชะงักไป บรรยากาศกระอักกระอ่วนท่วมฟ้าถาโถมเข้าใส่นาง จนนางแทบจมดิ่งหายไป นั่นก็จริง สหายต่างวัย อายุน้อยกว่ากู้จิ่งซีมากเรียกสหายต่างวัย แต่อายุมากกว่ากู้จิ่งซีมากก็เรียกสหายต่างวัยได้เช่นเดียวกัน เป็นนางที่คิดน้อยเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่จบสิ้น นางฝืนยิ้มออกมาแก้เก้อ “เช่น…เช่นนั้นท่านพี่ก็ยังผูกมิตรกว้างขวาง ไม่เหมือนข้า มีแต่สหายวัยไล่เลี่ยกันเท่านั้น” กู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง “เช่นนั้นหรือ?” “เจ้าค่ะ!” เมิ่งจิ่นเหยาผงกศีรษะรัวเหมือนโขลกกระเทียม ให้คำตอบอย่างหนักแน่น กู้จิ่งซีตอบอย่างถ่อมตัว “แค่พอประมาณ สหายต่างวัยยังมีไม่มากนัก มีแต่สหายต่างวัยที่แก่กว่าเท่านั้น บัดนี้ข้ายังไม่มีสหายต่างวัยที่อ่อนกว่าเจ้า” พูดจบ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย คล้ายว่าเสียดายที่ตน
ในตอนแรกเมิ่งจิ่นเหยายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อลองคิดตามช้า ๆ ก็พอจะเข้าใจความหมายบางอย่าง ในบรรดาคุณชายสี่ท่านแห่งจวนโหว มีเพียงกู้ซิวเหวินเท่านั้นที่พอจะเป็นความหวังได้ ส่วนกู้ซิวหมิงก็ทำให้กู้จิ่งซีหมดหวังแล้ว นี่หรือว่านางต้องมีบุตรชายที่ได้มาเปล่า ๆ เพิ่มขึ้นอีกคน? เพียงแต่ สำหรับนาง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง รับกู้ซิวเหวินเป็นบุตรบุญธรรม แล้วแต่งตั้งให้กู้ซิวเหวินขึ้นเป็นซื่อจื่อแทน นับว่าเป็นประโยชน์ต่อนางมากกว่าให้กู้ซิวหมิงเป็นซื่อจื่อสืบทอดตำแหน่งต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่การอนุมานอย่างหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรื่องที่ตัดสินชี้ขาดแล้ว ใครเล่าจะล่วงรู้? บางทีกู้จิ่งซีอาจจะไม่ได้มีความคิดนี้อยู่เลยก็ได้ เพียงแต่เสียดายความสามารถก็เท่านั้น เพราะรู้สึกว่าหลานชายของตนเป็นคนมีศักยภาพสามารถพัฒนาได้ อีกทั้งช่วงวัยยังเหมาะสมพอดี ฉะนั้นจึงเข้าไปช่วยเหลืออีกแรง …… ทางฝั่งบ้านรอง นางเฉินริษยาจนแทบคลั่ง ราวกับว่าสะสมความอิจฉาริษยามาแรมปี ริษยาจนทนไม่ไหว นางเฉินเหลือบสายตามองบุตรชายผู้ซึ่งฉลาดเฉลียวเก่งกาจของครอบครัวตนเองแล้ว ก็หันไประเบิดอารมณ์ใส่สามีอย่า
ในวันนั้น แสงอรุณยามเช้าสดใสงดงาม กู้จิ่งซีหยุดพักงานในวันนี้ หาได้ยากที่จะไม่ต้องออกจากเรือนไปตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เขาก็ชินกับการตื่นเช้าแล้ว หลังจากตื่นนอนก็อ่านตำราอยู่พักหนึ่ง คอยกระทั่งเมิ่งจิ่นเหยาตื่นนอนและจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน สองคนสามีภรรยารับประทานมื้อเช้าอย่างเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดเปิดปากพูดออกมาแม้แต่คำเดียว กู้จิ่งซีเป็นคนประเภทพูดน้อย มีเรื่องให้พูดจึงพูด ส่วนเมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับเขาได้บ้าง เห็นอีกฝ่ายวางถ้วยและตะเกียบลงแล้ว ก็กำชับสาวใช้ข้างกายให้จัดการเก็บกวาดสำรับมื้อเช้าเสีย เป็นเวลานี้เอง เซี่ยจู๋เข้ามาทำลายความเงียบสงัดระหว่างสามีภรรยา รายงานอย่างนอบน้อมว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ท่านซื่อจื่อมาคารวะยามเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาแต่งเข้าเรือนมานานเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยมีผู้น้อยเข้ามาน้อมคารวะนางยามเช้าเลยสักครั้ง ได้ยินคำพูดของเซี่ยจู๋ นางไม่ทันตอบสนองในทันที เผลอถามออกไปตามสัญชาตญาณ “เจ้าบอกว่าผู้ใดมาหรือ?” เซี่ยจู๋ตอบกลับ “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อมาเข้าพบเจ้าค่ะ บัดนี้รออยู่ด้านนอกแล้ว” ได้ยินเช
ได้ยินเช่นนั้น นางจางก็เหลือบสายตามองกู้จิ่งซีด้วยความพรั่นพรึงปราดหนึ่ง บัดนี้กลับเป็นบุตรชายของนางที่เป็นฝ่ายคนมากรุมรังแกคนน้อย หากว่าบุตรชายของตนเองเป็นฝ่ายผิดก่อนขึ้นมาจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? อาสามยึดมั่นในความยุติธรรมชื่นชมลงโทษล้วนละเอียดรอบคอบมาตลอด เมื่อลงโทษผู้น้อยที่ทำความผิดแล้วก็ไม่เคยใจอ่อนปรานีแม้เพียงครั้งเดียว “ท่านแม่” ในตอนนั้นเอง เสียงของกู้จิ่งเซิ่งก็ดังขึ้นมา เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีเองก็ทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่” นางจางเหลือบสายตามองขึ้นไป ก็เห็นว่าแม่สามีเข้ามาแล้ว จึงผละออกจากบุตรชาย และร้องเรียก “ท่านแม่” จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้นประคองแม่สามีไปนั่งประจำตำแหน่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองนางปราดหนึ่ง ปล่อยให้นางช่วยประคองเดินไป รู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ คงเป็นเพราะกลัวว่าบุตรชายจะถูกลงโทษ ฉะนั้นถึงได้รีบร้อนเข้ามาเอาอกเอาใจผู้อาวุโสก่อนใคร หวังว่าโทษจะเบาลงได้บ้าง แต่หนนี้ดูนางจะคิดมากเกินไป เพราะคนที่ผิดก่อนอย่างไรก็เป็นซิวหมิง หากจะลงโทษก็ต้องลงโทษซิวหมิงก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากู้นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ก
อีกฟากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีได้รับข่าวอย่างไม่ตั้งตัว แจ้งว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอัน สองคนสามีภรรยาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็รีบมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที กู้จิ่งเซิ่งและนางจางสองคนสามีภรรยาเองก็เช่นกัน เมื่อได้รับข่าวแล้ว ก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปที่โถงโซ่วอันทันที โดยปกติท่านแม่ไม่เคยเรียกพวกเขาเข้าพบอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในเมื่อเรียกพวกเขาให้ไปเข้าพบก็หมายความว่าต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกวิตกกังวล แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสามและภรรยาก็มาถึงแล้วเช่นกัน ก็ค่อยรู้สึกเบาใจลงมาได้สักหน่อย กู้จิ่งเซิ่งชะงักฝีเท้า ถามไถ่อย่างสงสัย “น้องสาม น้องสะใภ้สาม พวกเจ้าเองก็ถูกท่านแม่เรียกพบเหมือนกันหรือ?” เมิ่งจิ่นเหยาและกู้จิ่งซีพยักหน้าเบา ๆ กู้จิ่งเซิ่งยังถามอีกว่า “เช่นนั้นท่านแม่ได้แจ้งหรือไม่ว่าท่านเรียกให้พวกข้ามาด้วยเหตุผลอันใด?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ท่านแม่มิได้แจ้ง เพียงแต่ระยะนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น คงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกระมัง พี่ใหญ่วางใจเถิด” ได้ยินวาจานี้แล้ว กู้จิ่งเซิ่งเองก็ไม่คิดอะไรมากไปกว่าน
“บริสุทธิ์?” กู้ซิวหมิงแค่นเสียงหัวเราะ “ตอนแรกที่ข้าหนีงานวิวาห์ นางเกือบจะได้สมรสกับเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้ายังมิได้สมรสภรรยาเอก ตัวเจ้าก็มีความเป็นไปได้ถึงห้าส่วนที่จะได้เป็นสามีของนาง” และทันทีที่เขาพูดจบ ก็ถูกเมิ่งเฉิงจางที่อยู่ด้านข้างยกเท้าถีบเข้าอย่างรุนแรง เขาไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงไป ทำให้กู้ซิวเหวินได้โอกาสพลิกตัวกลับมา เดิมทีเมิ่งเฉิงจางไม่พร้อมจะเข้าร่วม แต่เมื่อได้ยินกู้ซิวหมิงกล่าวหาว่าร้ายทำลายความบริสุทธิ์ของพี่หญิงใหญ่อย่างโจ่งแจ้ง ก็ทนไม่ไหว เข้าร่วมกับกู้ซิวเหวินทันที เมื่อเป็นสองรุมหนึ่ง ก็ทำให้กู้ซิวหมิงซึ่งเดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป เมิ่งเฉิงจางและกู้ซิวเหวินต่างฉลาดเฉียบแหลมทั้งคู่ เลือกลงมือเฉพาะส่วนที่มีเสื้อผ้าปกปิดเท่านั้น กระทั่งมีสาวใช้คนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมา เห็นภาพฉากนี้เข้า ก็ตกใจรีบหมุนตัวเดินหนีไปทันที วิ่งโร่ไปยังโถงโซ่วอันเพื่อนำเรื่องไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากู้ ฮูหยินผู้เฒ่ากู้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็สั่งให้เฝิงหมอมอหญิงรับใช้คนสนิทเข้ามาห้ามปรามการทะเลาะทันที และพาตัวพวกเขาทุกคนกลับมาที่โถงโซ่วอัน ขณะเดียวกันก็สั่งให้ส
สิ้นวาจานี้ บรรยากาศรอบข้างพลันจมดิ่งสู่ความตึงเครียด กู้ซิวหมิงและกู้ซิวเหวินเป็นพี่น้องกันมาหลายปี สมานฉันท์ปรองดองกันมาตลอด ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง แต่วันนี้กลับไม่สนหน้าของอีกฝ่าย มีปากเสียงปะทะคารมต่อกันโดยตรง พวกเขาขึงตาจ้องกันด้วยโทสะ ท้ายที่สุดก็เป็นกู้ซิวหมิงผู้ซึ่งเป็นฝ่ายผิดก่อนต้องยอมถอย ด้วยเรื่องนี้ การกระทำของเขาทำให้ชื่อเสียงของพี่น้องในตระกูลต้องได้รับผลกระทบไปด้วยจริง และเพราะเหตุผลนี้ ท่านพ่อถึงได้เรียกเขาไปตำหนิที่ห้องหนังสือเมื่อตอนก่อน ทว่าบัดนี้เขาเองก็ได้ให้หว่านเอ๋อร์ย้ายออกจากห้องหลักซึ่งต้องเป็นภรรยาเอกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อาศัยแล้ว ยังต้องการให้เขาทำอย่างไรอีก? เมิ่งเฉิงจางผงะไป มองสองพี่สองที่ไม่ยอมลดราวาศอก เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะบานปลายไปถึงขั้นทำให้พวกเขาสองคนพี่น้องต้องทะเลาะกัน หลี่หว่านเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า บัดนี้ไม่อาจอดทนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว เสี้ยวพริบตาหยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาในทันที สะอื้นไห้เสียงเบา กู้ซิวเหวินเห็นนางร้องไห้น้ำตานองหน้า ท่าทางเหมือนอนุภรรยาของท่านพ่อของเขาไม่มีผิด ความรู้สึกชิงชังรังเกียจยิ่งผุดขึ้นในใจ ก็เสริมขึ้นประโยค
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให