ในตอนแรกเมิ่งจิ่นเหยายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อลองคิดตามช้า ๆ ก็พอจะเข้าใจความหมายบางอย่าง ในบรรดาคุณชายสี่ท่านแห่งจวนโหว มีเพียงกู้ซิวเหวินเท่านั้นที่พอจะเป็นความหวังได้ ส่วนกู้ซิวหมิงก็ทำให้กู้จิ่งซีหมดหวังแล้ว นี่หรือว่านางต้องมีบุตรชายที่ได้มาเปล่า ๆ เพิ่มขึ้นอีกคน? เพียงแต่ สำหรับนาง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง รับกู้ซิวเหวินเป็นบุตรบุญธรรม แล้วแต่งตั้งให้กู้ซิวเหวินขึ้นเป็นซื่อจื่อแทน นับว่าเป็นประโยชน์ต่อนางมากกว่าให้กู้ซิวหมิงเป็นซื่อจื่อสืบทอดตำแหน่งต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่การอนุมานอย่างหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรื่องที่ตัดสินชี้ขาดแล้ว ใครเล่าจะล่วงรู้? บางทีกู้จิ่งซีอาจจะไม่ได้มีความคิดนี้อยู่เลยก็ได้ เพียงแต่เสียดายความสามารถก็เท่านั้น เพราะรู้สึกว่าหลานชายของตนเป็นคนมีศักยภาพสามารถพัฒนาได้ อีกทั้งช่วงวัยยังเหมาะสมพอดี ฉะนั้นจึงเข้าไปช่วยเหลืออีกแรง …… ทางฝั่งบ้านรอง นางเฉินริษยาจนแทบคลั่ง ราวกับว่าสะสมความอิจฉาริษยามาแรมปี ริษยาจนทนไม่ไหว นางเฉินเหลือบสายตามองบุตรชายผู้ซึ่งฉลาดเฉลียวเก่งกาจของครอบครัวตนเองแล้ว ก็หันไประเบิดอารมณ์ใส่สามีอย่า
ในวันนั้น แสงอรุณยามเช้าสดใสงดงาม กู้จิ่งซีหยุดพักงานในวันนี้ หาได้ยากที่จะไม่ต้องออกจากเรือนไปตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เขาก็ชินกับการตื่นเช้าแล้ว หลังจากตื่นนอนก็อ่านตำราอยู่พักหนึ่ง คอยกระทั่งเมิ่งจิ่นเหยาตื่นนอนและจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน สองคนสามีภรรยารับประทานมื้อเช้าอย่างเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดเปิดปากพูดออกมาแม้แต่คำเดียว กู้จิ่งซีเป็นคนประเภทพูดน้อย มีเรื่องให้พูดจึงพูด ส่วนเมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับเขาได้บ้าง เห็นอีกฝ่ายวางถ้วยและตะเกียบลงแล้ว ก็กำชับสาวใช้ข้างกายให้จัดการเก็บกวาดสำรับมื้อเช้าเสีย เป็นเวลานี้เอง เซี่ยจู๋เข้ามาทำลายความเงียบสงัดระหว่างสามีภรรยา รายงานอย่างนอบน้อมว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ท่านซื่อจื่อมาคารวะยามเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาแต่งเข้าเรือนมานานเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยมีผู้น้อยเข้ามาน้อมคารวะนางยามเช้าเลยสักครั้ง ได้ยินคำพูดของเซี่ยจู๋ นางไม่ทันตอบสนองในทันที เผลอถามออกไปตามสัญชาตญาณ “เจ้าบอกว่าผู้ใดมาหรือ?” เซี่ยจู๋ตอบกลับ “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อมาเข้าพบเจ้าค่ะ บัดนี้รออยู่ด้านนอกแล้ว” ได้ยินเช
เมื่อครู่ แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วพริบตา แต่ก็เพียงพอจะทำให้เมิ่งจิ่นเหยาจับสังเกตได้ นางเห็นชัดเจนว่าหลังจากที่กู้ซิวหมิงเอ่ยวาจานั้นออกมา ใบหน้าของกู้จิ่งซีพลันฉายประกายสิ้นหวังออกมาวูบหนึ่ง แม้กระทั่งแววตายังเยือกเย็นลงไม่น้อย จากสิ่งนี้เห็นได้ว่า ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กู้จิ่งซียังคงมีความคาดหวังในตัวกู้ซิวหมิงอยู่ในใจ หวังว่าภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้กู้ซิวหมิงจะคิดได้ และเข้าใจว่าซื่อจื่อของจวนโหวจำเป็นต้องมีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายหนึ่งคน และเป็นภรรยาเอกที่เพียบพร้อมสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูลได้ และจะต้องมีทายาทสายเลือดหลักเพื่อสืบทอดตำแหน่ง แต่กู้ซิวหมิงก็ยังทำให้กู้จิ่งซีต้องผิดหวังอีกเหมือนเคย บุตรหลานในตระกูลโหวอันทรงเกียรติ โดยเฉพาะผู้สืบทอดตำแหน่ง ไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะทำตัวลอยชาย เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากไม่มีเรื่องหนีตามกันเกิดขึ้น หากแม่นางหลี่ท่านนี้โดดเด่นเลิศล้ำ กู้ซิวหมิงจะถอนหมั้นเดิมก่อน แล้วจากนั้นค่อยพยายามหาทางพิสูจน์ให้ผู้อาวุโสในตระกูลเห็นด้วย และรับแม่นางหลี่เป็นภรรยาเช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมิได้เป็
เห็นกู้ซิวหมิงยืนกรานหนักแน่น กู้จิ่งซีก็ไม่มากวาจาอีก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จัดการไล่บุตรชายที่ไม่รู้จักคิดออกไป ไม่เห็นแล้วค่อยสงบใจได้สักหน่อย เมิ่งจิ่นเหยามองเงาแผ่นหลังของกู้ซิวหมิงที่สืบเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก็จมดิ่งสู่ห้วงความคิดของตนเอง นางคิดถึงข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา เมื่อผูกโยงกับท่าทีของกู้ซิวหมิงที่แสดงออกในวันนี้แล้ว จำต้องคิดมากอย่างอดไม่ได้ บางทีกู้จิ่งซีอาจตั้งใจรับกู้ซิวเหวินเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านสามจริงก็เป็นไปได้? กู้จิ่งซีเห็นนางเอาแต่มองไปยังทางที่บุตรชายเดินออกไปตาไม่กะพริบ จิตใจเหม่อลอย คล้ายว่ามีความคิดบางอย่าง จึงโบกมือ บอกเป็นนัยให้สาวใช้ทั้งหมดล่าถอยออกไป ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับเล็กน้อย เปล่งเสียงราบเรียบเอ่ยออกมา “ฮูหยิน เขามิใช่คู่ครองที่ดี” ได้ยินเสียงนั้น เมิ่งจิ่นเหยาค่อยหลุดจากภวังค์ มองกู้จิ่งซีอย่างงุนงงอยู่นานครู่ใหญ่ ถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่กู้จิ่งซีเอ่ยหมายถึงอะไร หรือจะคิดว่านางยังมีความรู้สึกอะไรกับกู้ซิวหมิง เพราะฉะนั้นถึงได้จงใจตักเตือนนางให้รีบหันกลับมาในทางที่ถูกต้อง? นางหัวเราะออกมาเบา ๆ รู้สึกว่ากู้จิ่งซีคิ
ตอนนี้พอรู้ว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่เคยลองมาก่อน นางก็รู้สึกสมดุลขึ้นมาทันที และไม่รู้สึกเสียเปรียบแล้ว แม้ตายนางก็ยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ ส่วนกู้จิ่งซีก็บริสุทธิ์จนตายเช่นกัน เช่นนี้ถือว่ายุติธรรมมากกู้จิ่งซีรู้สึกฉงนกับวาจาของนางเล็กน้อย ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งถึงเข้าใจขึ้นมา ที่แท้แม่นางน้อยผู้นี้ตัดสินเรื่องที่เขาเหมาะจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีหรือไม่เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือภายภาคหน้า ขอเพียงเขาไม่เคยแตะต้องหญิงอื่นก็พอแล้วทันใดนั้นกู้จิ่งซีก็ถามขึ้นว่า “นอกเหนือจากนี้เล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาถามกลับด้วยรอยยิ้มว่า “นอกจากนี้ ท่านพี่แค่ทำหน้าที่อันสามีพึงกระทำก็พอแล้ว ต่างว่ากันว่าท่านฉางซินโหวเป็นผู้มีเกียรติสูงส่ง ท่านพี่คงไม่ปฏิบัติกับภรรยาพกพร่องกระมัง?”“ไม่” กู้จิ่งซีเอ่ยอย่างไม่คิด สัญญากับนางด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ฮูหยินวางใจได้ เจ้าจะมีเกียรติทุกอย่างที่ฮูหยินของจวนโหวพึงมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินหรือเครื่องนุ่งห่ม ข้าก็จะไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย”ระหว่างสามีภรรยาเปิดใจคุยกันครั้งแรก เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกพอใจมากจนยิ้มแก้มปริ ก่อนจะยิ้มตาหยีเอ่ย “ท่านพี่เป็นคนกล่าวเองนะเจ้า
กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยดูประหลาดใจในตอนแรก ไม่นานก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง และไม่รู้ว่ากำลังพึมพำอะไรอยู่ในใจเขาจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากต่อไปฮูหยินมีเรื่องสงสัยอันใด อย่าได้เก็บซ่อนไว้ในใจและคาดเดาส่งเดชถามข้ามาได้เลย ตราบใดที่เป็นเรื่องที่สามารถพูดกับเจ้าได้อย่างเปิดเผย ข้าล้วนบอกเจ้าได้ทุกอย่าง”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึง และเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาก็จับจ้องใบหน้าที่หล่อเหลาสง่างามของเขาอีกครั้ง พลางถามอย่างสงสัย “ขอถามท่านพี่ว่า เรื่องแบบใด ที่ไม่สามารถพูดได้อย่างเปิดเผยหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานราชการไม่สามารถพูดได้”เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าดูประหลาดใจ “เช่นนั้นหากไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานราชการก็สามารถพูดได้หมดเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”กู้จิ่งซีสีหน้าชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เพิ่มเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์”เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นเหยาก็เม้มริมฝีปาก และกล่าวว่า “อ้อ” อย่างหมดอารมณ์ จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย เช่นนั้นน่าจะมีเรื่องมากมายที่ไม่สามารถพูดได้ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้เขาคิดอย่างไรต่อกู้ซิวหมิงบุตรชายที่ไม่รู้ความค
หลี่หว่านเอ๋อร์ถูกส่งกลับบ้านของตนเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนแรกกลับมาก็ดีใจ เพียงแต่เวลานานเข้า กู้ซิวหมิงยังไม่ส่งคนมาแจ้งข่าวแก่นางเสียที ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวาย ทั้งยังเฝ้ารอด้วยความกังวลนานครึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็มีแม่สื่อมาหานาง บิดามารดาของนางเสียชีวิตทั้งคู่ นางจึงพึ่งพาท่านปู่เพื่อดำรงชีวิต บัดนี้ท่านปู่ก็จากไปแล้ว เมื่อแม่สื่อมาหานาง นางจึงตอบตกลงในทันที ถึงอย่างไรแม้แต่ร่างกายของนางก็มอบให้กู้ซิวหมิงแล้ว นางก็กลัวอีกว่าหากแสร้งทำเป็นเล่นตัวและกล่าวว่าขอพิจารณาดูก่อน สกุลกู้จะไม่พอใจจนเปลี่ยนความคิด และไม่ยอมให้นางเข้าจวนการรับอนุภรรยากับการแต่งภรรยาแตกต่างกัน โดยที่ไม่มีสามหนังสือหกพิธีการ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการใด ๆ ยิ่งไม่ต้องมีหนังสือแต่งงาน เพียงแค่แม่สื่อเดินเข้ามา หากตกลงกันได้ ก็จะเลือกวันมงคล จากนั้นใช้เกี้ยวเล็ก ๆ หามไปยังบ้านฝ่ายชาย ซึ่งเกี้ยวก็ไม่สามารถเข้าทางประตูหลัก ทำได้เพียงเข้าทางประตูข้างเท่านั้นอีกสิบวันจะเป็นวันมงคล กู้ซิวหมิงจึงไปขออนุญาตบิดา และหลังจากได้รับอนุญาตจากบิดา ก็ตัดสินใจพาหลี่หว่านเอ๋อร์เข้าจวนในวันนั้นเลยกู้ซิวหมิงจะแต่งอนุภรรยา
เรือนชิงอวี้เซวียนหลังกำหนดวันรับหญิงสาวที่รักเข้ามาในจวน กู้ซิวหมิงแทบจะถูกความดีใจจนเสียสติ แต่เมื่อคิดว่าหญิงสาวที่รักต้องยอมทนเป็นได้เพียงอนุภรรยา เขาก็โทษตนเองอย่างมาก หากเขาไม่พาหว่านเอ๋อร์หนีตามกันจนเสียชื่อเสียง หว่านเอ๋อร์ก็คงได้เป็นภรรยาเอกเพื่อชดเชยให้กับคนรัก กู้ซิวหมิงจึงตั้งใจสั่งให้สาวใช้ตกแต่งเรือนในแบบที่หว่านเอ๋อร์ชอบด้วยตนเอง แถมยังสั่งให้สาวใช้ซื้อพวกของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับหญิงสาวกลับมาด้วยจำนวนหนึ่งสาวใช้ของเรือนชิงอวี้เซวียนเห็นเขาให้ความสำคัญกับหลี่อี๋เหนียงเช่นนี้ ทั้ง ๆ แค่รับอนุภรรยา แต่กลับใส่ใจเหมือนแต่งภรรยา ในใจก็ชั่งน้ำหนักเรียบร้อยแล้วว่าหลังหลี่อี๋เหนียงเข้ามาอยู่ในจวน ควรจะใช่ท่าทีแบบใดไปปรนนิบัติ“ท่านซื่อจื่อช่างใส่ใจต่อหลี่อี๋เหนียงเสียจริง”“ใส่ใจมาก แต่ท่านซื่อจื่อยังไม่ได้แต่งภรรยาเอก และเมื่อรอให้ภรรยาเอกซึ่งแต่งงานตามประเพณีเข้ามา แม่นางหลี่ก็ไม่อาจอยู่เหนือฮูหยินของซื่อจื่อได้”“ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ท่านซื่อจื่อสามารถทำให้อี๋เหนียงเข้ามาในจวนได้ก่อน นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าในใจของเขาภรรยาเอกเทียบไม่ได้กับอี๋เหนียงท่านนี้เลย ถึงอย
ท่านพ่อรักเมิ่งจิ่นเหยามากเพียงนั้น ก็ไม่แน่เมิ่งจิ่นเหยาอาจคอยพูดข้างหมอน ท่านพ่อถึงได้ช่วยพาเมิ่งเฉิงจางเข้าสำนักศึกษาหลิงซานด้วย สำนักศึกษาหลิงซาน แม้แต่เขาที่เป็นบุตรชายยังไม่สามารถเข้าเรียนได้เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับพาคนอื่นเข้าไป หนำซ้ำยังช่วยพาเข้าไปถึงสองคน ในใจเขารู้สึกไม่ยินยอม กวาดสายตาประเมินเมิ่งเฉิงจางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปหนึ่งที ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ “จริงอย่างที่ว่าหนึ่งคนบรรลุเซียน หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ด้วย พอพี่สาวไต่เต้าขึ้นมาจนได้ดี คนเป็นน้องชายก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย” ถ้อยคำนี้แม้มิได้ชี้ชัด ทว่าความหมายกลับชัดเจนในตัว ว่ากำลังถากถางเมิ่งเฉิงจางที่อาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาว เพื่อให้พี่เขยช่วยพาตนเองเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงจางสีหน้ามืดครึ้มลงในทันใด สีหน้าของกู้ซิวเหวินก็ดูย่ำแย่เช่นกัน พี่สามไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร ทว่าเขาเข้าใจกระจ่าง น้องชายของน้าสะใภ้สามท่านนี้แม้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนที่เก่งกาจมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง พี่สามไม่ทำความเข้าใจให้ดี แต่อาศัยจินตนาการเพ้อเจ้อของตนเองเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายต้องใช้เส้นสาย เขาดึงหน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ช่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับเดินเล่นยิ่งนัก กู้ซิวเหวินต้อนรับผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้นและเป็นมิตร พาเมิ่งเฉิงจางเข้ามาเยี่ยมชมภายในจวน ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนได้ครู่หนึ่ง ระหว่างทางก็ถูกใครบางคนเรียกให้เข้าไปหา ก่อนจะขอปลีกตัวออกไปสักพัก ก็ได้บอกให้เมิ่งเฉิงจางเดินชมสภาพแวดล้อมไปก่อนพลาง ๆ เมิ่งเฉิงจางเห็นทัศนียภาพงดงามโดดเด่น ครู่เดียวก็หลงใหลไปกับความงดงามของทัศนียภาพ คิดไม่ถึงว่าเดินไปเดินมาสุดท้ายจะหลงทาง มีเส้นทางอยู่มากมาย ไม่รู้ว่าควรเดินเส้นทางใดเพื่อกลับไปจุดเดิม ครั้นกู้ซิวเหวินกลับมาไม่เห็นคน ก็รู้ทันทีว่าเขาน่าจะหลงทางแล้ว จึงรีบออกตามหาทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอกู้ซิวหมิงและหลี่อี๋เหนียงเดินเข้ามา สองคนกำลังเดินเล่นอย่างสบายใจ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง ในแววตาเจือความพิสมัยลุ่มลึกหวานชื่น บุรุษเก่งกาจมีความสามารถสตรีโฉมงามเพริศพริ้ง มองปราดเดียวก็เห็นถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปทักท่าน “พี่สาม หลี่อี๋เหนียง” หลายวันที่ผ่านมาหลี่อี๋เหนียงได้เรียนรู้ระเบียบประเพณีแล้ว เข้าใจชัดเจนว่าเมื่อใดที่ตนพบเจ้านายไม่ว่าเป็นท่านใดในจวนล
คล้ายว่าการนอนหงายจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัว และยังคงร้องไห้ไม่หยุด นี่คงจะกำลังฝันร้ายอยู่สินะ กู้จิ่งซีมองแม่นางน้อยกำลังร้องไห้ และเสียงสะอื้นไห้ยิ่งดังขึ้นทุกเสี้ยวขณะ เขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปลอบโยนเด็กน้อยมาก่อนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรก่อนดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนสาวใช้ที่อยู่เฝ้ายามดึกข้างนอกได้ยินเข้า อาจจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเลื่อนมือไปลูบแผ่นหลังของแม่นางน้อยอย่างประดักประเดิด และปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ไม่รู้ใช่เพราะได้ยินเสียงนี้หรือไม่ เมิ่งจิ่นเหยาเขยิบเข้ามาข้างกายเขาตามสัญชาตญาณ อิงแอบเขาไว้และยังคงร้องไห้ต่อไป กู้จิ่งซีจำต้องยอมรับชะตากรรมไป ได้แต่ภาวนาให้นางรีบหยุดสะอื้น ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่งาม กลางดึกผู้คนเงียบสงัดหากมีเสียงสะอื้นไห้ของนางแว่วดังออกมาจากห้องนอน ต่อให้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นต้องถูกเข้าใจผิดแน่ “ฮูหยินอย่าร้องไห้เลย ไม่ต้องร้องแล้ว มันก็แค่ฝันร้าย” กู้จิ่งซีปลอบโยนด้วย
คืนนั้น เมิ่งจิ่นเหยาฝัน ในฝันเฉิงอวี่กำลังร้องไห้โยเยไม่ยอมดื่มยา ตู้อี๋เหนียงแม้ใช้เสียงนุ่มนวลปลอบโยนอยู่นานครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล เห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้จนหน้าแดง แม้กระทั่งลมหายใจก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ ตู้อี๋เหนียงกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยร้องไห้จนขาดใจ ก็ไม่กล้าบังคับให้เจ้าเด็กน้อยดื่มยาอีก ได้แต่ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉิงอวี่เด็กดี เฉิงอวี่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้วนะ” เอ่ยพลางก็หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผงกศีรษะ รีบออกไปตามหาคนช่วยกู้สถานการณ์ ทว่าสาวใช้แค่คิดจะออกไป เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก็เข้ามาพอดี ตู้อี๋เหนียงเห็นนาง ราวกับเห็นดวงดาวช่วยชีวิต เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “คุณหนูใหญ่ท่านมาแล้ว เฉิงอวี่ไม่ยอมดื่มยาอีกแล้ว ท่านช่วยมาปลอบโยนเขาหน่อยเถิด เขาเชื่อฟังท่านที่สุดแล้ว” “พี่…แค่ก…พี่หญิงใหญ่” เฉิงอวี่เห็นนาง ทันใดนั้นก็หยุดร้อง และยื่นมือออกมาขอให้นางกอด เมิ่งจิ่นเหยาตัวน้อยก้าวขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหา ให้สาวใช้อุ้มขึ้นเตียงแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปกอดน้องชายที่ป่วยอยู่ พลางเอ่ยวาจาปลอบโยนด้วยเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย “เฉิงอวี่เด็กดี ดื่มยานี่อีกแค่
เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี คิดถึงท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อสักครู่ของตนเองขึ้นมา ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียจริง นางลดมือลงอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยด้วยใบหน้าเหยเก “แล้วอย่างไร คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ความคิดเพี้ยนผิดไปบ้าง ฟังถ้อยคำตักเตือนของท่านพี่แล้ว ข้าเองก็คงไม่ทำอะไรเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลาง ก็ผินใบหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงรื้น รีบกะพริบตารัว ๆ หวังจะไล่น้ำตาให้ไหลย้อนกลับไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แม้เฉิงอวี่จะวัยเพียงสองขวบ แต่เขาก็รักทะนุถนอมข้ามาก ๆ ตอนเด็กที่ข้าเคยสะดุดก้อนหิน จนตนเองหกล้มเขายังเจ็บปวดหัวใจอย่างกับอะไรดี เด็กน้อยคนนั้นด่าทอสาปแช่งเจ้าหินก้อนนั้นอยู่นานเชียว ด่าว่ามันนิสัยไม่ดี หากเขาเห็นข้าได้รับบาดเจ็บ เขาต้องเจ็บหัวใจแน่” กู้จิ่งซีฟังอยู่อย่างเงียบเชียบ แม้เขาจะอาศัยในครอบครัวที่พอจะเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดองกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีน้องชายแบบนี้มาก่อน เขากับพี่ชายมิได้มีความผูกพันกันแน่นแฟ้นอะไร พี่ชายทั้งสองคนแม้อาวุโสกว่า แต่ก็ยำเกรงเขา ให้ความเคารพเขามาก ความสนิทสนมใกล้ชิดจึงมีไม่เพียงพอ เขาเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “เช่นนั้นฮูหยินโปรดจำใส่ใจ อย่าให
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เมิ่งจิ่นเหยาช้อนสายตาขึ้น มองกู้จิ่งซีตาไม่กะพริบ สายตาคู่นั้นเป็นประกายจนน่าตกใจ คล้ายกับมองเห็นหญ้าฟางช่วยชีวิตในยามเข้าตาจน ก็ถามด้วยความตื่นเต้น “สำหรับเรื่องการหาเรื่องให้ผู้อื่นอารมณ์เสีย ท่านพี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยกลับมาฮึกเหิมมีพลังได้รวดเร็วเพียงนั้น ก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมากับตนเอง มีเรี่ยวแรงกลับมาสู้ต่อนั่นก็ดีแล้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ ทำให้กลัวว่านางจะคิดสั้นมากเสียจริง ดรุณีน้อยวัยเพียงสิบกว่าขวบ ชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องจบลงไปแบบนั้นแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน เขาครุ่นคิดบางอย่าง “ฮูหยินต้องรับความผิดโดยไม่เป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว ถึงคราวต้องคืนความผิดนี้กลับสู่คนร้ายตัวจริง” เมิ่งจิ่นเหยามุ่นหัวคิ้วขึ้น พริบตาเดียวก็ห่อเหี่ยวลงมา “เรื่องผ่านไปตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว เบาะแสจากเมื่อปีก่อนนั้นคงจะถูกลบเลือนจางหายไปตามเวลาแล้ว อาศัยเพียงลมปากไม่มีหลักฐาน คิดจะจับตัวคนทำผิดกลับมาคงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ” กู้จิ่งซีถาม “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้ใดรู้อีกบ้าง?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “ท่านปู่รู้
นางตอบคำถามที่กู้จิ่งซีถามมาก่อนหน้านี้ “ถูกกระทำเจ้าคะ”เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็สะอื้นเล็กน้อย พลางกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่มีคนบังคับข้า เป็นเพียงความผิดพลาดที่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยแม้แต่น้อย อยากจะแก้ไขแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว”กู้จิ่งซีตอบกลับ “ผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่มีความผิด นั่นมิใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”“มิใช่งั้นหรือเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากระซิบแผ่วเบา แววตาว่างเปล่า ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อนึกถึงร่างเย็นยะเยียบเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ภายในโลงศพ ในใจของนางก็บีบรัดจนเจ็บขึ้นมา เดิมทีเฉิงอวี่ไม่จำเป็นต้องตาย“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว”กู้จิ่งซีให้คำตอบยืนยัน เมื่อเห็นนางจมอยู่ในความโศกเศร้า โทษตนเองและรู้สึกผิด เกลียดชังอย่างถึงที่สุด ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องสำคัญกับนางมากเป็นแน่ จึงถามนางต่อ “มิสู้ฮูหยินลองบอกกับข้าก่อนสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่อยู่ตรงหน้า คิดในใจว่าผู้ที่ชอบธรรมและน่าเกรงขามเช่นเสนาบดีกู้คงไม่แพร่เรื่องนี้อ
แม่นางน้อยนั่งอย่างงงงัน ก็ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ค่อนข้างมั่นคงกู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน ตอนนี้สามารถบอกได้แล้วหรือไม่?”บอกอันใดเจ้าคะ?เมิ่งจิ่นเหยาเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลกู้จิ่งซีตอบกลับไปว่า “บอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ไหนและทำอันใดมาบ้าง?”เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง เงียบงันไปชั่วครู่แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปบ้านมารดามาเจ้าค่ะ”มีคับข้องใจปกคลุมอยู่ในน้ำเสียง รวมถึงความเกลียดชังที่ยากจะดูออกสีหน้าของกู้จิ่งซีชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะไม่เคยรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องของบ้านมารดามาก่อน เพราะว่าไม่ใส่ใจ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งดังสายน้ำ จากนั้นจึงถามต่อว่า “เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้กลับไปบ้านมารดาเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบตามความจริง “พ่อบ้านบอกว่าท่านย่าล้มป่วย จึงกลับไปดูสักหน่อยเจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจะทำเพื่อเรื่องอื่น น้องรองผ่านการประเมินของสำนักศึกษาหลิงซาน และใกล้จะได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน เมิ่งเฉิงซิงกลับไม่ผ่านการประเมิน พวกท่านย่าของข้ารู้ว่าท่านกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายต่างวัยกัน จึงให้ข้ามาพูดกับท่าน ให้ไปห
ยามที่บุรุษดูแลใครสักคนท่าทางอ่อนโยน พิถีพิถัน การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วหลายครั้งหลายคราเมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของท่านปู่ผ่านกู้จิ่งซีได้อย่างเลือนราง ท่านปู่ตามใจเพียงแค่นางเท่านั้น ไม่เพียงแต่ตัดแต่งเล็บให้นาง ยังมัดผมเป็นเปียเล็ก ๆ สองข้างให้นาง และเล่านิทานให้นางฟังด้วยกู้จิ่งซีในเวลานี้ดูคล้ายกับท่านปู่อยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ท่านปู่ เขาอ่อนโยน ส่วนท่านปู่คือความรักและเมตตาเมิ่งจิ่นเหยาอยากรู้ “ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยดูแลเด็กอยู่บ่อยครั้งหรือเจ้าคะ?”เด็กที่นางพูด หมายถึงกู้ซิวหมิงการเคลื่อนไหวของกู้จิ่งซีหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองดูนางพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เปล่าหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดูแลเด็ก โชคดีที่เด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อกวนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นข้าคงดูแลไม่ไหว” เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ก้มหน้าลงไม่มองเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่เป็นท่านโหว จะมาดูแลผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ให้สาวใช้มาทำให้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซียิ้มมุมปาก กล่าวตามเหตุตามผล “หากว่าเจ้าอยากให้สาวใช้มาดูแล จะอยู่ภายในห้องเพียงลำพังได้อย่างไร