บางที สิ่งที่ทุกคนเห็นอาจเป็นภาพลวงตาทั้งหมด ความจริงแล้วใต้เท้าเสิ่นไม่ได้รักฮูหยินเสิ่นมากมายปานนั้น แต่สิ่งที่รักมีเพียงเงินทองทรัพย์สมบัติของบ้านมารดาฮูหยินเสิ่นเท่านั้น คิดถึงจุดนี้แล้ว เมิ่งจิ่นเหยาพลันหนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย ความคิดเช่นนี้จะต้องลุ่มลึกเพียงใด ถึงจะสามารถเสแสร้งมาได้หลายปีเช่นนั้น? บุรุษที่กล้าใช้ทุกเล่ห์กลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ร้ายทุกชนิดเสียอีก นางกลืนน้ำลาย และพึมพำออกมาด้วยเสียงเบาหวิว “อาหนิง บางทีฮูหยินเสิ่นอาจจะแค่มอบความจริงใจให้ผิดคนมาตั้งแต่แรกก็ได้” ซ่งซินหนิงงุนงง ก็ถามขึ้นเนิบๆ “หมาย…หมายความว่าอย่างไร?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “ไม่แน่ว่า ความจริงแล้วใต้เท้าเสิ่นอาจจะไม่ได้ชมชอบฮูหยินเสิ่นมากมายเพียงนั้น แต่แค่มองว่าตัวฮูหยินเสิ่นสามารถหาผลประโยชน์ได้ก็เท่านั้น เขาถึงได้เสแสร้งว่ารักมากผูกพันมาก แต่บัดนี้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งสูงเงินหนา ไม่ต้องการแรงช่วยเหลือจากเรือนมารดาของฮูหยินเสิ่นอีกแล้ว ธาตุแท้เดิมย่อมปรากฏออกมาช้าๆ” ซ่งซินหนิงได้ยินแล้ว ก็สูดหายใจเยียบเย็นเฮือกหนึ่ง สิ่งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการเปลี่ยนใจกลางทางอีก คิดถึงท่
เนื่องจากซ่งซินหนิงยังมีธุระอื่น เมิ่งจิ่นเหยากินมื้อเที่ยงกับนางเรียบร้อยแล้วก็แยกย้าย ได้ฟังชะตาชีวิตอันขมขื่นของฮูหยินเสิ่นแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็จิตตกเช่นเดียวกัน ไม่มีอารมณ์จะออกไปเดินเล่นด้านนอกแล้ว หลังจากกล่าวลาซ่งซินหนิง ก็นั่งรถม้าของเรือนตนเองกลับจวนเลยทันที หนิงตงถามอย่างกังวล “ฮูหยิน ท่านว่าฮูหยินเสิ่นจะตายจากไปเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าเคร่งขรึมลง ส่ายศีรษะเบาๆ พลางตอบว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ฮูหยินเสิ่นวัยยังไม่ถึงสี่สิบ ยังนับว่าอายุน้อย คงจะทนความทุกข์ทรมานไหวกระมัง” หนิงตงทอดถอนใจ น้ำเสียงห่อเหี่ยว “ฮูหยินเสิ่นเป็นคนอ่อนโยนมีคุณธรรม หากต้องล้มป่วยตายไปเช่นนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนักเจ้าค่ะ ซ้ำยังทำให้ใต้เท้าเสิ่นได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วย” เมิ่งจิ่นเหยานิ่งเงียบ นางก็หวังให้คนดีอายุยืนร้อยปีเหมือนกัน หากว่าฮูหยินเสิ่นสามารถอดทนผ่านไปได้แล้ว นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องประเสริฐมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ใต้เท้าเสิ่นก็จะไม่ต้องเข้าพิธีสมรสใหม่ อาหนิงก็ไม่ต้องมีแม่เลี้ยงของสามี ถึงอย่างไรหากมีแม่เลี้ยงของสามีแล้ว ปัญหาทุกข์ใจตามมาอีกไม่น้อยแน่ อีกอย่าง ที่หนิงตง
หนิงตงตอบกลับ “โบราณว่าไว้ ไม่มีเหตุผลแต่ยื่นไมตรีจิตมิใช่โจรชั่วก็เป็นขโมย ฮูหยินใหญ่เมื่อครู่กระตือรือร้นต่อท่าน รู้สึกประหลาดพิกลเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย “ข้าคิดว่าคงไม่ใช่เช่นนั้น แม้ข้าเป็นฮูหยินท่านโหว แต่ข้าก็มิได้มีอำนาจแท้จริงอันใด อำนาจอธิปไตยอยู่ในการดูแลของนางและพี่สะใภ้รอง ข้าจะช่วยเหลือธุระอันใดของนางได้เล่า?” “ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ท่านเป็นทางผ่าน เพราะอยากให้ท่านโหวช่วยเหลือนั่นก็เป็นไปได้เจ้าค่ะ?” หนิงตงเอ่ยพลาง กวาดสายตามองทั่วทั้งสี่ทิศ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่น จึงเอ่ยต่อ “บ่าวได้ยินมาว่าในการคบค้าสมาคมระหว่างฮูหยินขุนนางเหล่านั้น ฮูหยินบางท่านมักจะพูดจาเอาอกเอาใจให้ฮูหยินของอีกบ้านหนึ่งรู้สึกพึงพอใจ หลังจากนั้นค่อยให้ฮูหยินของอีกบ้านหนึ่งกลับไปเป่าหูสามีที่ข้างหมอน เรื่องต่าง ๆ ก็จะสำเร็จดังหวังเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาฟังแล้ว ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็หมายความว่านางยังพอเห็นข้าอยู่ในสายตา ทว่านางคงมิได้มีเรื่องต้องการความช่วยเหลืออะไร ประเดี๋ยวเจ้าค่อยไปสืบมาแล้วกัน ดูว่าในจวนมีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือไม่” หนิงตงรับคำ “บ่าวจะ
เห็นเขามีสีหน้าขรึมลง เมิ่งจิ่นเหยาก็สงสัย “ท่านพี่ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีชำเลืองมองแม่นางน้อยด้วยสายตาลึกลับยากจับความหมาย ก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ปีนี้เขาวัยห้าสิบสามแล้ว หลานของเขาวัยเดียวกับเจ้า” ในเสี้ยวพริบตาเดียวนั้น เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายหยุดชะงักไป บรรยากาศกระอักกระอ่วนท่วมฟ้าถาโถมเข้าใส่นาง จนนางแทบจมดิ่งหายไป นั่นก็จริง สหายต่างวัย อายุน้อยกว่ากู้จิ่งซีมากเรียกสหายต่างวัย แต่อายุมากกว่ากู้จิ่งซีมากก็เรียกสหายต่างวัยได้เช่นเดียวกัน เป็นนางที่คิดน้อยเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาหน้าถอดสี รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่จบสิ้น นางฝืนยิ้มออกมาแก้เก้อ “เช่น…เช่นนั้นท่านพี่ก็ยังผูกมิตรกว้างขวาง ไม่เหมือนข้า มีแต่สหายวัยไล่เลี่ยกันเท่านั้น” กู้จิ่งซีถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง “เช่นนั้นหรือ?” “เจ้าค่ะ!” เมิ่งจิ่นเหยาผงกศีรษะรัวเหมือนโขลกกระเทียม ให้คำตอบอย่างหนักแน่น กู้จิ่งซีตอบอย่างถ่อมตัว “แค่พอประมาณ สหายต่างวัยยังมีไม่มากนัก มีแต่สหายต่างวัยที่แก่กว่าเท่านั้น บัดนี้ข้ายังไม่มีสหายต่างวัยที่อ่อนกว่าเจ้า” พูดจบ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย คล้ายว่าเสียดายที่ตน
ในตอนแรกเมิ่งจิ่นเหยายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อลองคิดตามช้า ๆ ก็พอจะเข้าใจความหมายบางอย่าง ในบรรดาคุณชายสี่ท่านแห่งจวนโหว มีเพียงกู้ซิวเหวินเท่านั้นที่พอจะเป็นความหวังได้ ส่วนกู้ซิวหมิงก็ทำให้กู้จิ่งซีหมดหวังแล้ว นี่หรือว่านางต้องมีบุตรชายที่ได้มาเปล่า ๆ เพิ่มขึ้นอีกคน? เพียงแต่ สำหรับนาง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง รับกู้ซิวเหวินเป็นบุตรบุญธรรม แล้วแต่งตั้งให้กู้ซิวเหวินขึ้นเป็นซื่อจื่อแทน นับว่าเป็นประโยชน์ต่อนางมากกว่าให้กู้ซิวหมิงเป็นซื่อจื่อสืบทอดตำแหน่งต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่การอนุมานอย่างหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรื่องที่ตัดสินชี้ขาดแล้ว ใครเล่าจะล่วงรู้? บางทีกู้จิ่งซีอาจจะไม่ได้มีความคิดนี้อยู่เลยก็ได้ เพียงแต่เสียดายความสามารถก็เท่านั้น เพราะรู้สึกว่าหลานชายของตนเป็นคนมีศักยภาพสามารถพัฒนาได้ อีกทั้งช่วงวัยยังเหมาะสมพอดี ฉะนั้นจึงเข้าไปช่วยเหลืออีกแรง …… ทางฝั่งบ้านรอง นางเฉินริษยาจนแทบคลั่ง ราวกับว่าสะสมความอิจฉาริษยามาแรมปี ริษยาจนทนไม่ไหว นางเฉินเหลือบสายตามองบุตรชายผู้ซึ่งฉลาดเฉลียวเก่งกาจของครอบครัวตนเองแล้ว ก็หันไประเบิดอารมณ์ใส่สามีอย่า
ในวันนั้น แสงอรุณยามเช้าสดใสงดงาม กู้จิ่งซีหยุดพักงานในวันนี้ หาได้ยากที่จะไม่ต้องออกจากเรือนไปตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เขาก็ชินกับการตื่นเช้าแล้ว หลังจากตื่นนอนก็อ่านตำราอยู่พักหนึ่ง คอยกระทั่งเมิ่งจิ่นเหยาตื่นนอนและจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน สองคนสามีภรรยารับประทานมื้อเช้าอย่างเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดเปิดปากพูดออกมาแม้แต่คำเดียว กู้จิ่งซีเป็นคนประเภทพูดน้อย มีเรื่องให้พูดจึงพูด ส่วนเมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับเขาได้บ้าง เห็นอีกฝ่ายวางถ้วยและตะเกียบลงแล้ว ก็กำชับสาวใช้ข้างกายให้จัดการเก็บกวาดสำรับมื้อเช้าเสีย เป็นเวลานี้เอง เซี่ยจู๋เข้ามาทำลายความเงียบสงัดระหว่างสามีภรรยา รายงานอย่างนอบน้อมว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ท่านซื่อจื่อมาคารวะยามเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยาแต่งเข้าเรือนมานานเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยมีผู้น้อยเข้ามาน้อมคารวะนางยามเช้าเลยสักครั้ง ได้ยินคำพูดของเซี่ยจู๋ นางไม่ทันตอบสนองในทันที เผลอถามออกไปตามสัญชาตญาณ “เจ้าบอกว่าผู้ใดมาหรือ?” เซี่ยจู๋ตอบกลับ “เรียนฮูหยิน ท่านซื่อจื่อมาเข้าพบเจ้าค่ะ บัดนี้รออยู่ด้านนอกแล้ว” ได้ยินเช
เมื่อครู่ แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วพริบตา แต่ก็เพียงพอจะทำให้เมิ่งจิ่นเหยาจับสังเกตได้ นางเห็นชัดเจนว่าหลังจากที่กู้ซิวหมิงเอ่ยวาจานั้นออกมา ใบหน้าของกู้จิ่งซีพลันฉายประกายสิ้นหวังออกมาวูบหนึ่ง แม้กระทั่งแววตายังเยือกเย็นลงไม่น้อย จากสิ่งนี้เห็นได้ว่า ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กู้จิ่งซียังคงมีความคาดหวังในตัวกู้ซิวหมิงอยู่ในใจ หวังว่าภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้กู้ซิวหมิงจะคิดได้ และเข้าใจว่าซื่อจื่อของจวนโหวจำเป็นต้องมีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายหนึ่งคน และเป็นภรรยาเอกที่เพียบพร้อมสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูลได้ และจะต้องมีทายาทสายเลือดหลักเพื่อสืบทอดตำแหน่ง แต่กู้ซิวหมิงก็ยังทำให้กู้จิ่งซีต้องผิดหวังอีกเหมือนเคย บุตรหลานในตระกูลโหวอันทรงเกียรติ โดยเฉพาะผู้สืบทอดตำแหน่ง ไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะทำตัวลอยชาย เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากไม่มีเรื่องหนีตามกันเกิดขึ้น หากแม่นางหลี่ท่านนี้โดดเด่นเลิศล้ำ กู้ซิวหมิงจะถอนหมั้นเดิมก่อน แล้วจากนั้นค่อยพยายามหาทางพิสูจน์ให้ผู้อาวุโสในตระกูลเห็นด้วย และรับแม่นางหลี่เป็นภรรยาเช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมิได้เป็
เห็นกู้ซิวหมิงยืนกรานหนักแน่น กู้จิ่งซีก็ไม่มากวาจาอีก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จัดการไล่บุตรชายที่ไม่รู้จักคิดออกไป ไม่เห็นแล้วค่อยสงบใจได้สักหน่อย เมิ่งจิ่นเหยามองเงาแผ่นหลังของกู้ซิวหมิงที่สืบเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก็จมดิ่งสู่ห้วงความคิดของตนเอง นางคิดถึงข้อสันนิษฐานอย่างหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา เมื่อผูกโยงกับท่าทีของกู้ซิวหมิงที่แสดงออกในวันนี้แล้ว จำต้องคิดมากอย่างอดไม่ได้ บางทีกู้จิ่งซีอาจตั้งใจรับกู้ซิวเหวินเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านสามจริงก็เป็นไปได้? กู้จิ่งซีเห็นนางเอาแต่มองไปยังทางที่บุตรชายเดินออกไปตาไม่กะพริบ จิตใจเหม่อลอย คล้ายว่ามีความคิดบางอย่าง จึงโบกมือ บอกเป็นนัยให้สาวใช้ทั้งหมดล่าถอยออกไป ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับเล็กน้อย เปล่งเสียงราบเรียบเอ่ยออกมา “ฮูหยิน เขามิใช่คู่ครองที่ดี” ได้ยินเสียงนั้น เมิ่งจิ่นเหยาค่อยหลุดจากภวังค์ มองกู้จิ่งซีอย่างงุนงงอยู่นานครู่ใหญ่ ถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่กู้จิ่งซีเอ่ยหมายถึงอะไร หรือจะคิดว่านางยังมีความรู้สึกอะไรกับกู้ซิวหมิง เพราะฉะนั้นถึงได้จงใจตักเตือนนางให้รีบหันกลับมาในทางที่ถูกต้อง? นางหัวเราะออกมาเบา ๆ รู้สึกว่ากู้จิ่งซีคิ
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา