เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยากลับถึงเรือนเวยหรุยเซวียน ก็จวนจะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว ทว่านางไม่อยากกินอาหารเท่าใดนัก สักพักจึงได้มอบอาหารให้กับสาวใช้ไม่กี่คนไปแบ่งกันกิน แล้วให้ห้องครัวทำโจ๊กไก่ฉีก ดังนั้นต้องรอนานสักหน่อยถึงจะสามารถทานได้ จึงได้ทานขนมสองไปชิ้นเพื่อรองท้องก่อนเมื่อชิงชิวเข้ามาในห้อง ก็มองเห็นนางนั่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยริมหน้าต่าง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนขอบหน้าต่าง พลางเท้าคางไว้ที่หลังมือ มองไปยังท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ด้วยดวงตาที่เหม่อลอย ไม่รู้กำลังขบคิดเรื่องอันใดอยู่ชิงชิวเดินไปหานาง พลางถามด้วยความเป็นห่วง “ฮูหยิน ท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ?” เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นเหยาก็ดึงสติกลับมา ดวงตาทั้งคู่ค่อย ๆ ฟื้นความสว่างใส พลางคลี่ยิ้ม “ไม่มีอันใด แค่คิดเรื่องบางอย่างเท่านั้น”ชิงชิวทั้งเชื่อแล้วก็ทั้งสงสัย แต่ว่าในเมื่อนายหญิงไม่อยากเอ่ยถึง นางก็จะไม่จมอยู่กับคำถามนี้อีก จึงเปลี่ยนมาถามด้วยความอยากรู้ “ฮูหยิน ปกติท่านไม่ชอบยุ่งเรื่องเช่นนี้ของผู้อื่น ไยวันนี้ถึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เล่าเจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยากล่าวอย่างเรียบเฉย “คงเป็นเพราะเคยตากฝนมาก่อน ถึง
เมิ่งจิ่นเหยาแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ในภายภาคหน้ายังต้องหาสามีในอุดมคติให้เจ้ากับหนิงตงสักคนแล้วส่งพวกเจ้าออกเรือนด้วย”ชิงชิวส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “ข้าน้อยไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ อยากอยู่ข้างกายของฮูหยินตลอดไป”เมื่อเมิ่งจิ่นเหยาได้ฟัง ก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “สตรีซื่อบื้อ อย่าได้คิดเช่นนั้นเชียว ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เจ้าเสียเวลาไปทั้งชีวิตได้หรอก เมื่อพบกับบุรุษดีที่พึงใจก็สามารถใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานได้แล้ว ข้าเป็นฮูหยินท่านโหว ถึงอย่างไรสถานะนี้ก็สามารถสนับสนุนเจ้าได้ ทำให้ครอบครัวสามีไม่กล้ารังแกพวกเจ้าแม้แต่นิดเดียว” ชิงชิวตอบกลับไปว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยไม่รู้สึกว่าการอยู่เคียงข้างท่านเป็นการเสียเวลาไปทั้งชีวิตเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยขอพูดตามตรง ข้าน้อยได้ตัดสินใจไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดเจ้าคะ”เมิ่งจิ่นเหยางงงัน ยากที่จะเข้าใจ “เหตุใดเล่า?”“ที่จริงข้าน้อยไม่ได้สนใจเรื่องการแต่งงานเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ คิดแต่เพียงว่าจะปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านเท่านั้น” ชิงชิวกล่าวพลางยกยิ้มเบา ๆ “การแต่งงานไม่ใช่เร
เฝิงหมอมอไม่ค่อยเข้าใจนัก “เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลางกล่าวว่า “ซิวเหวินกับเซวียนอี๋เป็นฝาแฝดกัน เซวียนอี๋คดงอไปแล้ว ซิวเหวินกับนางจางนั้นแตกต่างกัน ทว่าถูกนางจางตามใจ เรียนรู้ที่จะเกียจคร้าน หากอยู่ข้างกายนางจางต่อไปเกรงว่าคงจะถูกตามใจจนเสียคน”เฝิงหมอมอตกตะลึงอีกครั้ง “หรือว่าท่านอยากเลี้ยงดูสั่งสอนด้วยตนเองงั้นหรือเจ้าคะ?” นางกล่าว พลางมองไปที่นายหญิงแวบหนึ่ง ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการนี้ของนายหญิงเท่าใดนัก “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายสี่อายุสิบห้าปีแล้ว ไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนะเจ้าคะ”เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินคำนั้น ก็ส่ายศีรษะพลางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าชอบความสงบ เจ้าก็รู้นี่นา ข้าจะหาเรื่องมาใส่ตนเองอีกได้อย่างไรกัน?”เมื่อได้ยิน เฝิงหมอมอก็คิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างขึ้นมาในฉับพลันท่านซื่อจื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านโหวต่างก็ผิดหวัง เป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนท่านโหว ขาดคุณธรรม ก่อเรื่องอื้อฉาวหนีตามกันไปกับผู้อื่นในวันแต่งงาน ทั้งยังบอกว่าชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงแม่นางหลี่คนเดียวเท่านั้น หากไม่สามารถแต่งแม่นางหลี่เป็นภรรยาได้ เช่นนั้นก
กู้จิ่งเซิ่งเหลือบมองนางอย่างไม่เข้าใจ พลางเอ่ยถาม “ฮูหยิน นี่เจ้าเป็นอันใดไปอีก? ในเมื่อมารดาใหญ่ส่งคนมาเชิญเจ้าไป ก็อย่าได้โอ้เอ้อีกเลย รีบไปเถิด หากว่ามารดาใหญ่สร้างความลำบากให้เจ้า ข้าไปขอความเมตตาให้เจ้าก็ได้นี่นา?”นางจางจับจ้องเขาอยู่ชั่วครู่ เปิดปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา พลางจากไปอย่างขุ่นเคืองในทันทีกู้จิ่งเซิ่งมองเห็นภาพแผ่นหลังของภรรยาจากไปอย่างมีโทสะ ก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด จะต้องโมโหถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ยิ่งเจ้าอารมณ์มากขึ้นทุกที ตอนนี้ถึงกลับกล้าชักสีหน้าใส่เขาเสียแล้ว……โถงโซ่วอันนางจางไปถึงโถงโซ่วอันด้วยความกระวนกระวายใจ หลังจากให้สาวใช้เข้าไปแจ้ง ก็เข้าไปในโถงโซ่วอันทันทีเมื่อเข้าไปในห้อง ในใจของนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ประหม่าเสียจนไม่กล้าหายใจแรง เมื่อครู่กล้ามีโทสะกับสามีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าตั้งแต่โบราณ แม่สามีและลูกสะใภ้ก็เหมือนดังกับสายเลือดที่ยับยั้งกัน ลูกสะใภ้จะกล้ามีโทสะกับแม่สามีได้เช่นไร?เมื่อมองเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากู้ นางจางก็ค่อย ๆ ช้อนสาย
นางจางถูกข่าวดีเช่นนี้ทำให้สับสน เดิมทีนางเตรียมพร้อมรับการตำหนิจากแม่สามีไว้แล้ว ผู้ใดจะคิดว่ายังมีเรื่องที่ดีขนาดนี้อยู่อีกกันเล่า? นางโยนเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นของบุตรสาวทิ้งไปทันที พลางพยักหน้าไม่หยุด “ท่านแม่ ข้า ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ” ขณะกล่าว นางก็เกิดลังเลขึ้นมาอีก “เพียงแต่ซิวเหวินเขา เขาจะเข้าตาหัวหน้าสำนักศึกษาหรือไม่เจ้าคะ?”ถึงแม้นางจะคิดว่าบุตรชายของตนเองดีที่สุด ฉลาดหลักแหลมที่สุด ทว่าสำนักศึกษาหลิงซานมีชื่อเสียงมากและมีเงื่อนไขสูง หากอยากเข้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก นางไม่แน่ใจฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวตอบ “เจ้าสามกับหัวหน้าสำนักศึกษาหลิงซานเป็นสหายกัน หากว่าเจ้าเห็นด้วยกับการส่งซิวเหวินไปร่ำเรียน ข้าก็จะไปพูดกับเจ้าสาม ให้เขาพาซิวเหวินไปเยี่ยมคารวะหัวหน้าสำนัก”เมื่อนางจางได้ฟัง ก็ทั้งปีติทั้งประหลาดใจ เมื่อช่วงสายบุตรีของนางเพิ่งจะก่อเรื่อง พอตกบ่ายแม่สามีก็คิดจะช่วยบุตรชายคนเล็กของนางให้เข้าร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลิงซาน หรือว่าท่านแม่ยังไม่รู้เรื่องเมื่อตอนสายงั้นหรือ?โชคดี โชคดีที่นางลงโทษเซวียนอี๋อย่างหนัก ต่อให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้ในภายหลัง นางก็จะได้รายงานเรื่องนี้
เฝิงหมอมอตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยนึกว่าท่านต้องการเปลี่ยนตัวท่านซื่อจื่อเสียอีกเจ้าค่ะ คิดจะให้ท่านโหวรับอุปการะคุณชายสี่เป็นบุตรบุญธรรม แล้วเปลี่ยนตำแหน่งให้คุณชายสี่เป็นซื่อจื่อ” พอกล่าวจบ ขนาดตัวนางเองยังคิดว่าน่าขัน นึกไม่ถึงว่าจะเกิดความคิดที่ผิดแปลกเช่นนี้ขึ้นมาได้เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ฟังก็อึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะส่งเสียงออกมา พลางกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “เจ้านี่นะ อายุอานามขนาดนี้แล้ว ไยถึงมีความคิดแหกคอกเหมือนเมื่อตอนยังเยาว์วัยเช่นนี้?”เฝิงหมอมอตอบอย่างรีบร้อน “ข้าน้อยยังสุขุมไม่พอ ต่อไปจะฝึกฝนให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้กล่าวอย่างช้า ๆ “ซิวหมิงยังดีอยู่ ข้าจะคิดถึงเรื่องเช่นนั้นทำไมกัน? ถึงแม้เขาจะมีความผิด ทว่าก็สามารถให้โอกาสเขาอีกครั้งได้ หากว่าซิวหมิงดึงดันไม่ฟังเสียงของผู้ใดจริง ๆ แม้ตายก็ไม่กลับใจ และก่อเรื่องอันใดเพื่อแม่นางหลี่อีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นก็สามารถพิจารณาเปลี่ยนซื่อจื่อได้ ถึงอย่างไรบุรุษที่ทำได้แค่เพียงเดินลอยชายอยู่รอบตัวสตรีอย่างไร้เป้าหมาย คิดจะให้เขาประคับประคองทั้งตระกูล เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”นางพูดแล้วหยุดไปชั่วขณะ พลางถอน
อีกด้านหนึ่ง นางจางออกจากโถงโซ่วอัน รู้สึกอิ่มเอมใจไปทั่วร่าง รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าไม่เคยจางไปนางเดินอย่างรวดเร็วราวกับเดินไปตามลม กลับไปถึงเรือนของตนเองด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อได้รู้ว่าสามีไปที่ห้องของอนุภรรยา รอยยิ้มก็จางหายไปในพริบตา นางเพิ่งจะไปที่เรือนแม่สามีไม่นานเท่าใดเอง? ไปถึงห้องอันอบอุ่นแสนหวานของอนุภรรยาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของบุตรชาย นางก็ยกยิ้มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สั่งให้สาวใช้ไปเชิญกู้จิ่งเซิ่งกลับมาทว่ากู้จิ่งเซิ่งกำลังดื่มด่ำอยู่ในสถานที่อันอบอุ่นแสนหวานของอนุภรรยาผู้งดงาม นอนอยู่บนเตียงแล้ว เตรียมตัวที่จะลงสนามแล้ว อยู่ ๆ ก็ถูกสาวใช้ก็มาขัดจังหวะเสียได้ เขามีโทสะไม่น้อย และหมดความสนใจไปพร้อม ๆ กัน ให้อนุโฉมงามปรนนิบัติตนเองให้สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงออกไปสาวใช้เห็นประตูเปิดออก นายท่านออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พลางถามนางอย่างไม่สบอารมณ์ “มีเรื่องอันใดกันแน่?”สาวใช้ตกใจเสียจนคอหด รีบตอบกลับไปว่า “นายท่าน ฮูหยินใหญ่บอกว่ามีเรื่องด่วนอยากพูดคุยกับท่านเจ้าค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณชายสี่ ให้ท่านไปก่อนเจ้าค่ะ ”
เมื่อได้ฟัง กู้จิ่งเซิ่งก็ไร้หนทาง สตรีก็คือปัญหา เรื่องหยุมหยิมยังคิดมากมายถึงเพียงนี้ ได้รับผลประโยชน์มาอยู่ในมือก็พอแล้วมิใช่หรือไร? คิดเรื่องที่เหลวไหลพวกนี้จะมีประโยชน์อันใดกัน?เขากล่าวอย่างหงุดหงิดยิ่งนัก “ครั้งนี้รับสมัครคนที่อายุสิบขวบถึงสิบห้าปี ซิวหย่วนและคนอื่น ๆ ต่างก็อายุเกินกันหมดแล้ว พูดได้แค่เพียงว่าซิวเหวินของพวกเราโชคดีเท่านั้น”นางจางส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้าคิดว่าไม่ใช่เจ้าค่ะ ซิวหมิงเป็นซื่อจื่อ ขนาดซื่อจื่อยังไม่เคยได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ จะมาให้แก่ซิวเหวินได้เยี่ยงไรกัน?”นางกล่าวจบ ก็ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดไม่นาน ภายในสมองของนางก็ผุดความคิดที่น่าประหลาดใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นในฉับพลัน หลังจากความประหลาดใจผ่านไปแล้ว ก็คือความปีติยินดีถึงขีดสุด ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้นางถามด้วยท่าทางลึกลับยิ่งนัก “ท่านพี่ ท่านว่าท่านแม่คิดจะให้น้องสามรับซิวเหวินของพวกเราเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่เจ้าคะ?” หลังกู้จิ่งเซิ่งได้ฟังก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าภรรยาคิดเพ้อเจ้อยิ่งนัก จึงตอบไปว่า “เจ้าอย่าได้คิดเหลวไหลเชียว ครอบครัวของน้องสามมีซิวห
เมิ่งจิ่นเหยามองนางด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้านางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น และราวกับมีความแค้นอะไรกับกู้ซิวหมิง จึงสับสนเล็กน้อย “เจ้าดูเหมือนดีใจมากเมื่อเห็นเขาโชคร้าย?”ท่านหญิงจิ้งหนิงเชิดริมฝีปาก ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน “ข้าก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าเขา ชอบทำท่าวางมาดทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คนอื่นกลับบอกว่าเขาสุภาพอ่อนโยน และมีท่าทางแบบท่านโหว”เมิ่งจิ่นเหยาตกใจ “อาเหยียนสายตาเฉียบคมมาก”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างเขินอาย “ก็พอได้ แต่เพราะข้าเคยเห็นด้านที่ไม่ดีของเขา จึงรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างมาก”ขณะที่นางพูด ก็ดื่มน้ำเชื่อมอีกหนึ่งอึก น้ำเชื่อมที่เย็นหอมหวานเข้าไปในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งตัว และกล่าวอีกว่า “อย่าเพิ่งกล่าวถึงเขาเลย ดื่มตอนที่มันยังเย็น อีกเดี๋ยวมันร้อนคาดว่าจะไม่อร่อยมากแล้ว”หลังดื่มน้ำเชื่อม ท่านหญิงจิ้งหนิงก็อยู่อีกกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะกลับจวนเหลียงอ๋อง ......กู้จิ่งซีเลิกงานกลับมาเมิ่งจิ่นเหยาเห็นเขา ก็เรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่”จากนั้น นางก็สั่งให้หนิงตงยกน้ำเชื่อมลิ้นจี่
เวลาเที่ยง ท่านหญิงจิ้งหนิงยังอยู่ที่จวนท่านโหว กินอาหารกลางวันด้วยกันกับเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้กำชับสาวใช้ให้ทำลิ้นจี่แห้วเย็นในน้ำเชื่อม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ส่งไปให้บ้านใหญ่กับบ้านรองสักหน่อยลิ้นจี่ทำให้ร้อนในได้ ทว่าแห้วแก้ร้อนใน ทำน้ำเชื่อมให้อร่อยหวานสดชื่น แช่เย็นก็ยิ่งดี เมื่อกินลงไปทำให้เย็นสดชื่นและหอมหวาน ทั้งยังสามารถดับร้อนได้ด้วย เหมาะที่จะดื่มสิ่งนี้ตอนอากาศร้อนยิ่งนักท่านหญิงจิ้งหนิงดื่มไปหนึ่งคำก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ “ไม่เลวเลยจริง ๆ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงคิดไม่ถึงว่าควรเอามันมาทำเป็นน้ำเชื่อมนะ?”เมิ่งจิ่นเหยาตอบกลับ “อยู่ ๆ ข้าก็เพิ่งนึกได้เช่นเดียวกัน”“ก่อนหน้านี้เจ้ากินลิ้นจี่เช่นนี้ตลอดเลยหรือ?” ท่านหญิงจิ้งหนิงเหลือบมองนางอย่างประหลาดใจ แล้วพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเสพสุข เช่นนี้อร่อยมากทีเดียว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายศีรษะ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยกิน เพียงแค่ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงอยากลองทำดูเท่านั้น ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยกินลิ้นจี่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เมื่อวานซืนกับเม
ท่านหญิงจิ้งหนิงเห็นนางมองดูลิ้นจี่อย่างตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจว่า “เจ้าบอกว่าชอบมิใช่หรือ? ข้าได้รับมาจากเสด็จย่าเมื่อวานตอนบ่าย ให้เจ้าทั้งหมดเลย”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงเล็กน้อย มิน่าเล่าเมื่อวานนางกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วจึงรีบร้อนจากไป ที่แท้ก็เข้าไปในวังนี่เอง ไปหาไทเฮาเพื่อขอลิ้นจี่มาให้นาง ดูแล้วลิ้นจี่นี้น่าจะสักสี่ห้าชั่งได้ ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ขุนนางเพียงแค่หนึ่งชั่งกว่าเท่านั้น สี่ห้าชั่งนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนักเมิ่งจิ่นเหยาจ้องมองไปที่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกอยู่ในภวังค์ หัวใจถูกปกคลุมไปด้วยไออุ่น ภายในใจรู้สึกอบอุ่นนัก จึงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “อาเหยียน ให้ข้าหมดแล้ว เจ้ากินอันใด?”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้ากินทุกปี ปีนี้กินไปหลายลูกแล้ว กินจนหายอยาก ตอนนี้ไม่ได้สนใจเท่าใดแล้ว พอดีเจ้าชื่นชอบ จึงเอามามอบให้เจ้า”เมิ่งจิ่นเหยาเม้มริมฝีปาก “ขอบใจมากนะอาเหยียน”ท่านหญิงจิ้งหนิงยิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่ต้องเกรงใจ ก่อนที่ข้าจะนำมา ได้ใช้น้ำแข็งรักษาความสดไว้ด้วย เจ้าให้คนไปเอาน้ำแข็งมาสักหน่อย มิเช่นนั้นอากาศร้อนแล้ว มันจะเสียได้ง
ถือโอกาสที่ตอนนี้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงเกินไป เมิ่งจิ่นเหยาพาท่านหญิงจิ้งหนิงไปเดินเล่นภายในจวนเพียงแต่ ดูเหมือนกับท่านหญิงจิ้งหนิงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวน จึงรู้ว่าด้านใดมีสะพาน ด้านใดมีศาลา และริมสระน้ำด้านใดเย็นมากกว่ากันเมิ่งจิ่นเหยาประหลาดใจเล็กน้อย “อาเหยียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับจวนท่านโหวอยู่บ้าง”ท่านหญิงจิ้งหนิงตอบตามความจริง “ข้ามาที่จวนฉางซินโหวหลายครั้งแล้ว ตอนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในจวนอยู่บ้าง” นางกล่าว แล้วหันไปมองเมิ่งจิ่นเหยา “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าก็อยู่ด้วย ข้ามาดื่มสุรามงคลกับท่านแม่”เมิ่งจิ่นเหยาเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”ท่านหญิงจิ้งหนิงกล่าวอีกว่า “วันนี้ข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลย”มาเป็นแขกที่เรือนของผู้อื่น ไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย เป็นมารยาทพื้นฐานเมิ่งจิ่นเหยากล่าวตอบ “เช่นนั้นเจ้าก็มาผิดจังหวะแล้วละ เมื่อวานแม่สามีของข้าไปพักอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว คาดว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา”ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่พยักหน
กู้จิ่งซีมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของแม่นางน้อย ท่าทางไร้การป้องกันแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป เดิมทีพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ทำตามใจชอบบ้างก็ไม่เป็นไร ระมัดระวังตัวมากเกินไปกลับไม่เหมือนสามีภรรยากันเสียด้วยซ้ำ แม่นางน้อยคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาตลอดไปจริง ๆ ถึงได้เป็นเช่นนี้……วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยาเพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จได้ไม่นาน กำลังเตรียมตัวไปอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลาเสียหน่อย ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่นี่นางตะลึงเล็กน้อย รู้สึกจับต้นจนปลายไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ท่านหญิงจิ้งหนิงมาหานางทำไม จึงรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านหญิงจิ้งหนิงเข้ามาเร็วเข้า”ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็พาท่านหญิงจิ้งหนิงมาที่เรือนเวยหรุยเซวียนเมื่อเมิ่งจิ่นเหยามองเห็นท่านหญิงจิ้งหนิง ก็มองสำรวจอย่างละเอียด เห็นนางดูท่าทางสบายดี และก็ดูไม่ได้มีเรื่องอันใดเช่นกันเมื่อเห็นดังนั้น ท่านหญิงจิ้งหนิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสงสัย “นั่นมันสายตาอันใดของเจ้า? ไม่ยินดีต้อนรับข้ากระนั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาเกรงว่านางจะเข้าใจผิด จึงรีบส่าย
เมิ่งจิ่นเหยาลอบมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้อื่นตกใจไม่หยุด “หรือว่าวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะให้ข้าปิดไว้อย่างมิดชิดเหมือนตอนฤดูหนาวอีกหรือเจ้าคะ? ในเมื่อท่านใส่ใจกับความเป็นสุภาพบุรุษของตนเอง ไยถึงไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองบ้างเล่า? บางทีข้าอาจจะทำอันใดท่านก็ได้นะเจ้าคะ?”นางขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง กำลังโมโหกู้จิ่งซีที่รบกวนการนอนของนาง อยู่ดีไม่ว่าดีมาห่มผ้าห่มให้นาง สุดท้ายทำให้นางร้อนจนตื่น ตอนนี้อยากนอนก็นอนไม่หลับแล้วเพียงแต่คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ต้องพูดว่ากู้จิ่งซีทำไม่ได้ ไม่สามารถที่จะทำอันใดนางได้ แม้ว่ากู้จิ่งซีจะทำได้ นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้วร่วมเรียงเคียงหมอนมานานถึงเพียงนี้ นับจากนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน เพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง ยังต้องยึดติดว่าสวมเสื้อผ้าหนาพอหรือไม่? เดิมทีฤดูร้อนก็ไม่เหมาะที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาอยู่แล้ว จะอึดอัดและทำให้ป่วยเอาได้เพราะคำพูดนี้ของนาง ในเวลานี้บรรยากาศจึงได้แข็งค้าง กู้จิ่งซีตะลึงงัน การเคลื่อนไหวของพัดก็หยุดชะงักลง ห
เคยลิ้มรสชาติของชีวิตที่ขื่นขม พอตอนนี้กำลังมีชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี ยังมีอันใดที่ต้องพิถีพิถันกัน? ตอนนี้เป็นแบบนี้ นางก็พึงพอใจมากแล้วเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งจิ่นเหยาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ภายในเรือนเพื่อย่อยอาหาร หลังจากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวพักผ่อนว่ากันว่า สามีภรรยาอยู่ร่วมกันมานาน ก็จะยิ่งปลดปล่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเหมือนตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆกู้จิ่งซีรู้สึกว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผล ทว่าคนที่ปลดปล่อยไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่นางน้อยต่างหาก ตอนที่เพิ่งแต่งงานกันยังระมัดระวังตัว นอนหลับอย่างสงบเสงี่ยม เกรงว่าจะสัมผัสร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ระวังน่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้ เขาไม่ได้ทำอันใดที่เกินเลย แม่นางน้อยจึงยิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างวางใจหรือจะบอกว่า แม่นางน้อยไม่ได้มองว่าเขาเป็นบุรุษก็ได้เหมือนดังเช่นตอนนี้ เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กลับมาที่ห้องนอน ก็มองเห็นแม่นางน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะว่าชอบอากาศหนาว จึงไม่ได้ห่มผ้าห่ม สวมเพียงชุดนอนที่บางเบาเท่านั้น ผ้าที่ทำจากไหมนั้นบางเบามาก ถึงขนาดสามารถมองเห็นชุดซับในสีชมพูรากบัวที่อยู่
กู้จิ่งซีรู้สึกแค่เพียงไม่คาดคิดเท่านั้น เดิมทีไม่ได้คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยอับอายเสียจนหน้าแดง สีหน้าท่าทางขัดเขินไม่กล้ามองตนเองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คำพูดที่กล่าวออกมาจึงแฝงไปด้วยการหยอกเย้า “ฮูหยินใช้ข้าเป็นสาวใช้แล้วหรือ”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็มองไปทางเขาอย่างฉับพลัน บุรุษผู้นั้นยิ้มมุมปาก ดวงตามองตนเองอย่างหยอกล้อ รู้สึกละอายใจและขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที อดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “มิใช่ว่าท่านพี่อยากเป็นสาวใช้หรอกหรือ? ข้าก็ทำตามความปรารถนาของท่านพี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีรู้ว่าเมื่อใดควรหยุด หากทำให้แม่น้อยร้องไห้ขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยเท่าใดนัก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “อืม ฮูหยินพูดถูกแล้ว ข้าเต็มใจเอง ตอนนี้ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ฮูหยินกินเองเถิด”เขาพูดพลางเอาเปลือกกับเมล็ดของลิ้นจี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบผ้าสีเหลี่ยมสีน้ำเงินขึ้นมาเช็ดมือ เตรียมที่จะจากไปเมิ่งจิ่นเหยาเหลือบมองลิ้นจี่ที่เหลืออยู่พลางถามว่า “ท่านพี่ไม่ถือโอกาสกินตอนที่ยังสดใหม่อยู่สักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีส่ายศีรษะ “ฮูหยินกินเถิด ข้าไม่ค
เขาเอื้อมมือไปหยิบที่ปอกเปลือกแล้วมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของแม่นางน้อย พลางกล่าวอย่างหยอกเย้า “ฮูหยิน เพียงแค่มองดูอย่างเดียวลิ้มลองรสชาติไม่ได้ ลองชิมดูก่อนดีหรือไม่?”เมิ่งจิ่นเหยาได้สติกลับมา ก็เห็นเขาแย้มยิ้มมองตนเอง ดวงตาอันอ่อนละมุนคู่นั้นช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก จึงอ้าปากรับการป้อนของเขาโดยไม่รู้ตัว กัดหนึ่งคำเบา ๆ เนื้อของลิ้นจี่ราวกับผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนนุ่มและสดชื่น มีรสหอมหวานในปาก กลิ่นหอมกรุ่น หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติดีเยี่ยม ทำให้ชวนนึกถึงรสชาติที่เหลืออยู่ในปากเมื่อเห็นนางหรี่ตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ ถึงขั้นทำให้หวนนึกถึง กู้จิ่งซียิ้มพลางถามว่า “อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ ผ่านมานานหลายปีได้กินอีกครั้ง ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำอยู่เลยเจ้าค่ะ” เมื่อนับเวลาจากที่นางกินลิ้นจี่ครั้งที่แล้ว ก็คือสิบปีก่อน ตอนนั้นท่านปู่ได้รับลิ้นจี่มาจากสหายนิดหน่อย ลูกเดียวยังทำใจกินไม่ลง นำกลับมาป้อนใส่ท้องนางทั้งหมด เวลานั้นนางยังไม่เข้าใจความล้ำค่าของลิ้นจี่ รู้เพียงแต่ว่าอร่อยเท่านั้น ต่อมาท่านปู่เสียชีวิตไป นางก็ไม่ได้กินอีกเ