“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วขอรับท่านอ๋อง”
“ดี”
สองสหายคนสนิทและสององค์รักษ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋องอยู่นั้นก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอยู่ไม่วางตาแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไป พลันประตูกระโจมของหลี๋อ๋องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของใครบางคน เหล่าบุรุษที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงนั้นก็หันไปมองทันที
“นั่นไม่ใช่สตรีจากหอนางโลมเมื่อคืนนี้หรอกหรือ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่กัน”
“ข้าจะไปรู้หรือ”
ตงหยางตอบหลี่จิ่งกลับด้วยเสียงอันเบาด้วยกลัวว่าท่านอ๋องของพวกเขาจะได้ยินเข้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่เพราะเมื่อเช้าตรู่เขาเป็นคนส่งเหล่าคณิกาพวกนั้นขึ้นรถม้าเพื่อกลับเข้าไปในเมืองแล้วนั่นเอง
เยว่หลิงเดินออกมาจากกระโจมก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋อง ใบหน้าของนางตอนนี้นั้นช่างดูสดใสต่างจากท่านอ๋องของพวกเขาเสียจริง
“ท่านปวดหลังหรือไม่ เอวของท่านยังอยู่ดีไหม”
“อย่ายุ่งน่า”
เหล่าสหายและองค์รักษ์ของเขาต่างก็ตาโตทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สตรีผู้นั้นเอ่ยถามหลี๋อ๋องออกมา
หลี๋อ๋องหันไปมองสตรีผู้นั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคืนเขายกเตียงนอนหนานุ่มของเขาให้นางส่วนตัวเขานั้นกลับต้องลงไปนอนอยู่ด้านข้างเตียงนั้นแทน เมื่อถึงกลางดึกอยู่ๆนางก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วเหยียบเข้าที่ส่วนหลังของเขาเต็มๆ
'ซวยอะไรเช่นนี้ก็ไม่รู้'
“พวกท่านจะไปไหนหรือ"
“ข้าจะกลับแล้ว”
“จะไปที่ใด”
“กลับเมืองหลวงอย่างไรล่ะ”
"งั้นหรือ เช่นนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะเพคะท่านอ๋อง"
"แล้วเจ้าจะไปไหนไม่กลับเมืองหลวงงั้นหรือ"
"กลับสิ แต่ว่าข้ากลับเองได้"
“กลับเองได้? ที่นี่อยู่ใจกลางหุบเขาทั้งยังไม่มีบ้านเรือนผู้คนเลยสักหลัง ไม่มีแม้กระทั่งชาวบ้านจะมีก็เพียงทหารของข้าเท่านั้น เจ้าเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียวจะกลับอย่างไร”
"หรือว่าเจ้าจะรอให้เจ้านั่นกลับมารับเจ้าล่ะ ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าสั่งให้มันกลับไปเป่ยฉีไม่ใช่หรือ กว่าจะรอให้มันกลับมาถึงเวลานั้นที่นี่ก็ไร้ผู้คนแล้วแน่ใจว่าอยู่คนเดียวได้"
ประโยคสุดท้ายเขากระซิบถามนางเบาๆ แต่อากัปกิริยาที่ใกล้ชิดกันนั้นทำให้สหายและเหล่าทหารของเขาคิดอีกอย่าง
'ในที่สุดท่านอ๋องของพวกเขาก็สนใจสตรีเช่นบุรุษคนอื่นๆเสียที'
"ที่นี่ก็เป็นดั่งสนามรบ ย่อมมีเหล่าทหารกล้าที่เคยพลีชีพล้มตายอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น..."
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วเพคะ”
“ดี”
“หลี่จิ่งเจ้าเตรียมรถม้าแล้วหรือยัง”
“เอ๋? ท่านอ๋องไม่ได้สั่งไว้นี่ขอรับ”
หลี่จิ่งเมื่อได้ยินที่หลี๋อ๋องถามเขาถึงกลับงุนงงไม่น้อยก่อนจะรีบหันไปมองแม่ทัพเหออย่างขอความช่วยเหลือแต่เขากลับทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตงหยางเองก็ถึงกับนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบท่านอ๋องอย่างไรเช่นกัน
‘ก็ท่านอ๋องไม่ได้สั่งไว้จริงๆนี่นา’
“ได้ยินแล้วนี่ แล้วเหตุใดไม่รีบไปจัดการล่ะ”
“ขอรับ ไปเดี่ยวนี้ขอรับ”
‘เหตุใดหลี๋อ๋องที่ไม่เคยใส่ใจสตรีนางใดเลยถึงได้ดูใส่ใจกับหญิงสาวผู้นี้เป็นพิเศษกันนะ นางมีอะไรดีกัน’
หลี๋อ๋องหันกลับไปสั่งการกับเหล่าทหารของเขา เพียงไม่นานหลี่จิ่งก็เดินกลับเข้ามาก่อนจะรายงานเขาไปว่า
“ท่านอ๋องรถม้าพร้อมแล้วขอรับ”
“อืม”
“เจ้าขึ้นไปสิ”
หลี๋อ๋องหันกลับมามองนาง เยว่หลิงก็พยักหน้าก่อนจะรีบเดินขึ้นไปบนรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วไม่มีแม้แต่จะชายตามามองหรือไม่มีท่าทีออดอ้อนเขาเลยสักนิด
เป็นไปได้อย่างไรกัน! สตรีที่พึ่งขึ้นเตียงกับหลี๋อ๋องไม่มีทางที่จะมีท่าทีเช่นนี้หลังจากได้ร่วมรักกันแล้วอย่างแน่นอน
“ข้าไม่คิดว่าสตรีจากหอคณิกาจะมีท่าทีที่แข็งกระด้างเช่นนี้ อย่างน้อยก็น่าจะมีท่าทีที่เหนียมอายบ้างสินางพึ่งจะขึ้นเตียงกับท่านมานะ”
“พูดมาก พวกเจ้าไม่กลับแล้วหรือ”
“หืม ไปสิ”
ซือหนานกงหันไปมองแม่ทัพเหออีกครั้งทั้งคู่พยักหน้าให้กันก่อนที่ซือหนานกงจะรีบขึ้นไปนั่งบนอาชาประจำกายของเขาด้วยความรวดเร็ว
“แม่ทัพผู้นั้นไม่ไปด้วยหรอกหรือ”
“เขายังมีเรื่องต้องจัดการ จะตามข้าไปทีหลัง”
“ข้าก็ไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย”
“ก็เห็นเจ้าถาม”
“ช่างเถอะ”
เยว่หลิงไม่อยากสนทนากับเขาต่อ นางดึงม่านหน้าต่างลงก่อนจะแอบชำเลืองมองไปด้านนอกรถม้าเป็นระยะๆ หลี๋อ๋องอมยิ้มให้กับการกระทำของนางจนองค์รักษ์ทั้งสองของเขาถึงกับต้องขยี้ตาอีกครั้ง
“เจ้าว่าข้าตาฝาดไปหรือไม่”
“ข้าเห็น เจ้าก็เห็น คงจะตาฝาดกันทั้งคู่หรอก”
ตงหยางตอบเขาแค่นั้นก่อนจะควบม้าขึ้นไปประจำตำแหน่งของตนเองทันที
กองทัพทหารของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลออกจากชายแดนเรื่อยๆ ผ่านหุบเขาน้อยใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าจนกระทั่งย่างเข้าวันที่สี่ของการเดินทาง หุบเขาที่กำลังเดินทางผ่านอยู่นี้เต็มไปด้วยมวลแมกไม้และไม้ยืนต้นสูงชะลูดเต็มเทือกเขาไปหมดแม้ที่นี่จะดูอุดมสมบูรณ์และสวยงามแต่กลับมีบางสิ่งที่ดูน่ากลัวในสายตาของเยว่หลิง
ขบวนกองทัพหยุดลงแล้วเยว่หลิงที่กำลังชื่นชมกับบรรยากาศโดยรอบอยู่โดยไม่ทันได้สนใจต่อสิ่งอื่นใดก็เห็นว่าหลี๋อ๋องควบม้ามาหยุดตรงหน้านางแล้ว
“เราจะพักกันที่นี่”
“หือ”
“เจ้าหูหนวกหรือ ข้าบอกว่าคืนนี้เราจะพักกันที่นี่”
“ที่นี่หรือ”
“ก็ใช่อย่างไรล่ะ เอาล่ะข้าสั่งให้ทหารไปจัดการลำธารที่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้ว เจ้าไปจัดการตัวเองเถอะข้าจะตรวจตราบริเวณโดยรอบของที่พักแรมนี้ก่อน”
“ก็ได้”
เยว่หลิงลงจากรถม้าเดินตรงไปที่ลำธารที่มีผ้ากั้นเป็นทางเอาไว้ นางมองซ้ายมองขวาเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่บริเวณนี้ก็จัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ออกทันที ก่อนจะลงเล่นน้ำเพียงลำพังอยู่อย่างนั้นนานสองนานจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาแต่สักพักก็หายเงียบไป
“นั่นใคร?”
“ข้าถามว่าใคร”
เมื่อความมืดมิดเริ่มคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ เยว่หลิงก็รีบขึ้นจากน้ำก่อนจะสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย กระทั่งกำลังจะเดินกลับที่พักนางก็ถูกอะไรบางอย่างทำให้สลบไปจนร่างของนางร่วงลงกองกับพื้น
ยามซวี (19.00-21.00น.)
“หายไปแล้ว ได้อย่างไร!”
“ข้าน้อยให้หนึ่งในแม่ครัวออกไปตามแม่นางเยว่หลิงแต่เมื่อนางไปถึงที่ลำธารกลับบอกว่าแม้แต่ปลาสักตัวก็ไม่มีขอรับ”
“ไม่ได้เรื่อง!”
หลี๋อ๋องขว้างถ้วยสุราออกไปจนซือหนานกงและองค์รักษ์ของเขาหลบกันแทบไม่ทัน จากนั้นก็รีบก้าวเท้าตรงไปยังลำธารนั้นโดยไม่ลืมที่จะหยิบเอากระบี่คู่ใจของเขาไปด้วย
เมื่อมาถึงลำธารก็เป็นดังที่คาดไว้ นางหายไปแล้วจริงๆ หายไปไหนได้อย่างไรกัน?
“ท่านอ๋องตรงนี้มีรอยเท้าของใครบางคนอยู่ขอรับ”
“เป็นของนางหรือไม่” ซือหนานกงเอ่ยถามออกมาท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเคลียด
“ไม่น่าใช่นะขอรับคุณชาย รอยเท้านี้ใหญ่เกินกว่าจะเป็นของสตรี”
หลี๋อ๋องจ้องมองรอยเท้านั้น มันมุ่งตรงเข้าไปในป่า
“คงไม่ใช่ว่านางเป็นสายลับของใครหรอกนะ ทำงานไม่สำเร็จอาจจะถูกสั่งเก็บไปแล้วเช่นนั้นหรือ”
หลี่จิ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดตรึกตรองก่อนทำให้หลี๋อ๋องถึงกลับหันไปมองเขาด้วยแววตาที่มีไอสังหารอยู่เต็มที่
“พวกเจ้าเฝ้าดูอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตามหานาง”
“ข้าไปกับท่านด้วยหากเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยทัน”
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่นี่หากมีใครกล้าเข้ามาก็จัดการเสีย”
“ขอรับท่านอ๋อง”
เมื่อหลี๋อ๋องและซือหนานกงเดินเข้าไปในป่าจนหายลับไปจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี่จิ่งก็เอ่ยออกมาว่า
“สตรีผู้นั้นมีอะไรดีกันท่านอ๋องถึงได้ดูร้อนใจถึงเพียงนี้”
“เจ้าหุบปากบ้างเถอะก่อนที่หัวของเจ้าจะหลุดออกจากบ่าไปเสียก่อน”
ตงหยางได้เพียงแค่ส่ายหัวให้เขาก่อนจะเดินกลับไปที่พักแรมของทหารเพื่อรอคอยหลี๋อ๋องอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าพูดอะไรผิดอีกเล่า”
‘ปวดหัวเสียจริง ให้ตายสิใครช่างกล้าทำกับข้าเช่นนี้กันนะ’เยว่หลิงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่เพราะความรู้สึกปวดหนึบที่ศรีษะทั้งสองข้างนั้นทำให้นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งเปลือกตาบางของนางค่อยๆแย้มกระพริบขึ้นทีละนิดจนเริ่มมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนนางยันตัวลุกขึ้นก่อนที่สายตานั้นจะเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างจากนางเพียงไม่ถึง 1 จิ้ง[1]วงหน้าของเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเส้นผมสีดำเงางาม นัยต์ตาที่เรียวยาวราวกับเหยี่ยวมีแก้วตาสีแดงสดพราวระยับดุจอัญมณี ดูลึกลับแต่สะกดสายตาให้หยุดมอง นางไล่สายตาไปทั่วร่างของเขาจนเจ้าของร่างนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของนาง“เจ้าจะสำรวจข้าอีกนานไหม”“แล้วเจ้าเป็นใคร”“ไม่คิดจะกลัวข้าบ้างหรืออย่างไร”เยว่หลิงเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากสร้างความประหลาดใจให้แก่บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างมาก“หงอี้เข้ามาข้างในนี้ที”“ขอรับนายท่าน”สิ้นคำบอกกล่าวก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านในกระโจมด้วยความรวดเร็ว ลักษณะการเดินที่มั่นคงและคล่องแค
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข