“ออกไปให้หมดยกเว้นเจ้า!”
“!”
“ใครกันหรือ” บรรดาสาวงามที่ยืนอยู่ภายในกระโจมต่างก็หันมองกันไปมาด้วยความที่ไม่รู้ว่าหลี๋อ๋องนั้นหมายถึงใคร
สายตาของเขามองส่งไปยังสตรีนางหนึ่งผู้ที่ยืนอยู่ท้ายๆกระโจมเลยกระมัง
'เหตุใดเขาถึงมองเห็นนางกัน'
หญิงงามเหล่านั้นแสดงออกว่าไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่งเพราะรูปร่างที่อรชรของนางทั้งยังมีใบหน้าที่งดงามแม้จะคลุมผ้าไว้ครึ่งหน้าก็เถอะ เยว่หลิงเมื่อได้ยินที่เขาพูดก็โอดครวญภายในใจทันที
‘ไม่น่าตามมาที่นี่เลย’
“เดินออกมานี่”
“ขะ ข้าหรือ”
“ใช่ เจ้ามาที่นี่ไม่ใช่ว่ามาปรนนิบัติข้าหรอกหรือ”
“คือว่าความจริงแล้วข้า”
“เลือกเอาว่าจะปรนนิบัติข้าหรือพวกเจ้าทั้งหมดจะไปรับใช้เหล่าทหารของข้า”
“อะไรนะ!”
บรรดาหญิงงามเหล่านั้นต่างก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินที่เขาเอ่ยออกมา แม่ทัพเหอรีบต้อนหญิงงามเหล่านั้นออกจากกระโจมด้วยความรวดเร็วทิ้งไว้เพียงแค่เยว่หลิงที่ยืนขาสั่นงันงกอยู่ตรงหน้าเขาเพียงลำพัง
นางไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ตัวนางสั่นอยู่ในตอนนี้เป็นเพราะว่านางกลัวเขาหรือเป็นเพราะในร่างกายของนางเวลานี้นั้นเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างผิดปกติ
นางจำได้ว่าก่อนจะเข้ามาที่ค่ายทหารนี้นางดื่มน้ำไปเพียงแค่อึกเดียวเท่านั้น
‘น้ำธรรมดาแค่อึกเดียวเองนะ ให้ตายสิหรือว่าในน้ำนั้นถูกผสมยาปลุกกำหนัดไว้อย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงได้สะเพร่าถึงเพียงนี้กันนะ’
“มานี่สิ”
“คือว่าท่านอ๋องข้าเพียงแค่”
“เจ้าคงอยากไปเป็นนางโลมของทหารข้ามากสินะ ถึงได้กล้าขัดใจข้า”
“ไม่ใช่เพคะ ข้าเพียงแต่จะบอกท่านว่าข้าไม่ใช่หญิงคณิกา”
“ก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย”
“พิสูจน์? พิสูจน์อย่างไร”
เยว่หลิงที่กำลังยืนใจลอยเพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่กำลังเล่นงานนางอยู่นั้นก็พลันสะดุ้งตกใจที่อยู่ๆหลี๋อ๋องก็ดึงตัวของนางไปนั่งบนตักของเขา
“พิสูจน์สิว่าเจ้าไม่ได้เป็นเช่นเหล่าสตรีพวกนั้น”
“ทะ ท่านก็ปล่อยข้าสิ”
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนไปจริงๆน่ะหรือ”
“ทะ ท่านอ๋องปล่อยข้านะ”
“อะ อื้อ ปล่อยข้า”
หลี๋อ๋องจูบนางไม่ยอมปล่อยก่อนจะรวบร่างของนางขึ้นไว้ในอ้อมแขนแล้วตรงเข้าไปยังเตียงนอนทันที
ที่นอกกระโจมหลังนั้นมีบุรุษสามคนนั่งสนทนากันอยู่ไม่ไกลกันนัก
“นางเป็นใครเหตุใดถึงไปต้องตาท่านอ๋องได้” แม่ทัพเหอเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกหลังจากออกมาจากกระโจม
“ข้าก็ไม่คิดว่าหลี๋อ๋องจะสนใจในตัวสตรีผู้นั้นเช่นกัน” ซือหนานกงเพียงเอ่ยออกมาสั้นๆก่อนจะหันไปมองยังกระโจมนั้นอีกครั้ง แววตานิ่งลึกของเขานั้นทำให้แม่ทัพเหอแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจจะถามอันใด
“หลี่จิ่งเจ้าไปพานางมาจากที่ใด”
“นางมากับเหล่าหญิงงามพวกนั้นแต่นางก็เป็นเพียงสตรีจากหอนางโลมไม่ใช่หรือ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ข้าอยู่กับท่านอ๋องมานานไม่เคยเห็นเขาสนใจสตรีคนไหนมาก่อนยิ่งเป็นสตรีจากหอนางโลมด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้”
แม่ทัพเหอเอ่ยออกมายิ่งทำให้คนที่เหลือถึงกับคิดหนักไปตามๆกัน
“เหตุใดเจ้าไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนเล่า หากว่าเป็นสายของพวกเผ่าเจียงหนานล่ะท่านอ๋องมิแย่หรอกหรือ”
“คงไม่ใช่พวกนั้นหรอกกระมัง ท่านอ๋องเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้นย่อมมองออกว่านางเป็นเพียงสตรีจากหอนางโลมหรือเป็นสายเข้ามาสืบข่าวกันแน่”
“ก็ไม่แน่หรอกนางงดงามถึงเพียงนั้น ท่านอ๋องอาจจะเลอะเลือนไปบ้างก็เป็นได้”
“พวกท่านเห็นใบหน้าของนางแล้วงั้นหรือ” หลี่จิ่งถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้จะเป็นคนจัดการนำสตรีเหล่านั้นเข้ามาในค่ายทหารแห่งนี้แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่คัดเลือกพวกนางด้วยตนเอง สตรีเหล่านั้นเป็นซือหนานกงที่คัดเลือกมาก็คงจะใช่ที่ว่าเขาอาจจะเคยเห็นใบหน้าของนางมาก่อนแล้ว
“แล้วเจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร” แม่ทัพเหอถึงกลับต้องดุเขาทันใดเมื่อพึ่งรับรู้ว่าเขาไม่คิดจะตรวจทานสิ่งใดก่อนจะส่งไปให้ท่านอ๋องเลย
“ใครจะไปทันได้มองกันเล่าพวกนางเข้ามาได้เพียงครู่เดียวก็ถูกท่านอ๋องไล่กลับออกไปแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวโทษทัณฑ์จึงเผ่นออกมาเป็นคนแรกหรอกหรือ”
“ใช่ที่ไหนกันข้าก็แค่รู้สึกว่าข้างในนั้นคับแคบ อยากให้ท่านอ๋องสำราญใจกับเหล่าสตรีพวกนั้นจึงถอยให้ต่างหากคนอย่างข้าหรือจะทิ้งพวกพ้อง”
“เฮอะๆ ช่างเถอะเฝ้าดูอยู่ห่างๆก็พอ หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ช่วยท่านอ๋องทัน”
“อืม”
บุรุษทั้งสามต่างก็นั่งเฝ้าอยู่หน้ากระโจมอยู่เป็นเวลานานสองนานทั้งตบยุงที่บินมากวนทั้งชะเง้อคอมองไปยังประตูกระโจมแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของการต่อสู้ใดๆเกิดขึ้น แต่กลับมีเพียงเสียงครวญครางดังแว่วออกมาจากกระโจมนั้นเป็นระยะๆ
“เจ้าว่าใช่หรือไม่”
“ข้าไม่รู้”
“ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ”
“เฮ้อ….อุตส่าห์เฝ้าอยู่ตั้งนานสองนาน สุดท้ายก็…”
“เอาน่า ไปนอนกันเถอะ”
“อืม”
บุรุษทั้งสามที่ใจจดใจจ่อกับหลี๋อ๋องอยู่นั้นเป็นต้องส่ายหัวให้กันเบาๆ พวกเขามีสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก่อนจะเดินกลับกระโจมของตนเองไปคนละทิศละทาง
ภายในกระโจมพักของหลี๋อ๋องอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเคลียดไม่น้อย เพราะเวลานี้เสือขาวหิมะตัวใหญ่ยักษ์กำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่นั่นเอง
“อ๊าส์ อ๊ะ ซ้ายหน่อยๆ”
“เหตุใดเจ้าถึงเรื่องมากเช่นนี้”
"ท่านจะขัดใจข้าหรือ เร็วเข้าสิ”
“รู้แล้วน่า”
“อ๊าาาส์ ฝีมือนวดของท่านใช้ได้เลยนะ นั่งรถม้านานไปหน่อยหลังของข้าระบมไปหมดแล้ว”
หลี๋อ๋องมองนางด้วยแววตามืดมน หากไม่ใช่ว่าเจ้าเสือขาวตัวนั้นยืนคุมอยู่ด้านหลังของเขาล่ะก็ มีหรือที่เขาจะยอมรับใช้นางเช่นนี้
"ข้าเป็นถึงองค์ชายทั้งยังควบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ เจ้ากล้าใช้งานข้าได้อย่างไร"
"แต่เมื่อครู่ท่านจูบข้านะ"
“เจ้าโดนวางยาปลุกกำหนัดไม่ใช่หรือ ข้าก็เพียงอยากจะถอนพิษให้ก็เท่านั้น"
“เฮอะ! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีฉายาหมอพิษมีหรือที่พิษแค่นี้จะทำอะไรข้าได้”
"แน่ใจนะว่าเจ้าเป็นองค์หญิงตัวจริง"
"คุณชายหลี่ท่านใจร้ายเสียจริงนะ ลืมข้าไปแล้วได้อย่างไร ท่านเห็นตรานี่หรือไม่เล่า สัญลักษณ์เช่นนี้มีเพียงองค์หญิงเป่ยฉีเท่านั้นที่ครอบครองมันได้และไม่ใช่ว่าองค์หญิงทุกคนจะมี ที่สำคัญเป็นสิ่งของที่อู๋ซ่างหวงทรงประทานให้ด้วยองค์เอง”
"เจ็ดปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ใครจะไปจำอะไรได้ถึงเพียงนั้นกันล่ะ แล้วเจ้ามาที่นี่ต้องการอะไร”
“อำนาจทางการทหารของท่านอย่างไรเล่า”
“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าดำรงตำแหน่งเป็นองค์หญิงของเมืองเป่ยฉีแล้วเจ้าจะสามารถควบคุมข้าได้เช่นนั้นหรือ”
“ในตัวของท่านมีพิษอยู่ไม่ใช่หรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ก็อย่างที่บอก ข้ามีความสามารถในการใช้พิษแค่ได้กลิ่นข้าก็รู้แล้วว่าคือพิษชนิดใด”
“เจ้าเป็นหมางั้นหรือ”
“ท่านอยากตายหรือ”
“เอาน่า หากเจ้าเก่งกาจเพียงนั้นแล้วมาขอความช่วยเหลือจากข้าทำไม”
“ข้าบอกสิ่งที่ต้องการจากท่านไปแล้ว ข้าสามารถถอนพิษให้ท่านได้ขอแค่ท่านยอมทำตามในสิ่งที่ข้าต้องการ”
เยว่หลิงยิ้มร้ายกาจให้เขา
‘ไม่น่าหลวมตัวรู้จักกับนางตั้งแต่ทีแรกเลยจริงๆ’
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วขอรับท่านอ๋อง”“ดี”สองสหายคนสนิทและสององค์รักษ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋องอยู่นั้นก็เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอยู่ไม่วางตาแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไป พลันประตูกระโจมของหลี๋อ๋องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของใครบางคน เหล่าบุรุษที่ยืนสนทนากันอยู่ตรงนั้นก็หันไปมองทันที“นั่นไม่ใช่สตรีจากหอนางโลมเมื่อคืนนี้หรอกหรือ เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่กัน”“ข้าจะไปรู้หรือ”ตงหยางตอบหลี่จิ่งกลับด้วยเสียงอันเบาด้วยกลัวว่าท่านอ๋องของพวกเขาจะได้ยินเข้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่เพราะเมื่อเช้าตรู่เขาเป็นคนส่งเหล่าคณิกาพวกนั้นขึ้นรถม้าเพื่อกลับเข้าไปในเมืองแล้วนั่นเองเยว่หลิงเดินออกมาจากกระโจมก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี๋อ๋อง ใบหน้าของนางตอนนี้นั้นช่างดูสดใสต่างจากท่านอ๋องของพวกเขาเสียจริง“ท่านปวดหลังหรือไม่ เอวของท่านยังอยู่ดีไหม”“อย่ายุ่งน่า”เหล่าสหายและองค์รักษ์ของเขาต่างก็ตาโตทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สตรีผู้นั้นเอ่ยถามหลี๋อ๋องออกมาหลี๋อ๋องหันไปมองสตรีผู้นั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคืนเขายกเตียงนอนหนานุ่มของเขาให้นางส่วนตัวเขานั้นกลับต้
‘ปวดหัวเสียจริง ให้ตายสิใครช่างกล้าทำกับข้าเช่นนี้กันนะ’เยว่หลิงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วแต่เพราะความรู้สึกปวดหนึบที่ศรีษะทั้งสองข้างนั้นทำให้นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งเปลือกตาบางของนางค่อยๆแย้มกระพริบขึ้นทีละนิดจนเริ่มมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนนางยันตัวลุกขึ้นก่อนที่สายตานั้นจะเหลือบไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างจากนางเพียงไม่ถึง 1 จิ้ง[1]วงหน้าของเขานั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเส้นผมสีดำเงางาม นัยต์ตาที่เรียวยาวราวกับเหยี่ยวมีแก้วตาสีแดงสดพราวระยับดุจอัญมณี ดูลึกลับแต่สะกดสายตาให้หยุดมอง นางไล่สายตาไปทั่วร่างของเขาจนเจ้าของร่างนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของนาง“เจ้าจะสำรวจข้าอีกนานไหม”“แล้วเจ้าเป็นใคร”“ไม่คิดจะกลัวข้าบ้างหรืออย่างไร”เยว่หลิงเอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากสร้างความประหลาดใจให้แก่บุรุษผู้นั้นเป็นอย่างมาก“หงอี้เข้ามาข้างในนี้ที”“ขอรับนายท่าน”สิ้นคำบอกกล่าวก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านในกระโจมด้วยความรวดเร็ว ลักษณะการเดินที่มั่นคงและคล่องแค
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
กว่าทั้งคู่จะกลับถึงจวนก็เป็นเวลายามเซิน (15.00-17.00 น.) แล้ว เมื่ออาชาของหลี๋อ๋องวิ่งเข้าใกล้จวนเจ้าเมือง พลันสายตาของเยว่หลิงก็เหลือบไปเห็นเงาของสัตว์บางอย่างมันกำลังยืนหลบอยู่ตรงข้างๆกำแพงจวนแต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งเงานั้นก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว“เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”“อ้อ พระจันทร์น่ะเพคะงดงามมาก”“ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร”“ช่างเถอะข้าไม่พูดกับท่านแล้ว”เมื่อม้าของเขาหยุดนิ่งสนิทตรงหน้าประตูจวน เยว่หลิงก็เอี้ยวตัวกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว“เดี๋ยวสิ! เจ้าอยากขาหักหรืออย่างไร”“ข้าขี่ม้าเป็นน่า”เมื่อลงจากหลังม้าและก้าวออกห่างจากตัวหลี๋อ๋องได้แล้วนางก็ตั้งท่าจะเข้าไปยังเรือนพักทันที“พระชายาท่านกลับมาแล้ว”“อืม เหนื่อยจะแย่ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”“หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พระชายาแล้วเพคะ”
เยว่หลิงหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอาหารที่เคี้ยวยังไม่ละเอียดก็พลันหลุดติดคอของนางเรียกความสนใจจากหลี๋อ๋องในทันที“ก็ข้าบอกแล้วว่าให้กินช้าๆ”“แค่ก แค่ก น้ำ น้ำ”เขายื่นถ้วยน้ำชามาตรงหน้านาง เยว่หลิงรีบยกขึ้นดื่มทันทีก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเอากาน้ำชามารินให้นางเพิ่มแต่เมื่อหันมาอีกครั้งก็พบว่าหญิงสาวด้านข้างเขานั้นนั่งกินอาหารต่ออีกแล้ว“สำลักอาหารเกือบจะตายไปแล้ว ทำไมยังกินต่อได้อีกล่ะ”“ท้องของข้ายังว่าง รับอาหารได้เยอะพอสมควรเพคะ”นางไม่สนใจเขาก่อนจะคีบเอาเนื้อผัดเข้าปากน้อยๆของนางแล้วเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รักษากิริยามารยาทของหญิงงามแต่อย่างใด“ค่อยๆกินสิ จะรีบไปทำไมกันเดี๋ยวได้ติดคอตายหรอก”“ท่านแช่งข้าหรือ”“หรือไม่จริง ข้าบอกว่าให้เคี้ยวดีๆ เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันนะ”“ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้หากท่านชื่นชอบสตรีที่มากด้วยมารยาทก็ไปหาคนอื
“ใต้เท้าโจวข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องทำท่านช่วยพาพวกเขากลับเข้าเมืองไปก่อนนะ”“ได้ขอรับท่านอ๋อง”“แต่ว่าท่านอ๋อง…”หลี๋อ๋องไม่อยู่ฟังเสียงเรียกของฉางอิ๋นเซียนแต่อย่างใดเขารีบควบม้านำพาเยว่หลิงผ่านเข้าไปในตัวเมืองด้วยความรวดเร็วเมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของพวกเขาแล้ว หลี๋อ๋องก็พาเยว่หลิงควบม้าลัดเลาะมายังตรอกถนนที่ไร้ผู้คนเข้าไปเส้นทางยังป่าที่ดูเงียบสงบแต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดพิลึก"ท่านอ๋องข้าหิวข้าวแล้วไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปกินข้าวก่อนอย่างไรล่ะ""ก็นี่อย่างไรเล่าข้ากำลังจะพาไป""นี่มันป่าช้าแล้วมีร้านขายข้าวที่ไหนกัน ผ่านเข้าเมืองมาเมื่อครู่เหตุใดไม่พาข้าแวะก่อนเล่า""ทำไมเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้นะไม่รู้หรือของอร่อยๆ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันง่ายๆ""เฮอะๆ ขอให้จริงเถอะ"พูดคุยกันไปได้สักพักอาชาสีดำสนิทของหลี๋อ๋องก็พาพวกเขาทั้งคู่มาถึงเรือนแห่งหนึ่งโครงสร้างเรือนที่ดูธรรมดาๆ แต่เมื่อดูให้ชัดเจน
เจ้าเมืองเล่ออานนำพาคนทั้งหมดมาที่หุบเขาเหอหนานซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองเล่ออาน ด้วยกลัวว่าโรคระบาดจะลามไปทั่วเมืองเขาจึงต้องนำผู้ป่วยมารักษาที่หุบเขาแห่งนี้แทนเพียงไม่นานก็ขึ้นเขามาถึงบริเวณที่ใช้รักษาคนที่ติดเชื้อ เยว่หลิงเดินตามพวกเขามาจนถึงกระโจมหลังหนึ่งที่เวลานี้บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่นอนรักษาตัวกันเต็มไปหมด“ท่านหมอขอรับ ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”เยว่หลิงที่เดินตามพวกเขามาเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันใด‘แผ่นหลังนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง’นางมองไปที่หมอหญิงผู้นั้นอีกครั้งด้วยความสงสัยแต่ท่านหมอผู้นั้นกลับไม่ยอมหันกลับมามองพวกเขาเสียที“ท่านอ่องขออภัยด้วย ข้าต้องรักษาบาดแผลของผู้เฒ่าผู้นี้ไม่สะดวกที่จะหันไปสนทนากับท่านในเวลานี้”“ไม่เป็นไรขอรับท่านหมอ ตงหยางเจ้าพาพระชายาไปนั่งรอทางนั้นก่อนข้าจะสนทนากับท่านหมอเสียหน่อย”“พ่ะย่ะค
‘ด่าได้เร้าใจมาก’“ข้าดูแลตัวเองได้น่า”“ลงไปกับข้า”“ก็ได้ ว๊าย! เหตุใดไม่ให้ข้าเดินลงบันไดไปเล่า”“ข้ายังมีงานต้องทำมัวชักช้ามันเสียเวลา”เมื่อทั้งคู่ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าเมืองเล่ออานก็รีบเข้ามาหาพวกเขาทันที“ท่านอ๋อง พระชายา”“ท่านคือ?...”“เขาคือเจ้าเมืองเล่ออานนามว่าหวังตี๋เฟย”“ดีใจที่ได้พบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเป็นใยชาวเมืองเล่ออานมากพ่ะย่ะค่ะ”เยว่หลิงได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เขาเพราะถูกหลี๋อ๋องจ้องมองอยู่ไม่วางตา“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้างั้นหรือ”“มีสิมีแน่แต่ไว้หลังจากข้ากลับมา เจ้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าจะโดนอะไร”เยว่หลิงไม่สนใจที่เขาขู่ไม่ทันจะตอบโต้เขาไปก็ได้ยินเสียงบ
การเดินทางไปเมืองเล่ออานใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นเพราะระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวงนัก จึงทำให้ฮ่องเต้เป็นกังวลเรื่องโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นอย่างมากจึงมีรับสั่งให้หลี๋อ๋องไปจัดการควบคุมด้วยตัวเองระหว่างการเดินทางหลี๋อ๋องควบม้าไปด้านหน้าขบวนส่วนรถม้าที่บรรจุห่อยาและเสบียงนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายาแอบตามมาด้วยเมืองเล่ออานอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าหลี่และแผ่นดินฝั่งตะวันออกนี้ก็อยู่ติดกับเขตแดนเหนือของแคว้นเป่ยฉีนั่นเองขบวนรถม้าของหลี๋อ๋องเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เมืองเล่ออานมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางนั้นมีแต่ความเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนครั้งที่เขาเคยมาเยือนเมื่อเจ็ดปีก่อน ในครั้งอดีตที่เคยรุ่งเรืองผู้คนที่มากหน้าหลายตากลับสูญสลายหายไปสิ้นเพราะโรคระบาดที่ไม่อาจยับยั้งได้ในครานี้เมื่อก้าวผ่านประตูเมืองไปแล้วชาวบ้านละแวกนั้นก็เริ่มทยอยกันออกมายืนเฝ้ามองดูกันเต็มทั้งสองข้างทาง หลี๋อ๋ององค์ชายลำดับที่สี่ของฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่มาที่เมืองของพวกเขาช่างน่ายินดียิ่งนักเพราะน้อยครั้งมากที่จะเห็นคนในราชวงศ์ห่วงใยประชาชนและลงมาดูแลพว
ยามเหม่า (05.00-07.00น.)เมื่อคืนนี้กว่าหลี๋อ๋องจะหลับตาลงได้ก็เป็นเวลาเกือบยามสามแล้ว (23.00-01.00น.) เป็นเหตุให้เช้านี้เขาตื่นสายกว่าทุกวัน เมื่อหันไปมองเตียงของนางกลับพบเพียงความว่างเปล่าหลังจากลุกได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหลี่จิ่งองค์รักษ์คนสนิทของเขาร้องเรียกที่หน้าประตูห้อง“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“มีอะไร”“ท่านอ๋องมาดูนี่เร็วเข้า”‘คงไม่มีอะไรหรอกนะ’เมื่อเดินตามหลี่จิ่งมาจนถึงสวนอุทยานที่เขาลงทุนสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขาแข้งขาอ่อนลงทันใด“ท่านอ๋องคือว่าข้าน้อยห้ามนางแล้วแต่ว่า….”หลี๋อ๋องหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้“เจ้าทำอะไรกับสวนของข้า!”“หืม ทำไมหรือ”“ยังจะกล้าถามอีก นั่นอะไร”“เอ๋ ท่านไม่รู้จักหมูหรอกหรือ ข้าว่ามันน่ารักออกนะเพคะ”“เจ้าปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นในสวนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”“ข้าเห็นมันอยู่ตัวเดียว น่าจะเหงาจึงให้มันออกมาวิ่งเล่นก็เท่านั้น”“เยว่เหวินหลิง!”“ว่
-เจ็ดวันผ่านไป-ขบวนกองทัพของหลี๋อ๋องเคลื่อนพลจากชายแดนเหนือกินเวลาไปสิบสองวันเต็มๆ ในที่สุดก็เข้าสู่เมืองหลวงต้าหลี่ ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนี้เขาไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไรเช่นนี้มาก่อนเหมือนกับครั้งนี้เลย‘นี่เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางกลับมาด้วย สตรีผู้นี้ไม่ว่าง่ายเฉกเช่นสตรีคนอื่นเลยจริงๆ’เมื่อเข้าสู่ประตูเมืองสองข้างทางนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมายืนมุงดูพวกเขาแล้วก็ยังมีขบวนรถม้าของสตรีชั้นสูงถูกตกแต่งอย่างงดงามน่าจะมาจากหลายๆแคว้นด้วยกัน ต่างก็หยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูเมืองเพื่อรอคอยเข้าสู่เมืองหลวงนั่นเองบรรดาองค์หญิงจากต่างแคว้นที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต่างก็เลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อชื่นชมขบวนกองทัพของหลี๋อ๋อง แววตาของสตรีที่มองมาที่เขานั้นช่างหวานหยดเยิ้นเหมือนดั่งเจ้าหญิงที่ตกหลุมรักเจ้าชายอย่างไรอย่างไรนั้น‘เสน่ห์แรงเสียจริง’“ท่านอ๋อง นั่นเป็นขบวนรถม้าขององค์หญิงจากแคว้นต่างๆ มาเพื่อแต่งงานเจริญสัมพันไมตรีกับต้าหลี่ของเราพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว”หลี๋อ๋องไม่ได้หยุดชื่นชมเหล่าสา
ซือเยว่ได้แต่ยืนไว้อาลัยให้ชุดที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ นางเป็นใครเขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนช่างกล้ามาอาเจียนใส่เขาได้อย่างไรกัน เมื่ออาเจียนจนหมดแรงเยว่หลิงก็เมาหลับไปบนโต๊ะอาหารนั้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย“เฮ้อ เจ้านี่มันช่างแตกต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบเสียจริง” เขาค่อยๆถอดเสื้อออกอย่างเบามือด้วยกลัวว่ามือที่ใสสะอาดของเขาจะแปดเปื้อนอาหารที่นางอาเจียนออกมา“หงอี้!”“ขอรับ” หงอี้ที่ยังรออยู่นอกกระโจม เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะอาหารก็ถึงกับรีบปิดจมูกทันที‘กลิ่นอาเจียนนั้นมาจากไหนกัน หรือว่า!’“ไปเรียกสาวใช้มาจัดการต่อที”“ขอรับนายท่าน”เมื่อหงอี้ออกจากกระโจมไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะช้อนตัวนางขึ้นไว้แนบอกแล้วอุ้มนางไปนอนบนเตียงของเขา“ให้ตายสิ จะขู่ให้เจ้ากลัวจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียหน่อยแต่ดันกลับกันเสียได้ นอนเสียให้พอใจไปเลยข้าอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนนุ่มนิ่มของข้าให้เจ้าเลยนะ”“เฮ้อ…นี่ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย หลี๋อ่องชอบสตรีเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันนะ”ข