บทที่ 43 เดินทางถึงเมืองเหนือตั้งแต่เกิดมา จ้าวเยว่เองก็เพิ่งเคยมาเมืองอื่นเป็นครั้งแรก จึงได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก บรรยากาศภายในเมืองเซี่ยงตงคึกคักยิ่ง ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมามากมาย อาคารบ้านเรือนอาจจะมีลักษณะที่แตกต่างจากเมืองหลวงอยู่บ้างการแต่งกายของชาวเมืองที่นี่ก็ดูสะอาดสะอ้าน ไม่ได้ต่างจากเมืองหลวงเลย อาจจะแค่หรูหราน้อยกว่าหน่อยก็เท่านั้นที่แปลกที่สุด ก็คือเมืองเซี่ยงตงแห่งนี้มีร้านค้ามากมายเต็มไปหมด บ้านทุกหลังแทบจะเปิดเป็นร้านค้า สินค้าก็มีมากมายทั้งผ้าแพรพรรณ อัญมณี เครื่องเคลือบ เครื่องจักรที่ทำจากไม้ ไปตลอดจนข้าวปลาอาหาร จ้าวเยว่เคยเห็นสินค้าเหล่านี้ขายอยู่ในเมืองหลวงด้วย นับได้ว่าเป็นเมืองแห่งการค้าที่แท้จริงเพื่อสะดวกในการสอบถามเส้นทาง จ้าวเยว่จึงลงจากหลังม้าแล้วจูงม้าเข้าไปภายในเมือง นางหยุดที่ร้านขายขนมเปี๊ยะทอดร้านหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม“พี่สาว จวนท่านเจ้าเมืองไปทางไหนหรือเจ้าคะ”“เจ้าเดินตรงไปจนสุดทาง จะมีทางบังคับให้เจ้าเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปอีกหน่อย เห็นทางแยกก็เลี้ยวขวาอีกที จากทางแยกไม่ไกลจะมีจวนหลังใหญ่ กำแพงทำด้วยอิฐสีเขียวอมเทา ป้ายขนาดใ
บทที่ 44 รักษาตัวในขณะที่จ้าวเยว่กำลังยิ้มทั้งน้ำตาอยู่นั้น เสวี่ยช่างเจิ้นกลับทำหน้าดุใส่นาง ชายหนุ่มรู้ว่านางมาที่นี่เพื่อเขา แต่ที่นี่อันตรายเกินไปที่จะให้นางอยู่ด้วย เนื่องจากการศึกยังไม่จบสิ้น เขายังปราบโจรได้ไม่หมด ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการทำศึกอีกครั้งเป็นแน่ และครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นศึกที่หนักหนาสาหัสเพียงใด ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามสุดความสามารถที่จะรักษาเมืองเซี่ยงตงแห่งนี้เอาไว้ให้ได้ แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ ว่าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น“เจ้ามาได้อย่างไร” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงของเขาอย่างอยากรู้ เพราะการเดินทางมาถึงที่นี่ก็อันตรายเกินไปสำหรับสตรีเพียงผู้เดียว“ข้าก็ขี่ม้ามา” จ้าวเยว่ตอบด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าตลอดเส้นทางที่เจ้ามานั้นอันตรายเพียงใด ที่ผ่านมาได้นั้น ก็เพราะความโชคดีของเจ้า แต่คนเราก็ใช่ว่าจะโชคดีเสมอไป” เสวียช่างเจิ้นเอ่ยดุขึ้นเมื่อเห็นนางยิ้มอย่างภูมิใจอย่างนั้นจ้าวเยว่เพียงคิดในใจ ว่าตลอดทางที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพราะความโชคดีของนางหรอก เป็นเพราะความสามารถของนางล้วน ๆ ที่นางสามารถเอาชนะโจรป่าสองคนนั้นมาได้ ถ้าหากเขาได้
บทที่ 45กลับค่ายพร้อมฮูหยินเสวี่ยช่างเจิ้นช่างเป็นสามีที่เชื่อฟังภรรยาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจ้าวเยว่เอ่ยจบ เขาก็ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด“ครั้งที่แล้วพวกมันทำให้ข้าคับแค้นใจยิ่งหนัก ข้าก็ผิดเองที่ไม่ทันระวังตัว หลงในอุบายของมัน ครั้งนี้ข้าจะต้องกำจัดพวกมันให้จงได้” เสวี่ยช่างเจิ้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเมื่อได้ยินเสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยถึงการศึกเมื่อครั้งก่อน ที่ตนเพลี่ยงพล้ำ จ้าวเยว่ก็สนใจขึ้นมา เนื่องจากนางเป็นคนที่ชื่นชอบ การศึกการสงครามอยู่แล้ว จึงตื่นเต้นกับเรื่องที่ได้ฟังอย่างมาก ก็เลยรบเร้าให้สามีเล่าต่อ“ท่านเล่าข้าฟังหน่อยสิ ว่าท่านเพลี่ยงพล้ำได้อย่างไร”“เหตุใดเจ้าถึงได้สนใจเรื่องพวกนี้ ผิดวิสัยสตรียิ่งนัก”จ้าวเยว่ยืดอกขึ้นมาอย่างวางท่า ก่อนจะตอบไปว่า“ท่านลืมแล้วหรือ ว่าพี่ชายของข้าผู้หนึ่งเป็นถึงรองแม่ทัพ อีกผู้หนึ่งก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ ข้าเล่นกับพวกเขาตั้งแต่เด็กจนโต ก็ย่อมต้องมีซึมซับเข้าไปบ้าง”“แล้วเจ้าได้ฝึกวรยุทธ์หรือไม่” เสวี่ยช่างเจิ้นถามอีก คราวนี้เขามองนางด้วยความสนใจมากขึ้น“ก็ฝึกมาบ้างแต่อย่าได้ไปเทียบกับผู้อื่นเลย ท่านรีบเล่ามาเ
บทที่ 46 วางแผนปราบโจรกระโจมท่านแม่ทัพภายในกระโจมของเสวี่ยช่างเจิ้น ตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่นเกาะตามสิ่งของเต็มไปหมด เนื่องจากเขาไปรักษาตัวอยู่ที่จวนเจ้าเมืองเสียนาน และเหล่าทหารที่นี่ ก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการวางแผนและฝึกการรบ จึงไม่มีผู้ใดมาทำความสะอาดกระโจมให้“เจ้าไปเตรียมถังน้ำกับผ้ามาให้ข้าที” จ้าวเยว่หันไปบอกกับทหารที่พานางมาที่กระโจม“ขอรับ” ทหารนายนั้นตอบรับ ก่อนจะวิ่งหายไปมองไปที่พื้นก็เห็นข้าวของก็วางระเกะระกะเต็มไปหมด อาจจะเพราะตอนที่เสวี่ยช่างเจิ้นได้รับบาดเจ็บกลับมา คงจะวุ่นวายกันน่าดู จ้าวเยว่หยิบของพวกนั้นขึ้นมา แล้ววางไว้ที่โต๊ะก่อนนายทหารนั้นวิ่งกลับมาพร้อมของที่จ้าวเยว่สั่ง พร้อมกับ เอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าเป็นคนทำดีกว่าขอรับ ฮูหยินนั่งรออยู่ตรงนี้ดีกว่า”“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการที่นี่เอง” จ้าวเยว่บอกพร้อมโบกไม้โบกมือให้เขาออกไปจากนั้นนางก็ลงมือทำความสะอาด ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม จ้าวเยว่ก็ทำความสะอาดกระโจมของเสวี่ยช่างเจิ้นเป็นที่เรียบร้อยภายในกระโจมดูสะอาดจนเหมือนกับว่าเพิ่งกางกระโจมขึ้นมาใหม่เลยทีเดียว นางมองไปรอบกระโจมอย่างภาคภูมิใจเพราะนี่คืองานทำความ
บทที่ 47 จัดการกวาดล้างกระโจมบัญชาการยังคงมีแม่ทัพนายกองราวสิบกว่าคน ยืนจ้องกระบะทรายสำหรับวางกลยุทธ์กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ากลัววจะสู้ศัตรูไม่ได้ ทว่ามันอยู่ที่จะล่อศัตรูอย่างไรให้มาติดกับได้นั่นเอง“ข้าว่าเนินกว้างที่หน้ากำแพงเมืองนั้น ยังไม่ใช่ที่เหมาะสมที่จะล่อศัตรูมา เพราะว่าถึงอย่างไร ที่นั่นก็เคยเป็นสมรภูมิรบมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกมันย่อมรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี หรือไม่ พวกมันก็อาจจะวางแผนตลบหลังพวกเรามาแล้วเสียด้วยซ้ำ”เสวี่ยช่างเจิ้นกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“ข้าก็เห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ” หลิวเส้าหลงเอ่ยสนับสนุนความคิดนี้ของท่านแม่ทัพทุกคนในกระโจมมองหน้ากันไปมา ราวกับจะปรากฎคำตอบบนหน้าของผู้อื่น จากนั้นก็กลับลงไปมองที่กระบะทรายอีกครั้ง โดยที่ยังไม่มีใครเอ่ยว่ากระไร“รอหัวหน่วยสอดแนมกลับมาก่อนเถิด เขาอาจจะมีวิธีอะไรดี ๆ ก็เป็นได้” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยขึ้นในที่สุดเสียงสืบเท้าแผ่วเบาก้าวเข้ามาในกระโจม ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าเสียงฝีเท้าที่นุ่มนวลขนาดนี้ ย่อมเป็นของสตรีอย่างแน่นอน จ้าวเยว่เดินเข้ามาพร้อมสำรับอาหารในมือ แล้วจึงวางลงกับโต๊ะทำงานของเส
บทที่ 48ลูกธนูปริศนาค่ายกลแปดทิศนั้น เป็นค่ายกลการตั้งรับที่มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม มีลักษณะตั้งเป็นวงกลม โดยมีทหารตั้งกองกำลังย่อยเป็นกลุ่มอยู่ทั้งหมดแปดทิศ ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เมื่อกองกำลังย่อยแปดทิศนี้เชื่อมต่อกัน ก็จะกลายเป็นกำแพงทหารที่เป็นวงกลมล้อมรอบจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่อยู่ตรงกลาง ผู้ที่เป็นทหารจะต้องเข้าใจค่ายกลนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นค่ายกลที่ดีที่สุดในการตั้งรับ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ค่ายกลนี้มักจะได้ผลเสมอ หากกำลังของทั้งสองฝ่ายไม่แตกต่างกันมากเกินไป“พลทหารหนึ่งหมื่นแปดพันนาย ล่อพวกมันมาที่ทุ่งกว้างนี้แล้วให้อีกสามหมื่นนาย ตั้งค่ายกลแปดทิศรอรับพวกมันที่กลางทุ่ง ที่เหลืออีกสามหมื่นสองพันนาย แบ่งออกเป็นสองกอง กองละหนึ่งหมื่นหกพันนาย ซ่อนตัวอยู่ในป่าด้านข้าง เตรียมเข้าโจมตีขนาบพวกมัน” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยแผนการทั้งหมดออกมา“น้อมรับคำสั่ง” นายกองต่าง ๆ ก้าวออกจากกระโจมไปเพื่อที่จะไปสั่งการทหารของตน ในกระโจมบัญชาการเหลือเพียงแค่เสวี่ยช่างเจิ้น รองแม่ทัพเว่ย แล้วก็หลิวเส้าหลงเท่านั้น“พวกเราก็ไปกันเถอะ” เสวี่ยช่างเจิ้นกล่าวพร้อมก้าวนำทั้งสองออกมาขึ้นม้า ควบขี่ไปยังทิศทางที
บทที่ 49 ความสามารถที่น่าตกใจซื่อเก่อเผ่นหนีไปตั้งแต่จ้าวเยว่ยิงธนูใส่ทัวป่าแล้ว มันคับแค้นใจยิ่งนัก ที่ครั้งนี้สู้ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมาเสียรองหัวหน้าโจรผู้เปรียบดั่งน้องชายแท้ ๆ ไปอีก มือธนูอันดับหนึ่งของแคว้นเฉินฮั่นเองก็ไม่ได้เรื่อง ไม่สมดั่งคำร่ำลือเลยแม้แต่น้อยสู้สตรีผู้หนึ่งยังมิได้ มันสั่งให้พวกโจรถอนกำลังกลับไปตั้งหลัก หารือกันเสร็จเมื่อไหร่ค่อยยกพวกมาทำศึกกับเสวี่ยช่างเจิ้นอีกครั้ง“พวกมันถอนกำลังอีกแล้ว” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพวกโจรวิ่งล่าถอยกลับทางเดิม“พวกมันต้องมีแผนอีกเป็นแน่” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นเสวี่ยช่างเจิ้นหันไปมองจ้าวเยว่แล้วพยักหน้าให้“พวกเรากลับกันเถอะ ต้องไปหาทางรับมือกับพวกมัน พวกมันต้องมาอีกแน่”เมื่อกลับมาถึงค่ายที่พัก เหล่าทหารต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ที่บาดเจ็บก็พากันไปรักษา หมอที่อยู่ในเมืองเซี่ยงตงรู้ข่าวว่าเหล่าทหารกลับมาจากการสู้รบ ก็รีบสะพายล่วมยากันออกมาจากประตูเมือง เพื่อมารักษาทหารในค่าย แต่ว่าเสวี่ยช่างเจิ้นก็ไม่ได้ประมาท ยังคงจัดเวรยามเฝ้าค่ายพักเอาไว้ เผื่อว่าพวกโจรมาโจมตีตอนที่พวกเขาเผลอ“เชิญฮูหยินเข้าไปร่วมประชุมกับพวกเราด้วยเถอะ ห
บทที่ 50 ถูกทอดทิ้ง“เนินกว้างหน้ากำแพงเมืองก็ใช้ไปแล้ว ล่อข้าศึกมาโจมตีที่ทุ่งกว้างก็ทำไปแล้ว ต่อไปคงต้องหาสมรภูมิรบใหม่ ใช่หรือไม่”นายกองผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นเขาก็เสนอความคิดอีกว่า “ส่งหน่วยสอดแนมออกไปสำรวจหาพื้นที่อีก ดีหรือไม่ขอรับ”แต่ความคิดนี้ก็ถูกสกัดโดยหลิวเส้าหลง เขากล่าวออกมาว่า “ต่อให้พวกเราหาสมรภูมิรบใหม่ได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะหลอกล่อพวกมันมาได้อีก ครั้งที่แล้วพวกเราใช้วิธีนี้ไปแล้ว ไม่อาจใช้เป็นครั้งที่สองได้อีกต่อไป”“จริงอย่างที่ท่านหัวหน้าทหารราบถือทวนกล่าวมา พวกเราคงต้องคิดหาวิธีใหม่แล้วล่ะ” นายกองอีกผู้หนึ่งกล่าวเห็นด้วยกับหลิวเส้าหลงจากนั้นทุกคนต่างก็ก้มหน้าลงคิดหาหนทางอีกครั้ง บางคนถึงกับเดินไปเดินมารอบกระโจม แต่ก็ยังไม่มีใครคิดออกอยู่ดีเวลาผ่านไปร่วมชั่วยาม เสวี่ยช่างเจิ้นกำลังจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ก็มีเสียงของรองแม่ทัพเว่ยเอ่ยขึ้น“หากพวกเราตามเข้าไปจัดการมันในป่าตอนนี้จะดีหรือไม่ ไปตั้งแต่ตอนที่พวกมันยังไม่ทันได้ฟื้นตัว”เสวี่ยช่างเจิ้นเองก็คิดไว้เช่นนี้ แต่ทว่ากำลังพลของตนเองตอนนี้นั้นยังไม่พร้อมจึงปฏิเสธออกไปก่อน“เดิมทีข้าเองก็คิดเห
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน