บทที่ 48ลูกธนูปริศนาค่ายกลแปดทิศนั้น เป็นค่ายกลการตั้งรับที่มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม มีลักษณะตั้งเป็นวงกลม โดยมีทหารตั้งกองกำลังย่อยเป็นกลุ่มอยู่ทั้งหมดแปดทิศ ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เมื่อกองกำลังย่อยแปดทิศนี้เชื่อมต่อกัน ก็จะกลายเป็นกำแพงทหารที่เป็นวงกลมล้อมรอบจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่อยู่ตรงกลาง ผู้ที่เป็นทหารจะต้องเข้าใจค่ายกลนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นค่ายกลที่ดีที่สุดในการตั้งรับ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ค่ายกลนี้มักจะได้ผลเสมอ หากกำลังของทั้งสองฝ่ายไม่แตกต่างกันมากเกินไป“พลทหารหนึ่งหมื่นแปดพันนาย ล่อพวกมันมาที่ทุ่งกว้างนี้แล้วให้อีกสามหมื่นนาย ตั้งค่ายกลแปดทิศรอรับพวกมันที่กลางทุ่ง ที่เหลืออีกสามหมื่นสองพันนาย แบ่งออกเป็นสองกอง กองละหนึ่งหมื่นหกพันนาย ซ่อนตัวอยู่ในป่าด้านข้าง เตรียมเข้าโจมตีขนาบพวกมัน” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยแผนการทั้งหมดออกมา“น้อมรับคำสั่ง” นายกองต่าง ๆ ก้าวออกจากกระโจมไปเพื่อที่จะไปสั่งการทหารของตน ในกระโจมบัญชาการเหลือเพียงแค่เสวี่ยช่างเจิ้น รองแม่ทัพเว่ย แล้วก็หลิวเส้าหลงเท่านั้น“พวกเราก็ไปกันเถอะ” เสวี่ยช่างเจิ้นกล่าวพร้อมก้าวนำทั้งสองออกมาขึ้นม้า ควบขี่ไปยังทิศทางที
บทที่ 49 ความสามารถที่น่าตกใจซื่อเก่อเผ่นหนีไปตั้งแต่จ้าวเยว่ยิงธนูใส่ทัวป่าแล้ว มันคับแค้นใจยิ่งนัก ที่ครั้งนี้สู้ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมาเสียรองหัวหน้าโจรผู้เปรียบดั่งน้องชายแท้ ๆ ไปอีก มือธนูอันดับหนึ่งของแคว้นเฉินฮั่นเองก็ไม่ได้เรื่อง ไม่สมดั่งคำร่ำลือเลยแม้แต่น้อยสู้สตรีผู้หนึ่งยังมิได้ มันสั่งให้พวกโจรถอนกำลังกลับไปตั้งหลัก หารือกันเสร็จเมื่อไหร่ค่อยยกพวกมาทำศึกกับเสวี่ยช่างเจิ้นอีกครั้ง“พวกมันถอนกำลังอีกแล้ว” เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพวกโจรวิ่งล่าถอยกลับทางเดิม“พวกมันต้องมีแผนอีกเป็นแน่” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นเสวี่ยช่างเจิ้นหันไปมองจ้าวเยว่แล้วพยักหน้าให้“พวกเรากลับกันเถอะ ต้องไปหาทางรับมือกับพวกมัน พวกมันต้องมาอีกแน่”เมื่อกลับมาถึงค่ายที่พัก เหล่าทหารต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ที่บาดเจ็บก็พากันไปรักษา หมอที่อยู่ในเมืองเซี่ยงตงรู้ข่าวว่าเหล่าทหารกลับมาจากการสู้รบ ก็รีบสะพายล่วมยากันออกมาจากประตูเมือง เพื่อมารักษาทหารในค่าย แต่ว่าเสวี่ยช่างเจิ้นก็ไม่ได้ประมาท ยังคงจัดเวรยามเฝ้าค่ายพักเอาไว้ เผื่อว่าพวกโจรมาโจมตีตอนที่พวกเขาเผลอ“เชิญฮูหยินเข้าไปร่วมประชุมกับพวกเราด้วยเถอะ ห
บทที่ 50 ถูกทอดทิ้ง“เนินกว้างหน้ากำแพงเมืองก็ใช้ไปแล้ว ล่อข้าศึกมาโจมตีที่ทุ่งกว้างก็ทำไปแล้ว ต่อไปคงต้องหาสมรภูมิรบใหม่ ใช่หรือไม่”นายกองผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นเขาก็เสนอความคิดอีกว่า “ส่งหน่วยสอดแนมออกไปสำรวจหาพื้นที่อีก ดีหรือไม่ขอรับ”แต่ความคิดนี้ก็ถูกสกัดโดยหลิวเส้าหลง เขากล่าวออกมาว่า “ต่อให้พวกเราหาสมรภูมิรบใหม่ได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะหลอกล่อพวกมันมาได้อีก ครั้งที่แล้วพวกเราใช้วิธีนี้ไปแล้ว ไม่อาจใช้เป็นครั้งที่สองได้อีกต่อไป”“จริงอย่างที่ท่านหัวหน้าทหารราบถือทวนกล่าวมา พวกเราคงต้องคิดหาวิธีใหม่แล้วล่ะ” นายกองอีกผู้หนึ่งกล่าวเห็นด้วยกับหลิวเส้าหลงจากนั้นทุกคนต่างก็ก้มหน้าลงคิดหาหนทางอีกครั้ง บางคนถึงกับเดินไปเดินมารอบกระโจม แต่ก็ยังไม่มีใครคิดออกอยู่ดีเวลาผ่านไปร่วมชั่วยาม เสวี่ยช่างเจิ้นกำลังจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ก็มีเสียงของรองแม่ทัพเว่ยเอ่ยขึ้น“หากพวกเราตามเข้าไปจัดการมันในป่าตอนนี้จะดีหรือไม่ ไปตั้งแต่ตอนที่พวกมันยังไม่ทันได้ฟื้นตัว”เสวี่ยช่างเจิ้นเองก็คิดไว้เช่นนี้ แต่ทว่ากำลังพลของตนเองตอนนี้นั้นยังไม่พร้อมจึงปฏิเสธออกไปก่อน“เดิมทีข้าเองก็คิดเห
บทที่ 51 ทิ้งประโยคปริศนาไว้เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ซื่อเก่อนำพรรคพวกที่เหลือของมันซึ่งหายจากการบาดเจ็บแล้ว มาตั้งท่าประจันหน้ากับพวกเขาที่เนินกว้างจริง ๆ ซื่อเก่อเชื่อสนิทใจ ว่ากองทัพของเสวี่ยช่างเจิ้น กึ่งหนึ่งถอนทัพกลับเมืองหลวงหมิงเว่ยไปแล้วตั้งแต่ตอนที่มันได้ข่าวที่เสวี่ยช่างเจิ้นปล่อยออกไป มันก็เริ่มเคลื่อนพลทันที ไม่มีโอกาสไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว มันจะต้องฆ่า เสวี่ยช่างเจิ้นให้ได้ เพื่อแก้แค้นที่เขาฆ่าน้องรองของมัน ส่วนจ้าวเยว่นั้น มันจะต้องระบายแค้นกับนาง ที่ทำให้ทางราชสำนักซยงหนูตัดความสัมพันธ์กับมันไปคราวนี้ซื่อเก่อไม่ได้อยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีก มันขี่ม้าอยู่ข้างหน้าพรรคพวกสามหมื่นคนที่เหลือ ในมือถือดาบยาว ส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาที่กองทัพฉางอัน พวกโจรกว่าครึ่งหนึ่งขี่ม้า ส่วนอีกครึ่งนั้น น่าจะสูญเสียม้าไปในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว จึงจำเป็นต้องเดินเท้าแทนเสวี่ยช่างเจิ้นรอสัญญาณจากจ้าวเยว่ เมื่อใดก็ตามที่จ้าวเยว่ยิงธนูไฟปักลงบนพื้นกลางเนินกว้าง แสดงว่าพวกมันเข้ามาอยู่ในระยะของพลธนูแล้ว เป็นสัญญาณให้เสวี่ยช่างเจิ้นบุกได้พวกโจรเองก็รั้งรอเพื่อดูสถานการณ์ ว่าฝ่ายเสวี่ยช่า
บทที่ 52 กวาดล้างให้สิ้นซากตรงเนินกว้างหน้ากำแพงเมืองกลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพของพวกโจรมากมายก่ายกอง เหล่าทหารที่เพิ่งผ่านศึกมาหมาด ๆ มีเวลาพักผ่อนเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะต้องทำความสะอาดสนามรบร่างไร้วิญญาณของโจรสามหมื่นกว่าคน ได้ถูกขนไปกองรวมกันทางทิศตะวันออกเพื่อที่จะเผา ทว่าการเผาศพมากมายขนาดนี้ คงต้องใช้เวลาหลายวัน เสวี่ยช่างเจิ้นจึงได้มอบหมายงานนี้ให้เจ้าเมืองและทหารรักษาเมืองแทนผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมการจัดการสนามรบนี้ ก็คือหัวหน้าหน่วยย่อยของทหารทั้งหลาย ส่วนแม่ทัพ รองแม่ทัพ และเหล่านายกองนั้น ต้องเข้ากระโจมบัญชาการเพื่อไปหารือและสรุปผลการศึกครั้งนี้ส่งให้กับทางราชสำนักครั้งนี้ไม่เพียงแต่สรุปผลการศึกเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่าให้ต้องหารืออีก ซึ่งก็คือเรื่องกบฏจิ้นอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนเสวี่ยช่างเจิ้นเดินนำทุกคนเข้าสู่กระโจม เขาวางหมวกเกราะลงบนโต๊ะทำงาน แล้วหันหน้ามาเปิดฉากการสนทนาทันที“ก่อนที่จะรายงานการผลการรบ ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับทุกท่านก่อน”ทุกคนเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของท่านแม่ทัพก็พากันตั้งใจฟังรวมทั้งจ้าวเยว่ด้วยตอนนี้จ้าวเยว่เหมือนเป็นรองแม่ทัพภายใต้บังคั
บทที่ 53กลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะงานเลี้ยงด้านนอกยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ส่วนเสวี่ยช่างเจิ้นกับจ้าวเยว่ขอตัวกลับมาพักผ่อนที่กระโจม เนื่องจากเหนื่อยมาหลายวันแล้ว การสู้รบในครั้งนี้ติดพันยาวนาน ไม่ได้หลับนอนกันมาก็หลายคืน การได้ทิ้งร่างลงบนเตียงแล้วหลับให้เร็วที่สุด น่าจะเป็นความคิดที่ดี“ได้อย่างไรกัน ท่านต้องไปอาบน้ำก่อน” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม มือทั้งสองฉุดดึงเสวี่ยช่างเจิ้นให้ลุกขึ้นจากเตียง“ข้าอาบไม่ไหวแล้ว อยากจะพักผ่อนเสียตอนนี้เลย”เสวี่ยช่างเจิ้นเอ่ยอย่างดื้อดึงและพลิกหน้าคว่ำลงกับหมอนจ้าวเยว่เห็นท่าทางของเขาแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา นางส่ายหน้าให้กับสามี ก่อนจะเอ่ยขึ้น“สู้รบมาก็ตั้งหลายวัน ท่านจะนอนทั้งที่มีคราบเลือดเต็มตัวอย่างนี้หรือ ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรืออย่างไร”เสวี่ยช่างเจิ้นถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ที่ภรรยาเอ่ยมาก็เป็นความจริง เขาจะนอนทั้งคราบเลือดอย่างนี้ไม่ได้ จึงดีดตัวลุกขึ้นมามองหน้าจ้าวเยว่ที่กำลังถลึงตาใส่เขาอยู่ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นภรรยาจะปรนนิบัติสามีอาบน้ำใช่หรือไม่”จ้าวเยว่ที่กำลังดุเสวี่ยช่างเจิ้นอยู่ ถึงกับหน้าแด
บทที่ 54 ข่าวลือที่ยากจะเชื่อครานี้หลี่เพ่ยเหยียนเงยหน้าขึ้นมามองฮ่องเต้ ก่อนเขาจะกล่าววาจาอย่างโกรธแค้นออกมาว่า“ท่านพี่...ท่านไม่เข้าใจและไม่มีวันเข้าใจ ตั้งแต่พวกเราเกิดมา ท่านรู้หรือไม่ ว่าเสด็จพ่อลำเอียงยิ่งนัก ตั้งแต่เด็กจนโต อะไรเสด็จพ่อก็ยกให้ท่านหมด ทั้งของกิน ของเล่น ของขวัญ กระทั่งบัลลังก์นี้ และที่สำคัญ คนรักของข้า เสด็จพ่อก็ยกให้แต่งกับท่าน ข้าคับแค้นใจเสมอมา ทว่าไม่อาจทำอะไรได้ ทุกอย่างที่ข้าต้องเสียไปก็เพียงเพราะข้าเป็นน้องชายของท่าน เพียงเพราะข้าเกิดทีหลังท่านอย่างนั้นหรือ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ฮ่องเต้ได้ฟังความคับแค้นใจของหลี่เพ่ยเหยียนแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ พระองค์ทรงยอมรับว่าที่ผ่านมาพระองค์เป็นผู้ที่ได้ทุกอย่างมาหมด ส่วนหลี่เพ่ยเหยียนนั้นต้องกล้ำกลืนฝืนทนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ถึงอย่างไรกบฏก็ย่อมเป็นกบฏ พระองค์จำเป็นต้องประหารหลี่เพ่ยเหยี่ยน ถึงแม้ว่าจะทรงเสียพระทัยมาก แต่ก็ไม่ได้ตรัสอะไรออกมาอีก“จิ้นอ๋องหลี่เพ่ยเหยียนสมคบคิดกับพวกซยงหนูก่อการกบฏ ให้ลงโทษประหารชีวิต ส่วนชายาและบุตร ให้เนรเทศออกจากเมืองหลวงเป็นเวลายี่สิบปี” หงกงกงประกาศพระราชโองการจากนั้นทหารองค
บทที่ 55 ติดตามไปงานล่าสัตว์จากนั้นจ้าวเยว่ก็เริ่มเล่าให้ทุกคนฟังตั้งแต่แรก ตั้งแต่วันที่นางตัดสินใจเข้ามาในห้องหนังสือ แล้วหยิบแผนที่ไป“หลังจากที่ข้าหยิบแผนที่ไป ข้าก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องไปหาท่านพี่ให้ได้ การที่ข้าได้ยินแต่เพียงข่าวที่ทหารนำมาแจ้งข่าว ไม่ทำให้ข้าสบายใจขึ้นมา ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปดูกับตาว่าเขาเป็นอย่างไร ท่านพี่เคยทำตราสัญลักษณ์สำหรับเข้าค่ายทหารให้ข้าอันหนึ่ง เก็บไว้ที่ชั้นในห้องหนังสือ ตรานี้เอาไว้เผื่อว่าที่จวน มีเหตุฉุกเฉินอันใด ก็ให้ข้าใช้ตรานี้เข้าไปในค่ายทหาร เพื่อบอกข่าวเขาได้”นางหยุดหายใจเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ “แล้วคืนนั้น ข้าก็ขโมยม้าแล้วขี่ออกไป ข้าใช้ตรานี้ แสดงต่อหน้าทหารเฝ้าประตูเมืองจึงออกจากเมืองหลวงในยามวิกาลได้ จากนั้นก็เดินทางราวสิบวันไปถึงเมืองเซี่ยงตง”ถึงตรงนี้ จ้าวเยว่ไม่ได้เล่าว่าตนเองพบอะไรบ้างระหว่างทาง ทุกคนไม่ได้สงสัยอะไร เว้นก็เสียแต่พี่ชายทั้งสองของนาง ที่รู้ว่านางเล่าไม่หมด จึงได้ยักคิ้วส่งให้นางหนึ่งครั้ง หมายความว่าเรื่องที่ไม่ได้เล่าตรงนี้นั้น นางจะต้องไปเล่าให้พี่ชายทั้งสองฟังทีหลังต่อจากนั้นนางก็เล่าถึงเมื่อตอนที่พบ
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า
บทส่งท้าย เพราะรักค่ายทหารที่เมืองผานหยางนี้ดูจะเล็กกว่าที่เมืองหลวงอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีทหารประจำการเพียงแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายนี้ ดูแลชายแดนเหนือโดยเริ่มตั้งแต่เมืองผานหยางไปทางทิศตะวันออก ในส่วนของเมืองผานหยางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งก็คือเมืองเซี่ยงตง อยู่ในความดูของกองทัพหลวงแต่ถ้าหากว่ากองทัพหลวงต้องการกำลังเสริมเมื่อใด กองทัพปกป้องแดนเหนือนี้ ก็พร้อมที่จะยกทัพไปช่วยทันทีทหารบางส่วนจดจำเสวี่ยช่างเจิ้นได้ เมื่อเห็นว่าเขาจะมาเป็นแม่ทัพใหญ่คนใหม่แทนแม่ทัพรั่วหยางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วิ่งกรูกันมาต้อนรับ จนแทบจะยกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นทั้งม้าเข้าไปในค่ายเมื่อเห็นจ้าวเยว่ พวกเขายิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เมื่อสตรีที่อาจหาญเลื่องชื่อผู้นี้ มาเยือนถึงค่ายทหาร“ท่านแม่ทัพกับฮูหยินเชิญด้านในขอรับ” ทหารเฝ้าประตูบอกพร้อมกับเดินนำหน้าพวกเขาไป“พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฮูหยินก็มาด้วย หากเป็นไปได้ฮูหยินจะให้เกียรติมาฝึกสอนพลธนูที่ค่ายก็ได้นะขอรับ” หัวหน้าพลธนูกล่าวออกมาอย่างคาดหวัง“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งวุ่นวายกันเลย เดี๋ยวข้าไปหาท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพทั้งหลายก่อน จากนั้นถึงจ
บทที่ 62ถึงเมืองผานหยางวัดเหล่ากวงซี ดูเหมือนจะเป็นวัดเพียงแห่งเดียวในเมืองสวีโจวนี้ เนื่องจากเมืองสวีโจวเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ก็เลยไม่มีสถานที่ต่างๆ ให้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่วัดเหล่ากวงซีแห่งนี้ แล้วก็ตลาด ส่วนนอกเมืองก็มีแม่น้ำหวังอิ่งที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ตั้งแต่อวี๋ตงตงสร้างอ่างเก็บน้ำจ้าวเยว่ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อไม่เห็นว่าสามีของตนจะตามมาเสียที ดังนั้นอวี๋ตงตงจึงพาทั้งสามคนเดินเล่นรอบ ๆ วัดก่อน ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ท่านพี่ช่างเจิ้นคงน่าจะออกจากจวนแล้ว” อวี๋ตงตงเอ่ยบอกกับจ้าวเยว่อวี๋ตงตงเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงควบม้าดังมาจากทางด้านหน้าของวัดผู้มาเป็นเสวี่ยช่างเจิ้นอย่างที่คาดไว้ เขารีบกระโดดลงจากม้า แล้ววิ่งมาทางที่พวกจ้าวเยว่ยืนอยู่ในทันที“ขออภัยขอรับ ท่านย่า ท่านแม่ เมื่อคืนลูกดื่มหนักไปหน่อย ทำให้ตื่นสาย” เสวี่ยช่างเจิ้นขอโทษขอโพยท่านแม่และท่านย่าของตน“ดีที่เจ้ายังมาทันเวลาไหว้พระ เข้าไปกันเถอะ”ฮูหยินผู้เฒ่าดูจะอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ที่หลานชายมาสาย ทว่าก็ไม่ได้ดุด่าว่ากระไร เพียงแต่เดินนำเข้า
บทที่ 61รับตำแหน่งใหม่ก่อนถึงวันเดินทางราวสิบห้าวัน ตระกูลเสวี่ยก็ต้องทำการเตรียมตัว โดยผู้ดูแลงานนี้ก็คือจ้าวเยว่ถึงแม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะไปอยู่กันที่เมืองผานหยางแต่ทว่าจวนนี้ก็ยังต้องมีคนคอยอยู่ดูแล จ้าวเยว่ตัดสินใจไว้ ว่าจะทิ้งบ่าวไพร่ไว้บางส่วนให้ดูแลจวนนี้จ้าวเยว่หยิบสมุดออกมาเล่มหนึ่ง แล้วไล่จดรายการสิ่งของที่มีในเรือนทั้งหมด โดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง ห้องโถง เรือนบูรพา เรือนอุดร เรือนประจิม ลานหน้าบ้าน จนครบทุกที่ จากนั้นจึงนำเอารายการเหล่านั้นมาให้เสวี่ยฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเลือกดู ว่าจะเอาสิ่งของใดไปด้วยบ้างส่วนสิ่งของที่ไม่ได้เอาไปนั้น จ้าวเยว่สั่งให้บ่าวไพร่ไปซื้อผ้ามาจำนวนหนึ่ง แล้วทำการห่อไว้เป็นอย่างดี เพื่อกันไม่ให้เกิดความเสียหายและฝุ่นจะได้ไม่เกาะอีกด้วยบ่าวไพร่ที่จะตามไปที่เมืองผานหยางนั้น จ้าวเยว่ให้พวกเขาตัดสินใจเลือกเอาตามความสะดวก ผู้ที่อยากอยู่ในหมิงเว่ย ก็ให้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนนี้ ส่วนผู้ที่อยากติดตามไปยังเมืองผานอยาง ก็ให้ไปด้วยกัน แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เนื่องจากบ่าวไพร่ทุกคนต่างก็อยากติดตามจ้าวเยว่กับเสวี่ยช่างเจิ้นไปที่เมืองผานหยาง จนต้องบอกเล่ากัน