ชูเท็นโดจิเห็นเพื่อนรักต้องมาสู้กับราฟก็กัดฟันด้วยความโกรธ แต่ว่าตอนนี้เขายกแขนยังแทบไม่ได้ แต่ก็แข็งใจพยายามลุกขึ้นมา
“อย่าเพิ่งขยับ” เสียงของอาทิตย์ดังขึ้นมา ชูเท็นโดจิหันมามองตาขวาง อาทิตย์ชักหวั่น ๆ แต่ก็แข็งใจเดินเข้าไปหา
“จะทำอะไร !”
“ข้ารักษาท่านได้” ชูเท็นโดจิมองอาทิตย์ ศุภมิตรได้ยินแบบนั้นก็รีบท้วงทันที
“เฮ้ย! คิดอะไรอยู่เนี่ย ไปรักษามันเกิดมันแว้งกัดเราขึ้นมาเล่า”
“แล้วเรามีทางอื่นหรือไงกัน ท่านศุภมิตร”อาทิตย์พูดทำให้ศุภมิตรพูดไม่ออก แม้ชูเท็นโดจิจะไม่ค่อยเชื่อใจอาทิตย์เท่าไหร่ แต่เห็นว่า อิบารากิโดจิต่อสู้แล้วตนเองมานอนเหมือนศพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาเลยต้องตัดสินใจ
“รีบทำเลย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาทิตย์ก็รีบลงมือทันที เขามือไม้สั่นร่ายมนตร์ ตะกุกตะกัก เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมา ชูเท็นโดจิลุกขึ้นมาได้อีกครั้งความเจ็บปวดและบาดแผลหายไปหมด
“อิบารากิ ถอย !” ชูเท็นโดจิตะโกน อิบารากิโดจิรีบถอยออกมา อรุณนภาเห็นอิบารากิโดจิถอยก็ทำตาม ชูเท็นโดจิวิ่งเข้าใส่ราฟ อีกฝ่ายเหวี่ยงค้อนมาแต่ชูเท็นโดจิหลบได้และพ่นไฟ ราฟหลบได้และเคลื่อนไหวมาอยู่ด้านหลังของชูเท็นโดจิ เงื้อค้อนคู่ขึ้นหมายจะฟาดปลิดชีพ แต่ชูเท็นโดจิหันขวับมาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ราฟพยายามกระชากมือออกมา แต่ไม่หลุดมันจึงออกแรงกดลงไป แขนของชูเท็นโดจิเริ่มสั่นขืนปล่อยไว้นานกว่านี้เขาอาจจะต้องแพ้ จึงเริ่มออกแรงบีบข้อมือของอีกฝ่าย จนราฟเริ่มรู้สึกเจ็บ ถือค้อนไม่ไหวจนต้องปล่อย ราฟเห็นท่าไม่ดีเลยแตะชูเท็นโดจิเข้าที่ชายโครง ความเจ็บทำให้เขาต้องปล่อยมือและถูกชกกระเด็น
ชูเท็นโดจิบาดเจ็บไม่น้อยซี่โครงแทบหัก แต่ก็ต้องรีบตั้งตัว ราฟกำลังจะไปหยิบค้อน ชูเท็นโดจิพ่นไฟใส่ค้อนจนแดง ราฟจับค้อนก็ต้องร้องโหยหวนมือทั้งสองไหม้ เป็นจังหวะให้เขาเข้าประชิดตัวและชกเข้าที่หน้าของอีกฝ่ายเต็ม ๆ แรงหมัดทำให้เลือดไหลกบปาก ฟันร่วงออกมาหลายซี่ ยังไม่ทันที่มันจะตั้งตัวได้ ชูเท็นโดจิกระหน่ำหมัดใส่ราฟไม่หยุด ราฟใช้มือไม่ได้เสียเปรียบเห็น ๆ หมัดสุดท้ายชกเข้าที่หัวเสียงกะโหลกแตกดังลั่น ราฟตายแล้ว ชูเท็นโดจิหันไปทางพวกออร์คชี้นิ้วและพูดว่า “มีใครอยากตายอีกมั้ย !”
พวกออร์ดมองหน้ากันและเตรียมเข้ามารุมแต่จู่ ๆ พวกมันบางตัวก็รู้สึกเจ็บที่หูขวา อิบารากิโดจิปรากฏตัวตรงหน้าของชูเท็นโดจิและทิ้งของบางอย่างลงพื้น คือหูของพวกออร์คนั่นเอง พวกมันเห็นเช่นนั้นความกลัวก็บังเกิดในจิตใจ จึงรีบถอยทัพทันที เมื่อพวกมันไปกันหมดชูเท็นโดจิก็เข่าอ่อน
“สหายข้า” อิบารากิโดจิตกใจมาก เขาประคองชูเท็นโดจิเอาไว้
“เฮ้ย ! ไอ้หนู” ชูเท็นโดจิตะโกนขึ้นมา ทำให้ศุภมิตรกับอาทิตย์สะดุ้งโหย่ง
“ไอ้หนูที่รักษาข้าเมื่อกี้ มาช่วยข้าเร็ว” อาทิตย์วิ่งหน้าตื่นไปหาชูเท็นโดจิ อรุณนภารีบร้องห้าม
“อย่า ! เรายังไม่รู้ว่ามันไว้ใจได้แค่ไหน” อิบารากิโดจิได้ยินเช่นนั้นก็เลยพูดสวนไปว่า
“พวกข้าอุตส่าห์ช่วย ยังจะสงสัยอะไรอีกเล่า” อาทิตย์ได้ยินเช่นนั้นก็เลยรีบเข้าไปรักษาชูเท็นโดจิทันที เมื่อหายแล้ว ชูเท็นโดจิก็รีบยกเหล้าขึ้นดื่ม
“เอ่อ เพิ่งหายอย่าเพิ่งดื่มเหล้าเลยนะขอรับ” อาทิตย์พูด ชูเท็นโดจิหันมามองตาขวาง ทำให้อาทิตย์กลัว อรุณนภารีบมาขวางเอาไว้ อิบารากิโดจิมองทุกคนแล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน”
“แล้วเจ้าสองคนล่ะเป็นใครกันแน่” อรุณนภาถามเธอกำดาบแน่น เพราะยังไม่ไว้ใจทั้งสองคน ชูเท็นโดจิยังคงนั่งดื่มเหล้าต่อไป อิบารากิโดจิเลยต้องเป็นคนพูดแทน
“ข้าชื่อ อิบารากิโดจิ นั่นชูเท็นโดจิสหายข้า พวกเราเป็นอสูรแล้วเจ้าบอกได้หรือยังว่าพวกเจ้าเป็นใครกันแน่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นอรุณนภาก็เริ่มแนะนำตัวเองบ้าง
“ข้าคือ อรุณนภา เจ้าหญิงแห่งเผ่านรสิงห์ นี่คือ อาทิตย์น้องชายข้า ส่วนท่านนั้นคือ ท่านศุภมิตร เป็นนักสิทธิ์” ทั้งสองพยักหน้ารับรู้ ไม่มีท่าทีที่จะทำความเคารพใครเลย นั่นทำให้อรุณนภาไม่ค่อยจะพอใจนักแต่เธอก็พูดต่อ
“ที่นี่คือ มหาสุวรรณทวีป ที่เจ้าเห็นเมื่อกี้เป็นออร์คสมุนของราชาปีศาจการอน พวกมันบุกมาโจมตีเพื่อจะยึดครองทั้งทวีปนี้ ตอนนี้เมืองถูกยึดไปหลายเมืองแล้ว”
ชูเท็นโดจิมองร่างที่ไร้วิญญาณของราฟ เขาคิด เจ้าออร์คตัวนี้ มันมีฝีมือที่ร้ายกาจ เขาสู้แทบจะไม่ได้ กลับเป็นแค่ลูกสมุน นั่นก็หมายความ เจ้าคนที่ชื่อ การอน ต้องมีฝีมือมากแน่ ๆ ทำให้เขาตัวสั่น รู้สึกว่าร่างกายร้อนรุ่ม “จะบอกว่าไอ้คนที่ชื่อ การอน เป็นหัวหน้าไอ้ตัวนี้เหรอ” อรุณนภาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกลัว
“ใช่ ! พวกนี้เป็นสมุนของการอน” ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่มอั้ก ๆ และหัวเราะเสียงดังลั่น ทำให้พวกอรุณนภาต้องปิดหู อิบารากิโดจิก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย อรุณนภาทนเสียงหัวเราะของทั้งสองไม่ไหวแล้วเลยตะโกนขึ้นมา “หยุดหัวเราะ สักทีเป็นบ้าหรือไง”
สิ้นเสียงของอรุณนภา ทั้งสองอสูรก็หยุดหัวเราะแล้วมองหน้ากัน ชูเท็นโดจิเอ่ยขึ้นมาว่า “อิบารากิ เจ้าได้ยินมั้ย” อิบารากิโดจิพยักหน้า ชูเท็นโดจิหันไปมองอรุณนภา แล้วถามว่า
“ไอ้คนที่ชื่อการอนอยู่ไหน” อรุณนภาถึงกับสะดุ้งสุดตัวเธอพยายามตั้งสติก่อนที่จะตอบว่า
“น่าจะอยู่ที่เมืองนครสิงห์ พวกเรากำลังจะหาทางกลับไปที่เมืองเพื่อหาทางจัดการกับมัน จริง ๆ พวกเราให้ท่านศุภมิตรเสกอาวุธให้แต่...” นางเงียบไป ศุภมิตรนั่งหน้าจ๋อย ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่มแล้วพูดว่า
“อาวุธเหรอ มีข้าสองคนดีกว่าอาวุธใด ๆ ในโลกซะอีกนะ จริงมั้ย ! อิบารากิ” อิบารากิโดจิ พยักหน้า ชูเท็นโดจิหันมาพูดต่อ “เอาล่ะ พวกเจ้าต้องพาพวกเราไปหาไอ้คนชื่อการอนนั่น”
อรุณนภาตะลึงเธอจึงเรียกศุกมิตรกับอาทิตย์มาคุยกันให้ห่าง ๆ จากทั้งสองคน เธอรีบถามศุภมิตร
“นี่เราจะต้องพึ่งอสูรเลยเหรอ ท่านศุกมิตรส่งมันกลับไม่ได้เหรอ” ศุภมิตรถอนใจเฮือกใหญ่ เขาส่ายหน้าแล้วตอบว่า
“อย่าให้ข้าต้องร่ายมนตร์บทนี้ อีกเลยเพราะไม่รู้ว่าจะได้อะไรมาอีก แค่ไอ้สองตัวนี่ก็น่ากลัวพอแล้ว”
อรุณนภากับอาทิตย์เริ่มคิดหนัก การจะให้ศุภมิตรเสกอาวุธอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่า จะได้อะไรมา ยิ่งเท่าที่เห็นทั้งสองก็มีฝีมือที่ร้ายกาจพอตัว อย่างน้อยก็สามารถสังหารพวกออร์คได้หลายตน และตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว สองพี่น้องมองหน้ากัน อรุณนภาหันไปทางทั้งสองอสูรแล้วพูดว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาการอนก็ได้แต่พวกเจ้าต้องกำจัดมันให้ข้าด้วย”
ณ หมู่บ้านเกษตรกรรมแห่งหนึ่งบรรยากาศเงียบสงบเหล่าชาวนากำลังเกี่ยวข้าวในนา ซึ่งแปลกมากเพราะปกติ เวลาเกี่ยวข้าวกันนั้นชาวนาจะต้องร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ให้สมกับที่เหนื่อยกันมานาน แต่คราวนี้หลายคนมีสีหน้าอมทุกข์ บางคนมีน้ำตาไหลออกมา ชายสูงวัยคนหนึ่งเห็นหลายคนเป็นเช่นนี้ก็เลยพูดขึ้นมา“นี่เกี่ยวข้าวในนา แท้ ๆ นะโว้ย อย่ามาทำหน้าเศร้าสิวะ”“โธ่! พ่อผู้ใหญ่พูดมันง่าย พวกเราก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าเกี่ยวไปเนี่ยพวกเราก็ไม่ได้กิน ทั้งที่เหนื่อยกันมาแทบตาย” หนึ่งในชาวนาพูดขึ้นน้ำตาเขาเริ่มไหลออกมา ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดว่า“คิดว่าข้าไม่รู้สึกอะไรหรือไงกันวะ แต่เอ็งก็รู้นี่ ไปสู้กับพวกมันก็เหมือนกับฆ่าตัวตายเปล่า”ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อ เสียงระฆังก็ดังขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าสิ่งพวกเขาไม่อยากเจอกำลังจะมาถึงแล้ว พวกออร์คกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนพลมา หัวหน้าของพวกมันเป็นออร์ค มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกว่าพวกออร์ค ตนอื่น แต่ถ้ายืนเทียบกับมนุษย์แล้วมันก็ยังตัวใหญ่อยู่ดี หัวโล้น มีตาโตเท่าไข่ห่าน มีฟันล่างยาวเลยปากออกมา มันนั่งบนเสลี่ยง ชาวบ้านนำอาหารมากองตรงหน้าของมัน เจ้าออร์คเตี้ย
ณ เมือง ชิจา ประเทศญี่ปุ่น สมัยเฮอัน บ้านเมืองที่เคยสงบสุข ยามนี้กลับถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศสับสนวุ่นวาย เหล่าซามูไรกระจายตัวทั่วเมือง ออกคำสั่ง กวาดต้อนชาวบ้านให้เข้าไปหลบในบ้านของตน เพื่อให้รอดพ้นจากภัยร้ายที่ชายชาตินักรบยังหวาดหวั่น แม่ทัพร่างใหญ่จดจ้องไปยังแผ่นดินกว้างเบื้องหน้า ใบหน้ากร้านแดดเขม็งตึงด้วยความเครียดและหวาดหวั่น สักพักชายร่างอ้วนเตี้ยก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา “ท่านแม่ทัพ แน่ใจแล้วเหรอขอรับว่ามันจะมา"แม่ทัพพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่สิขอรับ สายรายงานมาแล้ว อีกอย่างท่านผู้ว่าก็รู้นี่ ว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดมัน” ผู้ว่าหน้าเสีย แม่ทัพจึงบอกกับเขาว่า“แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอกขอรับ ทหารที่ข้าพามาเนี่ยจัดการมันได้แน่ ๆ อีกอย่างพวกนักบวชก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว อย่าได้กังวลไป ตอนนี้ให้ทุกคนไปหลบในบ้าน รอให้สงบก่อนแล้วค่อยออกมาก็ได้”ผู้ว่าพยักหน้า ที่กำแพงเมือง เหล่านักรบซามูไรเตรียมพร้อม หลายคนเริ่มมีท่าทางหวาดกลัว บางคนกำเครื่องรางที่ติดตัวมาด้วยแน่น บางคนก็สวดภาวนาตามความเชื่อของตนเอง แม่ทัพเดินตรวจทัพแล้วก็ถอนใจ จะโทษทหารเหล่านี้คงไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องม
“เป็นไงได้ กระบองนั้นทำจากไม้เนื้อแข็ง ขนาดขวานยังฟันแทบไม่เข้า” แม่ทัพพูดขึ้น“อย่าเอาพลังแขนของสหายข้าไปเทียบกับมนุษย์สิ” เสียงของอิบารากิโดจิดังขึ้นจากด้านหลัง แม่ทัพเหวี่ยงดาบไปแต่อิบารากิโดจิหลบได้อีก “เลิกกวนประสาทข้าสักที ไอ้เขาเดียว” พูดจบเขาก็ฟาดฟันดาบใส่อิบารากิโดจิแต่ อีกฝ่ายหลบได้อย่างว่องไวซูโคกิที่เสียอาวุธไปนั้น จึงใช้ทักษะการต่อสู้แบบซูโม่แทน ชูเท็นโดจิก็รับมือแบบชูโม่ทั้งสองออกแรงดันหมายจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้มลง แต่ซูโคกิออกแรงไปมากเท่าไหร่ชูเท็นโดจิก็ไม่สะเทือนเลย ในที่สุดก็เขาก็เป็นคนที่ต้องกระเด็น จึงตัดสินใจรวมพลังทั้งหมดไปที่ฝ่ามือหมายจะซัดให้กระเด็น ชูเท็นโดจิชกสวนกลับมา“อ๊าก !” เสียงร้องโหยหวนของซูโคกิดังขึ้นมา แรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้กระดูกมือของเขาแตก และยังไม่ทันไรก็ถูกชูเท็นโดจิทุบเข้าที่หัว ความเจ็บปวดเข้ามาอีกครั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ ก็ถูกทุบซ้ำไปอีกครั้ง มันเป็นการทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างของซูโคกิจมดินและกองเลือดของตัวเองตายส่วนอิบารากิโดจินั้น ต่อสู้กับแม่ทัพซึ่งในเชิงดาบนั้น เขาถือว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินเลยก็ว่าได้ แต่ความเร็วของอิบารากิโดจิมั
พวกออร์คที่บุกมาล้วนสวมเกราะที่หนาและหนัก มีอาวุธครบมือซึ่งอาวุธทุกชิ้นนั้นล้วนมีขนาดใหญ่ แต่ชูเท็นโดจิกับอิบารากิโดจิเมื่อเห็นเหล่าออร์คก็พร้อมใจกันหัวเราะเสียงดัง จนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว อรุณนภาทำหน้าไม่ถูก ปกติใครที่เจอพวกออร์คที่มีอาวุธครบมือแบบนี้ต้องกลัวจนตัวสั่น แต่เจ้าสองตัวนี้กลับหัวเราะราวกับมีเรื่องสนุกสนานตรงหน้าออร์คตนหนึ่งตะโกนถาม “หัวเราะอะไรวะไอ้ตัวมีเขา”แต่สองอสูรยังไม่เลิกหัวเราะ จนเหล่าออร์ค เริ่มหงุดหงิด ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “เกิดมาไม่เคยเห็นตัวอะไร ที่อุบาทว์ขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ แบบเหมือนไม่เต็มใจเกิด”“ใช่สหายข้า” อิบารากิโดจิพูดและยังหัวเราะต่อไป ออร์คตนหนึ่งได้ยินก็ไม่พอใจวิ่งเข้าใส่และ ฟาดค้อนศึกใส่ชูเท็นโดจิ เขาไม่คิดจะหลบเพราะประเมินกำลังของอีกฝ่ายไว้ต่ำมาก จึงรับการโจมตีเข้าไป เต็ม ๆ เขากระเด็นและกระอักเลือดออกมา คราวนี้เป็นพวกออร์คเองที่พร้อมใจกันหัวเราะ“แกทำอะไรสหายข้า !” อิบารากิโดจิข่วนเจ้าออร์คเข้าที่หน้าเลือดไหลอาบ และรีบไปดูชูเท็นโดจิ นั่นคือสัญญาณแห่งสงคราม พวกออร์คทั้งหลายเข้าโจมตี อรุณนภาใช้ดาบคู่เข้าต่อสู้ ส่วนศุ
ณ หมู่บ้านเกษตรกรรมแห่งหนึ่งบรรยากาศเงียบสงบเหล่าชาวนากำลังเกี่ยวข้าวในนา ซึ่งแปลกมากเพราะปกติ เวลาเกี่ยวข้าวกันนั้นชาวนาจะต้องร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ให้สมกับที่เหนื่อยกันมานาน แต่คราวนี้หลายคนมีสีหน้าอมทุกข์ บางคนมีน้ำตาไหลออกมา ชายสูงวัยคนหนึ่งเห็นหลายคนเป็นเช่นนี้ก็เลยพูดขึ้นมา“นี่เกี่ยวข้าวในนา แท้ ๆ นะโว้ย อย่ามาทำหน้าเศร้าสิวะ”“โธ่! พ่อผู้ใหญ่พูดมันง่าย พวกเราก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าเกี่ยวไปเนี่ยพวกเราก็ไม่ได้กิน ทั้งที่เหนื่อยกันมาแทบตาย” หนึ่งในชาวนาพูดขึ้นน้ำตาเขาเริ่มไหลออกมา ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดว่า“คิดว่าข้าไม่รู้สึกอะไรหรือไงกันวะ แต่เอ็งก็รู้นี่ ไปสู้กับพวกมันก็เหมือนกับฆ่าตัวตายเปล่า”ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อ เสียงระฆังก็ดังขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าสิ่งพวกเขาไม่อยากเจอกำลังจะมาถึงแล้ว พวกออร์คกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนพลมา หัวหน้าของพวกมันเป็นออร์ค มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกว่าพวกออร์ค ตนอื่น แต่ถ้ายืนเทียบกับมนุษย์แล้วมันก็ยังตัวใหญ่อยู่ดี หัวโล้น มีตาโตเท่าไข่ห่าน มีฟันล่างยาวเลยปากออกมา มันนั่งบนเสลี่ยง ชาวบ้านนำอาหารมากองตรงหน้าของมัน เจ้าออร์คเตี้ย
ชูเท็นโดจิเห็นเพื่อนรักต้องมาสู้กับราฟก็กัดฟันด้วยความโกรธ แต่ว่าตอนนี้เขายกแขนยังแทบไม่ได้ แต่ก็แข็งใจพยายามลุกขึ้นมา“อย่าเพิ่งขยับ” เสียงของอาทิตย์ดังขึ้นมา ชูเท็นโดจิหันมามองตาขวาง อาทิตย์ชักหวั่น ๆ แต่ก็แข็งใจเดินเข้าไปหา“จะทำอะไร !”“ข้ารักษาท่านได้” ชูเท็นโดจิมองอาทิตย์ ศุภมิตรได้ยินแบบนั้นก็รีบท้วงทันที“เฮ้ย! คิดอะไรอยู่เนี่ย ไปรักษามันเกิดมันแว้งกัดเราขึ้นมาเล่า”“แล้วเรามีทางอื่นหรือไงกัน ท่านศุภมิตร”อาทิตย์พูดทำให้ศุภมิตรพูดไม่ออก แม้ชูเท็นโดจิจะไม่ค่อยเชื่อใจอาทิตย์เท่าไหร่ แต่เห็นว่า อิบารากิโดจิต่อสู้แล้วตนเองมานอนเหมือนศพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาเลยต้องตัดสินใจ“รีบทำเลย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาทิตย์ก็รีบลงมือทันที เขามือไม้สั่นร่ายมนตร์ ตะกุกตะกัก เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมา ชูเท็นโดจิลุกขึ้นมาได้อีกครั้งความเจ็บปวดและบาดแผลหายไปหมด “อิบารากิ ถอย !” ชูเท็นโดจิตะโกน อิบารากิโดจิรีบถอยออกมา อรุณนภาเห็นอิบารากิโดจิถอยก็ทำตาม ชูเท็นโดจิวิ่งเข้าใส่ราฟ อีกฝ่ายเหวี่ยงค้อนมาแต่ชูเท็นโดจิหลบได้และพ่นไฟ ราฟหลบได้และเคลื่อนไหวมาอยู่ด้านหลังของชูเท็นโดจิ เงื้อค้อนคู่ขึ้นหมายจะฟาดป
พวกออร์คที่บุกมาล้วนสวมเกราะที่หนาและหนัก มีอาวุธครบมือซึ่งอาวุธทุกชิ้นนั้นล้วนมีขนาดใหญ่ แต่ชูเท็นโดจิกับอิบารากิโดจิเมื่อเห็นเหล่าออร์คก็พร้อมใจกันหัวเราะเสียงดัง จนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว อรุณนภาทำหน้าไม่ถูก ปกติใครที่เจอพวกออร์คที่มีอาวุธครบมือแบบนี้ต้องกลัวจนตัวสั่น แต่เจ้าสองตัวนี้กลับหัวเราะราวกับมีเรื่องสนุกสนานตรงหน้าออร์คตนหนึ่งตะโกนถาม “หัวเราะอะไรวะไอ้ตัวมีเขา”แต่สองอสูรยังไม่เลิกหัวเราะ จนเหล่าออร์ค เริ่มหงุดหงิด ชูเท็นโดจิยกเหล้าขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “เกิดมาไม่เคยเห็นตัวอะไร ที่อุบาทว์ขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ แบบเหมือนไม่เต็มใจเกิด”“ใช่สหายข้า” อิบารากิโดจิพูดและยังหัวเราะต่อไป ออร์คตนหนึ่งได้ยินก็ไม่พอใจวิ่งเข้าใส่และ ฟาดค้อนศึกใส่ชูเท็นโดจิ เขาไม่คิดจะหลบเพราะประเมินกำลังของอีกฝ่ายไว้ต่ำมาก จึงรับการโจมตีเข้าไป เต็ม ๆ เขากระเด็นและกระอักเลือดออกมา คราวนี้เป็นพวกออร์คเองที่พร้อมใจกันหัวเราะ“แกทำอะไรสหายข้า !” อิบารากิโดจิข่วนเจ้าออร์คเข้าที่หน้าเลือดไหลอาบ และรีบไปดูชูเท็นโดจิ นั่นคือสัญญาณแห่งสงคราม พวกออร์คทั้งหลายเข้าโจมตี อรุณนภาใช้ดาบคู่เข้าต่อสู้ ส่วนศุ
“เป็นไงได้ กระบองนั้นทำจากไม้เนื้อแข็ง ขนาดขวานยังฟันแทบไม่เข้า” แม่ทัพพูดขึ้น“อย่าเอาพลังแขนของสหายข้าไปเทียบกับมนุษย์สิ” เสียงของอิบารากิโดจิดังขึ้นจากด้านหลัง แม่ทัพเหวี่ยงดาบไปแต่อิบารากิโดจิหลบได้อีก “เลิกกวนประสาทข้าสักที ไอ้เขาเดียว” พูดจบเขาก็ฟาดฟันดาบใส่อิบารากิโดจิแต่ อีกฝ่ายหลบได้อย่างว่องไวซูโคกิที่เสียอาวุธไปนั้น จึงใช้ทักษะการต่อสู้แบบซูโม่แทน ชูเท็นโดจิก็รับมือแบบชูโม่ทั้งสองออกแรงดันหมายจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้มลง แต่ซูโคกิออกแรงไปมากเท่าไหร่ชูเท็นโดจิก็ไม่สะเทือนเลย ในที่สุดก็เขาก็เป็นคนที่ต้องกระเด็น จึงตัดสินใจรวมพลังทั้งหมดไปที่ฝ่ามือหมายจะซัดให้กระเด็น ชูเท็นโดจิชกสวนกลับมา“อ๊าก !” เสียงร้องโหยหวนของซูโคกิดังขึ้นมา แรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้กระดูกมือของเขาแตก และยังไม่ทันไรก็ถูกชูเท็นโดจิทุบเข้าที่หัว ความเจ็บปวดเข้ามาอีกครั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ ก็ถูกทุบซ้ำไปอีกครั้ง มันเป็นการทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างของซูโคกิจมดินและกองเลือดของตัวเองตายส่วนอิบารากิโดจินั้น ต่อสู้กับแม่ทัพซึ่งในเชิงดาบนั้น เขาถือว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินเลยก็ว่าได้ แต่ความเร็วของอิบารากิโดจิมั
ณ เมือง ชิจา ประเทศญี่ปุ่น สมัยเฮอัน บ้านเมืองที่เคยสงบสุข ยามนี้กลับถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศสับสนวุ่นวาย เหล่าซามูไรกระจายตัวทั่วเมือง ออกคำสั่ง กวาดต้อนชาวบ้านให้เข้าไปหลบในบ้านของตน เพื่อให้รอดพ้นจากภัยร้ายที่ชายชาตินักรบยังหวาดหวั่น แม่ทัพร่างใหญ่จดจ้องไปยังแผ่นดินกว้างเบื้องหน้า ใบหน้ากร้านแดดเขม็งตึงด้วยความเครียดและหวาดหวั่น สักพักชายร่างอ้วนเตี้ยก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา “ท่านแม่ทัพ แน่ใจแล้วเหรอขอรับว่ามันจะมา"แม่ทัพพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่สิขอรับ สายรายงานมาแล้ว อีกอย่างท่านผู้ว่าก็รู้นี่ ว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดมัน” ผู้ว่าหน้าเสีย แม่ทัพจึงบอกกับเขาว่า“แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอกขอรับ ทหารที่ข้าพามาเนี่ยจัดการมันได้แน่ ๆ อีกอย่างพวกนักบวชก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว อย่าได้กังวลไป ตอนนี้ให้ทุกคนไปหลบในบ้าน รอให้สงบก่อนแล้วค่อยออกมาก็ได้”ผู้ว่าพยักหน้า ที่กำแพงเมือง เหล่านักรบซามูไรเตรียมพร้อม หลายคนเริ่มมีท่าทางหวาดกลัว บางคนกำเครื่องรางที่ติดตัวมาด้วยแน่น บางคนก็สวดภาวนาตามความเชื่อของตนเอง แม่ทัพเดินตรวจทัพแล้วก็ถอนใจ จะโทษทหารเหล่านี้คงไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องม